โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

ฝรั่งเศสแชมป์ฟุตบอลโลก 2018 กรมสุขภาพจิตระบุยอดโทรปรึกษาเรื่องพนันพุ่ง

Posted: 15 Jul 2018 09:55 AM PDT

'ฝรั่งเศส' แชมป์ฟุตบอลโลก 2018 หลังเอาชนะโครเอเชีย 4-2 ด้านกรมสุขภาพจิตเผยสถิติสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เลิกพนัน ช่วงฟุตบอลโลกยอดคนโทรปรึกษาพุ่งขึ้นสูงกว่าช่วงปกติ 2 เท่าตัว 30% ติดพนันบอล ตำรวจแถลงก่อนนัดชิงจับกุมเว็บพนัน 26 เว็บไซต์ ดำเนินคดี ผู้ต้องหา 65 ราย ปิดกั้นเว็บพนันที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ 400 เว็บ อายัดทรัพย์กว่า 70 ล้าน

 
 
15 ก.ค. 2561 ผลการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 (2018 FIFA World Cup) นัดชิงชนะเลิศ ระหว่างทีมชาติฝรั่งเศสกับทีมชาติโครเอเชีย ที่สนามกีฬาลุจนีกี กรุงมอสโค ประเทศรัสเซีย ท่ามกลางผู้เข้าชมการแข่งขัน 78,011 คน ปรากฎว่าทีมชาติฝรั่งเศสเอาชนะไปได้ด้วยประตู 4-2
 
โดยทีมชาติฝรั่งเศสได้ประตูจากการทำเข้าประตูตัวเองของทีมชาติโครเอเชียโดยนายมาริโอ แมนซูคิซ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าอายุ 32 ปี ในนาทีที่ 18, การยิงลูกที่จุดโทษของนายอองตวน กรีซมันน์ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้าอายุ 27 ปี ในนาทีที่ 38, นายปอล ป๊อกบา ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางอายุ 25 ปี ในนาทีที่ 59 และนายคีเลียน เอ็มบัปเป้ ผู้เล่นตำแหน่งกองหน้า ในนาทีที่ 65
 
ส่วนทีมชาติโครเอเชียได้ประตูจากนายอิวาน เปริซิช ผู้เล่นตำแหน่งกองกลางอายุ 29 ปี ในนาทีที่ 28 และนายแมนซูคิซ แก้ตัวได้หนึ่งลูกหลังทำเข้าประตูตัวเอง ในนาทีที่ 69
 
สายด่วนสุขภาพจิต 1323 เลิกพนัน ช่วงฟุตบอลโลกยอดคนโทรปรึกษาพุ่งขึ้นสูงกว่าช่วงปกติ 2 เท่าตัว
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่านาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิตให้สัมภาษณ์ว่าช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลก 2018 เป็นช่วงที่มีความเสี่ยงพนันบอลได้สูง คอบอลจะมีการเชียร์ทีมที่ตัวเอง ชื่นชอบและลุ้นผลการแข่งขันกันอย่างสนุกตื่นเต้นและเร้าใจจึงมีแนวโน้มที่จะถูกชักจูงเข้าสู่วงจรการพนันได้ง่าย 
 
ทั้งนี้กรมสุขภาพจิตได้เปิดสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ให้บริการปรึกษาผู้ที่อยากเลิกเล่นการพนัน ตลอด 24 ชั่วโมง และสามารถปรึกษาทางระบบออนไลน์ได้ด้วย ที่เฟสบุ๊คสายด่วนสุขภาพจิต 1323-เลิกพนัน ในช่วงเวลา 14.30 – 22.30 น. รวมทั้งเปิดให้บริการปรึกษาเลิกพนันที่โรงพยาบาลจิตเวชทั้งเด็กและผู้ใหญ่ 19 แห่งทั่วประเทศทั้งนี้ สถิติสายด่วนสุขภาพจิต 1323 เลิกพนันในเดือน มิ.ย. 2561 ตั้งแต่ช่วงที่เริ่มแข่งฟุตบอลโลกวันที่ 15 - 30 มิ.ย. 2561  มีผู้มาขอรับการปรึกษาอยากเลิกพนันโดยตรงรวม 24 ครั้ง มากกว่าช่วงปกติ 2 เท่าตัว โดยพบว่าร้อยละ 30 เป็นปัญหาติดพนันบอลทั้งโต๊ะบอลและออนไลน์ ส่วนที่เหลือติดเล่นพนันออนไลน์ทั่วไป
 
ตำรวจแถลงกวาดล้างพนันบอลออนไลน์
 
สำนักข่าวไทย รายงานก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกนัดชิงชนะเลิศว่า พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว แถลงผลกวาดล้างปราบปรามลักลอบเล่นการพนันออนไลน์และทายผลฟุตบอลโลก ซึ่งศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจภูธรภาค 7, 8 และ 9 เปิดยุทธการโค่นล้มโครงข่ายพนันออนไลน์ จับกุมเว็บพนัน 26 เว็บไซต์ ดำเนินคดีผู้ต้องหา 65 ราย ในข้อหาจัดให้มีการเล่นโฆษณาหรือชักชวนให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันออนไลน์ นอกจากนี้ยังปิดกั้นเว็บพนันที่มีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ 400 เว็บ อายัดทรัพย์กว่า 70 ล้าน โดยที่เชียงรายมีเงินหมุนเวียนกว่า 50 ล้านบาท และยึดจานส่งสัญญาณ 184 จาน เสาติดตั้ง 32 เสา ใน อ.แม่สาย ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โวยใช้งบไทยนิยมยั่งยืน "ปลูกป่าไผ่" ทับที่ทำกินชาวกะเหรี่ยงท่าสองยาง

Posted: 15 Jul 2018 06:07 AM PDT

ชาวบ้าน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ร้องเรียนถูกอำเภอสั่ง "ปลูกป่าไผ่" ตามโครงการไทยนิยมยั่งยืน แต่หลายบ้านกลับ "ปลูกป่าไผ่" ทับไร่หมุนเวียนที่ชาวบ้านปลูกข้าวไร่ต้นกล้าสูงเป็นคืบ ทั้งนี้เริ่มต้นเป็นโครงการเสริมอาชีพของอำเภอ ใช้ "งบไทยนิยม" หมู่บ้านละ 2 แสนบาท ตั้งเป้าปลูกป่าไผ่ 3,000 ต้นต่อ 1 หมู่บ้าน ครอบคลุมทั้งอำเภอรวม 67 หมู่บ้าน แต่ปลูกแล้วลูกบ้าน-ผู้ใหญ่บ้านเกิดขัดแย้งกันหลายหมู่บ้านเพราะกลายเป็นการทวงคืนผืนป่า-ไล่ที่ทำกิน

15 ก.ค. 2561 กรณีราชการใช้งบจากโครงการไทยนิยมยั่งยืนปลูกป่าไผ่ ทับไร่หมุนเวียนชาวกะเหรี่ยง ถูกเปิดเผยโดยนายชาลี ตรีสุรผลกุล ตัวแทนสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จ.ตาก (สกน.จังหวัดตาก) เปิดเผยว่า ช่วงสายวันที่ 9 กรกฎาคม 2561 ผู้ใหญ่บ้านแม่วะหลวง ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก นำชาวบ้านจำนวนหนึ่ง เข้าไปปลูกป่าทับพื้นที่ไร่หมุนเวียน ที่มีต้นข้าวขึ้นสูงกว่าคืบหนึ่งแล้ว โดยบริเวณพื้นที่ดังกล่าวมีชาวบ้านทำกินอย่างน้อย 7 ครอบครัว และเป็นพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชนที่ผ่านการตรวจสอบแล้ว นอกจากนี้ยังทราบว่า ก่อนหน้านี้มีพื้นที่ไร่หมุนเวียนหลายหมู่บ้านในตำบลเดียวกัน ได้ถูกปลูกป่าทับที่ไปแล้วเช่นเดียวกัน

ภาพกล้าไผ่ "โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม" ที่ปลูกลงไปในที่ทำกินของชาวบ้านที่ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก จะเห็นว่าข้าวไร่ที่ชาวบ้านปลูกเริ่มโตแล้ว

ภาพกล้าไผ่ที่ปลูกทับลงไปในไร่ข้าวของชาวบ้านใน อ.ท่าสองยาง จ.ตาก

จากการสอบถามชาวบ้านบ้านแม่วะหลวงต่างบอกว่า "ผู้นำชุมชนแจ้งแก่ชาวบ้านเพียงว่าเป็นโครงการปลูกป่าของ อ.ท่าสองยาง จังหวัดตาก ซึ่งนายอำเภอได้มีคำสั่งให้ผู้ใหญ่บ้านต้องดำเนินการ แต่ไม่ทราบว่าปลูกเพื่ออะไร และพื้นที่ดังกล่าวจะถูกยึดไปด้วยหรือไม่ นอกจากนี้ก่อนดำเนินการปลูกยังไม่มีการสอบถามหรือขอความยินยอมแต่อย่างใด" สำหรับชาวบ้านเจ้าของพื้นที่ที่ถูกปลูกป่าทับนั้นกล่าวว่า "รู้สึกสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะพื้นที่เหล่านี้เป็นพื้นที่ทำกินดั้งเดิมและล้วนอยู่ภายในเขตพื้นที่โฉนดชุมชน ที่ได้รับการคุ้มครองตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน (ฉบับแก้ไข) พ.ศ. 2555 นอกจากนี้เมื่อชาวบ้านทราบว่าเป็นโครงการที่สั่งการโดยนายอำเภอ ต่างก็เกิดความกลัวและไม่กล้าออกมาโต้แย้งคัดค้าน"

มีผู้นำชุมชนหลายคน ให้ข้อมูลว่าก่อนหน้านี้ช่วงปลายเดือนมิถุนายน นายประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอท่าสองยาง ได้นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองไปปลูกป่าที่หมู่บ้านปอเคลอะเด หมู่ 5 ซึ่งอยู่ในเขต ต.แม่วะหลวงเช่นเดียวกัน เป็นพื้นที่ไร่หมุนเวียนเก่า ไม่ใช่พื้นที่บุกรุกใหม่ ที่ชาวบ้านปลูกข้าวจนขึ้นสูงกว่าคืบหนึ่งแล้ว ซึ่งนับแต่ปลูกเสร็จจนถึงขณะนี้ ในหมู่บ้านปอเคลอะเด เกิดความขัดแย้งกันอย่างมาก

ส่วนหมู่บ้านอื่นๆ ในตำบลแม่วะหลวงนั้น นายอำเภอได้สั่งให้ผู้ใหญ่บ้านไปดำเนินการปลูกกันเอง โดยกำหนดว่าต้องเป็นพื้นที่ทำกินปัจจุบันเท่านั้น และนายอำเภอจะลงพื้นที่ไปตรวจสอบในเร็วๆ นี้ ทำให้ผู้ใหญ่บ้านทุกหมู่บ้านต้องเร่งดำเนินการ

ตัวอย่างแปลงปลูกไผ่ "โครงการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ประจำปีงบประมาณ 2561" ระบุว่าปลูกเมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 2561 ใน "พื้นที่่ป่าเสื่อมโทรม" หมู่ที่ 5 ต.แม่วะหลวง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก โดย อบต.แม่วงหลวง โดยมีกล้าไผ่ที่ล้อมรั้ว และระบุชื่อผู้ปลูกคือ ประสงค์ หล้าอ่อน นายอำเภอท่าสองยาง

 

แปลงปลูกไผ่ "โครงการณรงค์การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม" พื้นที่หมู่ที่ 2 บ้านแม่สลิดหลวง ต.แม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก ระบุว่าเป็นการปลูกโดย "ร่วมกับหน่วยงานราชการ ประชาชนและจิตอาสาตำบลแม่สอง อ.ท่าสองยาง จ.ตาก"

นอกจากนี้ยังมีแหล่งข่าวที่ให้ข้อมูลเพิ่มว่า เรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ปัญหาเฉพาะ ต.แม่วะหลวงเท่านั้น แต่เป็นเรื่องที่ครอบคลุมทั้งอำเภอ เป็นโครงการที่นายอำเภอต้องการทวงพื้นที่ แต่การปลูกในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่โล่ง ในป่าเขาก็ไม่ปลูก ดังนั้นเราจะเห็นว่าเป็นการปลูกในพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน โดยให้แต่ละหมู่บ้านไปหาพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ที่อยู่ใกล้ถนน มองเห็นได้ชัด เขาเรียกว่า สวมรองเท้าให้ดอย สวมหมวกให้ภูเขา โดยใช้งบโครงการไทยนิยมยั่งยืน 200,000 บาทที่รัฐบาลให้มา"

จากการสอบถามผู้ใหญ่บ้านใน อ.ท่าสองยาง รายหนึ่ง ให้ข้อมูลว่า นายอำเภอได้ชี้แจงในที่ประชุมกำนันผู้ใหญ่บ้านว่า จะให้ทุกหมู่บ้านในพื้นที่ อ.ท่าสองยาง ปลูกต้นไม้ไผ่เพื่อเป็นการส่งเสริมอาชีพ โดยอำเภอได้จัดต้นกล้าให้หมู่บ้านละ 3,000 ต้น กำหนดพื้นที่ปลูกอย่างน้อยหมู่บ้านละ 50 ไร่ ขึ้นไป โดยให้เหตุผลว่า ในระยะยาวชาวบ้านจะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งในวันดังกล่าวยังได้นำวิทยากรจากที่อื่นมาพูดถึงประโยชน์ของไม้ไผ่อีกด้วย แต่มีเงื่อนไขว่าพื้นที่ที่ปลูกไปแล้วนั้นให้เป็นของชุมชน โดยให้เจ้าของที่ดูแลรักษาไว้และสามารถตัดไปใช้ประโยชน์ได้ แต่ห้ามไม่ให้แผ้วถางทำประโยชน์อย่างอื่น พอตอนจะลงมือปลูกจริงๆ ชาวบ้านก็กล่าวหาว่าผู้ใหญ่บ้านไปยึดที่ทำกินของเขาไปให้อำเภอปลูกป่า ตอนนี้ปลูกเสร็จไปหลายหมู่บ้านแล้ว และเกิดความขัดแย้งในหมู่บ้านกันอย่างรุนแรง     

ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่ง บอกว่า จุดที่ปลูกนั้นนายอำเภอเป็นผู้ลงพื้นที่ไปชี้ให้ปลูก โดยได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ไปจับพิกัด GPS ไว้ ซึ่งก่อนหน้าที่จะลงมือปลูกนั้น ตนได้ทักท้วงนายอำเภอแล้ว ว่าพื้นที่นั้นเป็นพื้นที่ไร่หมุนเวียนที่ชาวบ้านได้ทำมาแต่เดิม หากปลูกชาวบ้านจะได้รับความเดือดร้อน พร้อมทั้งตนได้เสนอให้ไปปลูกในจุดอื่นที่ตนเองได้ขอเจ้าของที่ดินและเขาก็ยินยอมให้ปลูกแล้ว แต่นายอำเภอก็ยืนยันว่าให้ปลูกที่เดิม โดยบอกเพียงว่า "เพราะเป็นเขาหัวโล้น" นอกจากนี้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งยังได้บอกว่า "ตอนนี้รู้สึกกังวลมาก เนื่องจากเจ้าของที่ไม่ยินยอมให้ปลูก และเมื่อดูเงื่อนไขของทางอำเภอแล้วก็เหมือนเป็นการยึดที่ดินทำกินของเขาไปเลย"

เมื่อถามว่าเป็นโครงการอะไร ผู้ใหญ่บ้านหลายหมู่บ้านบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ใช้งบประมาณจาก "โครงการไทยนิยมยั่งยืน" ซึ่งรัฐบาลจัดสรรให้หมู่บ้านละ 200,000 บาท โดยในรายละเอียดอย่างอื่นนั้นผู้นำชุมชนไม่ทราบ เมื่อถึงเวลาทางอำเภอก็นำกล้าต้นไผ่และปุ๋ยมากระจายให้แต่ละหมู่ที่

โครงการนี้มีผลกระทบต่อชาวบ้านกระจายไปทั้งอำเภอ ซึ่งมีทั้งหมด 6 ตำบล 67 หมู่บ้าน ชาวบ้านในท้องที่ ต.แม่วะหลวง จึงได้เริ่มปรึกษาหารือกันแก้ไขปัญหาและขอความชัดเจนจากทางอำเภอ หากการปลูกป่าทับที่ครั้งนี้เป็นการยึดที่ดินทำกิน ก็จำเป็นต้องดำเนินการร้องเรียนไปยังรัฐบาลต่อไป เนื่องจากรัฐบาลนี้ได้ประกาศนโยบายแก้ไขปัญหาที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นประธาน

สำหรับข้อมูลทางการปกครอง อ.ท่าสองยาง เป็นอำเภอตอนเหนือสุดของ จ.ตาก ประกอบดว้ย 6 ตำบล 67 หมู่บ้าน เดิมมีฐานะเป็นกิ่งอำเภออยู่ในเขตการปกครองของ อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ต่อมาโอนมาขึ้นกับ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ พ.ศ. 2497 และยกฐานะเป็นอำเภอตั้งแต่ พ.ศ. 2501

ทั้งนี้ สกน.จังหวัดตาก ยังได้ทำหนังสือร้องเรียนลงวันที่ 11 ก.ค. 61 เรื่อง ขอให้ตรวจสอบโครงการปลูกป่าอำเภอท่าสองยาง โดยเรียนไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดตาก ทำสำเนาถึง ผอ.กอ.รมน. จังหวัดตาก, สหพันธุ์เกษตรกรภาคเหนือ รวมทั้งร้องเรียนผ่านสำนักนายกรัฐมนตรีด้วย

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #218 สำรวจชีวิตไพร่ผ่านขุนศึก-ข้าบดินทร์

Posted: 15 Jul 2018 05:17 AM PDT

สำรวจภาพความเป็นไพร่ และระบบไพร่ ที่นำเสนอผ่านนวนิยาย "ขุนศึก" และ "ข้าบดินทร์" ที่ถูกนำมาสร้างทั้งละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ โดยนอกจากจะนำเสนอชีวิตของไพร่ช่วงอยุธยาสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (ขุนศึก) และรัตนโกสินทร์ช่วงรัชกาลที่ 3 (ข้าบดินทร์) แล้ว ผู้ประพันธ์ยังพยายามสอดแทรกสำนึกความเป็นชาติด้วย

โดยชีวิตของทั้ง "เสมา" ในขุนศึก และ "เหม" ในข้าบดินทร์ ต่างผ่านช่วงอุปสรรค กรณีของข้าบดินทร์ ครอบครัวของ "เหม" ถูกลงโทษจนต้องลงไปเป็นตะพุ่นหญ้าช้าง แต่ตัวเอกของทั้ง 2 เรื่องก็ต่อสู้จนได้ความดีความชอบและได้เลื่อนยศเลื่อนบรรดาศักดิ์ในที่สุด อย่างไรก็ตามนวนิยายยังคงเน้นการนำเสนอ "ไพร่หลวง" ที่ขึ้นตรงกับรัฐ มากกว่าจะพูดถึงชีวิต "ไพร่สม" ที่สังกัดมูลนาย ซึ่งต้องแบ่งเวลาให้การรับใช้มูลนายกับทำงานหาเลี้ยงตัวเอง ทั้งหมดนี้ติดตามได้ในหมายเหตุประเพทไทย พบกับประภาภูมิ เอี่ยมสม และศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ชอว์น จาง' นักศึกษาชาวจีนผู้ใช้ภาพถ่ายดาวเทียม เปิดโปง 'ค่ายกักกันฯ' รัฐบาลจีน

Posted: 15 Jul 2018 04:05 AM PDT

สื่อโกลบแอนด์เมลนำเสนอเรื่องของชอว์น จาง นักศึกษาด้านนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยแห่งบริติชโคลัมเบีย ผู้ที่สนใจเรื่องสิทธิมนุษยชนในจีนโดยเฉพาะพื้นที่ทิเบตและซินเจียง เขาเป็นคนที่จริงจังกับเรื่องการสืบสวนเกี่ยวกับ "ค่ายกักกันปลูกฝังความเชื่อใหม่" ในซินเจียงโดยใช้ภาพถ่ายผ่านดาวเทียม อะไรทำให้เขาสนใจเรื่องค่ายกักกันนี้

 

 
15 ก.ค. 2561 "ค่ายกักกันปลูกฝังความเชื่อใหม่" เป็นค่ายที่ทางการจีนจับประชาชนในซินเจียงโดยเฉพาะชาวมุสลิมรวมนับแสนคนเข้าปลูกฝังความเชื่อทางการเมืองใหม่ โดยถึงแม้ทางการจีนจะอ้างว่าระบบดังกล่าวนี้เป็น "การฝึกอบรมทักษะวิชาชีพ" แต่นักวิจารณ์ก็มองว่ามันเหมือนกับ "เรือนจำทหาร" มากกว่า และหนึ่งในผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการบันทึกข้อมูลการละเมิดสิทธิมนุษยชนในเรื่องนี้คือนักศึกษาอายุ 28 ปี ชื่อ ชอว์น จาง เขาเกิดในประเทศจีนและปัจจุบันศึกษาอยู่คณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียจากโครงการให้ความช่วยเหลือด้านกฎหมาย (legal-aid)
 
จากภาพถ่ายดาวเทียมที่จางศึกษาแสดงให้เห็นว่าสภาพของค่ายกักกันฯ มีการวางรั้วลวดหนามและมีหอคอยเฝ้ายามตั้งอยู่รอบๆ การค้นหาสถานกักกันเหล่านี้กลายเป็นโครงการส่วนตัวของจาง มันทำให้เขาสามารถค้นพบแหล่งที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นค่ายกักกันได้แล้ว 21 แหล่ง แค่ในเดือน ก.ค. เดือนเดียวก็พบแหล่งต้องสงสัยถึง 6 แหล่ง โดยที่จางมองว่าแหล่งกักกันเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงประเด็นสิทธิมนุษยชนที่น่าเป็นห่วงในจีน
 
ในจีนมีความไม่ลงรอยกันระหว่างชาวจีนเชื้อสายฮั่นซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศกับชนกลุ่มน้อยมุสลิมชาวอุยกูร์มานานแล้ว ความไม่ลงรอยนี้แตกหักในเหตุการณ์จลาจลปี 2552 หลังจากนั้นทางการจีนก็มักจะโทษเหตุก่อการร้ายในประเทศว่าเป็นฝีมือชาวอุยกูร์ ขณะเดียวกันก็มีชาวอุยกูร์หลายร้อยคนที่ไปเข้าร่วมกลุ่มไอซิส
 
อย่างไรก็ตามจางมองว่าค่ายกักกันปลูกฝังความเชื่อของจีนเป็นความพยายามควบคุมพื้นที่ซินเจียงให้ได้เต็มรูปแบบ โดยอาศัยการลบล้างวัฒนธรรม ลบล้างอัตลักษณ์ และดูดกลืนชาวอุยกูร์
 
ดาร์เรน บายเลอร์ นักมานุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันที่ศึกษาเรื่องของมณฑลซินเจียงกล่าวถึงโครงการของจางว่าเป็นข้อมูลอ้างอิงที่น่าเชื่อถือมากและช่วยให้เห็นแผนการสร้างค่ายกักกันของรัฐบาลจีนในมุมกว้างได้ และจากที่บายเลอร์มองเห็นการสร้างค่ายกักกันจำนวนมากนี้เองทำให้เขาวิเคราะห์ได้ว่าโครงการปรับทัศนคติชาวอุยกูร์นี้เป็นสิ่งที่มีการวางแผนและจัดการมาเป็นระบบมาก บายเลอร์ตั้งข้อสังเกตว่าแต่ละค่ายกักกันมีการออกแบบตำแหน่งที่ตั้งสิ่งก่อสร้างต่างๆ คล้ายคลึงกันแบบที่ดูเหมือนวางแผนมาแล้วจากส่วนกลาง นอกจากนี้ยังเป็นหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ามีประชากรชาวอุยกูร์ราวร้อยละ 10 ที่ถูกจับเข้าค่ายกักกัน
 
ก่อนหน้าที่จะทำโครงการนี้จางเคยเป็นนักศึกษาวิชาวรรณกรรมจีนที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง และมีดีกรีปริญญาโทจากสาขาวิชาเอเชียตะวันออกศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตัสในเซนต์หลุยส์ รัฐมิสซูรี เขาวางเส้นทางอาชีพของตัวเองเอาไว้ว่าอยากเป็นนักวิชาการ การถกเถียงอภิปรายกับเพื่อนร่วมห้องและการได้ชมสารคดีการปราบปรามผู้ชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินทำให้เขามีแนวคิดการเมืองที่แหลมคมมากขึ้น นอกจากนี้จางยังสนใจแถลงการณ์กฎบัตร 08 ของนักวิชาการและนักสิทธิมนุษยชนในจีนที่เรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองแบบอำนาจนิยมของรัฐบาลจีน รวมถึงสนใจกรณีนักกิจกรรมรางวัลโนเบลหลิวเสี่ยวโปด้วย
 
จางบอกว่าเขาหวังว่าการเรียนด้านกฎหมายจะทำให้เขามีเครื่องมือในการไขว่คว้าความสนใจเกี่ยวกับเรื่องสิทธิมนุษยชน ตัวเขาเองไม่เรียกตัวเองว่าเป็นนักกิจกรรมแต่ข้อเขียนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของเขาในโลกออนไลน์ก็ทำให้ทางการจีนเข้ามาสอบสวนเขา เช่นในปี 2555 ตำรวจลับของจีนสอบสวนจางเกี่ยวกับทวิตเตอร์ที่เขาโพสต์เกี่ยวกับการประท้วงเรียกร้องประชาธิปไตยในจีนช่วงปี 2554
 
นอกจากตำรวจจีนยังเคยติดต่อหาพ่อแม่ของจางในช่วงต้นปีที่ผ่านมาหลังจากที่จางโพสต์ภาพธงทิเบตในทวิตเตอร์และโซเชียลมีเดียจีนเว่ยป๋อ โดยตำรวจจีนเรียกร้องให้เขาลบเนื้อหารูปภาพดังกล่าวทิ้ง หลังจากที่เขาไม่ยอมทางการจีนก็โน้มน้าวให้เพื่อนพ่อของจางซึ่งเป็นพนักงานรัฐฝ่ายโฆษณาชวนเชื่อพูดกับพ่อของจางแทน พ่อของจางถูกถ่ายภาพเก็บไว้ในการพบปะครั้งนั้นและถูกขอให้ลงนามในเอกสารเกี่ยวกับเรื่องที่พูดคุยกัน ตำรวจยังเคยติดต่อกับพ่อแม่ของจางอีกครั้งหลังจากที่เขาโพสต์ภาพของประธานาธิบดีสีจิ้นผิงในแบบที่ดูไม่สง่า รวมถึงมีการระงับบัญชีผู้ใช้เว่ยป๋อของเขาสองบัญชีในปีนี้
 
ถึงแม้ว่าจางจะไม่ได้ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจากรัฐบาลจีนในช่วงที่เขาอยู่ในมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบียในแคนาดา แต่เขาก็เข้าใจว่าโครงการสืบค้นเรื่องค่ายกักกันของจีนทำให้เขามีความเสี่ยง และนั่นทำให้จางบอกว่าเขาไม่อยากกลับไปจีนถ้าไม่ได้เดินทางไปด้วยหนังสือเดินทางของแคนาดา และเขาต้องการลงทะเบียนเป็นผู้อาศัยถาวรของแคนาดาในอีกไม่นานนี้
 
ขณะที่ทางการจีนปฏิเสธการมีอยู่ของของค่ายกักกันฯ สื่อของรัฐบาลก็เขียนถึงเรื่องการแพร่กระจายโฆษณาชวนเชื่อของอุดมการณ์พรรคคอมมิวนิสต์และความสำเร็จในโครงการของพวกเขาอย่างจริงจัง
 
สาเหตุที่จางต้องการสืบค้นเรื่องค่ายกักกันเหล่านี้มีแรงจูงใจมาจากการที่เขาต้องการหาหลักฐานที่เป็นรูปธรรมจากคำบอกเล่าของผู้ถูกจับกุมเข้าสถานกักกันเหล่านี้หรือจากปากคำญาติของพวกเขา จางยังหวังว่าประชาคมโลกจะกดดันจีนให้หยุดค่ายกักกันเหล่านี้ โดยทูตแคนาดามีการพูดถึงประเด็นนี้ต่อจีนและในที่ประชุมขององค์การสหประชาชาติแล้ว
 
 
เรียบเรียงจาก
 
UBC student uses satellite images to track suspected Chinese re-education centres where Uyghurs imprisoned, The Globe and Mail, 09-07-2018
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จ่อฟันโทษวินัยนายทหารใช้พลทหารเลี้ยงไก่-ทุบตี พบมีมูล

Posted: 15 Jul 2018 03:50 AM PDT

โฆษก ทบ. ระบุผลสอบนายทหารใช้พลทหารเลี้ยงไก่-ทุบตี พบมีมูล ใช้งานกำลังพลอย่างไม่เหมาะสม ทางหน่วยดำเนินการด้านวินัยกับนายทหารคนดังกล่าวแล้ว ส่วนพลทหารที่เลี้ยงไก่ปัจจุบันได้ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่กองร้อยโดยไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด

 
15 ก.ค. 2561 สืบเนื่องจากกรณีที่พลทหารรายหนึ่ง อัดคลิปความยาว 11 นาที เปิดเผยชีวิตความเป็นอยู่ หลังต้องการมารับใช้ชาติ ที่กองพันทหารราบที่ 2 ศูนย์การทหารราบ (ค่ายธนะรัชต์) อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ถูกส่งมาให้เลี้ยงไก่นับร้อย ถูกตบหน้า ตี ด่าพ่อล่อแม่สารพัด หากดูแลไก่ไม่ดี (อ่านเพิ่มเติม: โฆษก ทบ.แจง 'คลิปพลทหารเลี้ยงไก่' เป็นลักษณะการไหว้วานให้ทำ)
 
ล่าสุดมีความคืบหน้า เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานเมื่อเมื่อวันที่ 15 ก.ค. 2561 พันเอกวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีนี้อีกครั้งว่าจากการตรวจสอบพบว่าเรื่องดังกล่าวมีมูล ทางผู้บังคับบัญชาระดับสูงจึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงของหน่วย และได้มีการสอบสวนโดยละเอียดแล้ว พบว่ามีการใช้งานกำลังพลอย่างไม่เหมาะสม ทางหน่วยจึงพิจารณาดำเนินการทางด้านวินัยกับกำลังพลนายทหารคนดังกล่าว สำหรับพลทหารคนดังกล่าวปัจจุบันได้ให้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตามปกติที่กองร้อยแล้วโดยไม่มีการลงโทษแต่อย่างใด
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เอฟทีเอ ว็อทช์' ปฏิเสธคำเชิญประชุมทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลง CPTPP

Posted: 15 Jul 2018 03:30 AM PDT

กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ปฏิเสธคำเชิญประชุมกลุ่มย่อยเพื่อพิจารณาข้อบทด้านทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) เกรงเข้าไปร่วมประชุมแม้เพียงครั้งเดียวก็อาจถูกเหมารวมว่าเป็นการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ แล้ว 

 
 
15 ก.ค. 2561 กลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ได้ทำหนังสือถึงอธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา ระบุว่าตามที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้จัดการประชุมกลุ่มย่อยเพื่อพิจารณาข้อบทด้านทรัพย์สินทางปัญญาตามความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) กับหน่วยงานภาครัฐ-ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม ช่วงบ่ายวันจันทร์ที่ 16 ก.ค. 2561 นี้
       
ทางกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) ในฐานะภาคประชาสังคมที่ติดตามการเจรจาการค้าเสรีที่จะมีผลกระทบต่อสังคมไทยในด้านต่างๆ ขอแสดงความขอบคุณที่ได้เชิญให้เรามีส่วนร่วมในการพิจารณาครั้งนี้ 
      
อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์พิจารณาแล้วว่าเรายังไม่เห็นความตั้งใจและจริงใจของรัฐบาล คสช.ในการที่จะใช้ข้อมูลความรู้และความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆประกอบการพิจารณาเข้าร่วมความตกลง CPTPP มากพอ มีเพียงให้ทุกหน่วยงานรัฐเดินหน้าเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นเข้าสู่ความตกลงฯ ที่เจรจาเสร็จสิ้นแล้ว ตามคำสั่งของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์รองนายกรัฐมนตรีที่ระบุให้เข้าร่วมให้ได้ในสิ้นปีนี้ และท่าทีของผู้บริหากระทรวงพาณิชย์ทั้งรัฐมนตรีว่าการ รัฐมนตรีช่วย และปลัดกระทรวงที่ได้กล่าวต่อหน้าการประชุมหน่วยงานรัฐที่ให้เดินหน้าตามนโยบายดังกล่าว ทำให้ทางกลุ่มเอฟทีเอ ว็อทช์เกรงว่า การเข้าไปร่วมประชุมแม้เพียงครั้งเดียวก็อาจถูกเหมารวมว่า เป็นการรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ แล้ว ซึ่งนั่นไม่อาจยอมรับได้
      
สำหรับข้อบททรัพย์สินทางปัญญาในความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิค (CPTPP) นั้น แม้จะมีการละไว้หลายประเด็นอ่อนไหว เมื่อสหรัฐฯถอนตัวออกไปจากความตกลงฯ แต่ยังคงมีประเด็นที่จะกระทบต่อการเข้าถึงยาของประชาชน และส่งผลกระทบต่อหลักประกันสุขภาพแห่งชาติของประเทศ โดยเฉพาะในเรื่องความเชื่อมโยงของระบบทรัพย์สินทางปัญญากับการขึ้นทะเบียนยาหรือที่เรียกว่า Patent Linkage, การบังคับใช้กฎหมาย หรือ Enforcement  ซึ่งเกินไปกว่าความตกลงทริปส์ในองค์การการค้าโลก นอกจากนี้ยังมีบทที่นอกเหนือจากบททรัพย์สินทางปัญญาแต่มีความเชื่อมโยงกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ใช้ชื่ออย่างดูดีว่า บทว่าด้วยความโปร่งใส (Transparency) ความสอดคล้องกันของระเบียบ (Regulatory Coherence) บทว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ (Government Procurement) บทว่าด้วยรัฐวิสาหกิจ (State Owned Enterprises) และบทที่ว่าด้วยการคุ้มครองการลงทุน (Investment and ISDS)  ล้วนแล้วแต่จะมีผลกระทบโดยตรงต่อระบบการจัดซื้อและคัดเลือกยา รวมทั้งต่อรองราคายา แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างละเอียดมากพอ ซึ่งในที่สุดอาจจะพบว่าผลกระทบที่จะเกิดขึ้นในด้านต่างๆในระยะยาวจะมีผลเสียหายรุนแรงมากกว่าผลประโยชน์ที่กลุ่มทุนไทยจะได้รับในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็เป็นได้
      
ดังนั้นแม้ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาจะมีความตั้งใจและจริงใจในการจัดการประชุมเพื่อพิจารณาข้อบทและการเตรียมพร้อม ก็ยังไม่อาจทำให้ภาคประชาสังคมมั่นใจได้ในภาวะอำนาจที่นิยมเช่นนี้ว่า ข้อห่วงใยที่มีหลักฐานของภาคสังคมจะถูกรับฟังและนำไปปฏิบัติอย่างจริงจัง เมื่อผู้กำหนดนโยบายของรัฐบาล คสช. ต้องการเร่งให้เห็นผลทางเศรษฐกิจระยะสั้นๆ และเพื่อเอาใจกลุ่มทุนไทยและต่างชาติดังที่ปรากฏในการออกนโยบายตลอด 4 ปีนี้
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ฟ้องเรียกค่าเสียหาย 3.1 แสนบาทชาวกะเหรี่ยงทำโลกร้อน สุดท้ายศาลฎีกาสั่งยก

Posted: 15 Jul 2018 02:37 AM PDT

กรมอุทยานแห่งชาติฯ ฟ้องชาวกะเหรี่ยงปลูกข้าว 3 ไร่ 2 งาน เรียกค่าเสียหาย 3.1 แสนบาท สุดท้ายศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมสั่งยกค่าเสียหาย ชี้ผู้ฟ้องใช้งานวิจัยเก่า ไม่ได้เก็บข้อมูลจากพื้นที่เกิดเหตุจริง และเชื่อว่าป่าสามารถกลับมาฟื้นฟูด้วยตนเองได้ ผอ.ศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาชี้ชุมชนบ้านป่าผากตั้งมาหลายร้อยปี พื้นที่พิพาทกับกรมอุทยานแห่งชาติฯ เป็นไร่หมุนเวียนดั้งเดิมของชุมชน ผ่านมา 11 ปีฟื้นตัวกลายเป็นป่าแล้ว

ชาวบ้านกะเหรี่ยงจำเลยทั้ง 3 คน

ป่าฟื้นตามธรรมชาติเป็นป่าสมบูรณ์เมื่อ 12 ส.ค. 2559

หนึ่งในจำเลยถ่ายรูปคู่กับพื้นที่ทำข้าวไร่ในปี 2548 ปัจจุบันฟื้นฟูกลายเป็นป่าไม้แล้ว

กรณีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอมรเทพ ศุภกรสกุล นางมะลิ งามยิ่ง และนางมะและหยิ่ง งามยิ่ง ชาวกะเหรี่ยงบ้านป่าผาก ต.วังยาว อ.ด่านช้าง จ.สุพรรณบุรี ที่เข้าไปหยอดปลูกข้าวไร่เป็นเนื้อที่ 3 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา ซึ่งเป็นพื้นที่ป่า อันเป็นการทำลายป่า ทำให้เสื่อมสภาพทรัพยากรธรรมชาติ ล่าสุดคดีดังกล่าวซึ่งฟ้องมาตั้งแต่ปี 2548 มาถึงศาลฎีกาแล้ว

โดยเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2561 ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อม คดีที่กรมอุทยานแห่งชาติฯ เรียกร้องต่อศาลฎีกาซึ่งเรียกกันว่าคดีโลกร้อนได้แก่  มูลค่าเนื้อไม้และความเพิ่มพูนไร่ละ 60,024 บาทต่อปี  มูลค่าของป่าไร่ละ 232.25 บาทต่อปี  มูลค่าของธาตุอาหารในดินไร่ละ 767.97 บาทต่อปี  การปลูกป่าและทำนุบำรุงป่าไร่ละ 7,220 บาทต่อปี  และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันที่ 18 พฤษภาคม 2548  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 310,474.12 บาท

ศาลฎีกาแผนกสิ่งแวดล้อมเห็นว่า เป็นหน้าที่ของโจทก์ (กรมอุทยานแห่งชาติฯ) ต้องนำสืบถึงความเสียหายตามจำนวนเงินที่ฟ้อง โดยสำรวจและเก็บข้อมูลทั้งไม้และดินจากป่าที่เกิดเหตุ การใช้แบบจำลองค่าเสียหายที่ไม่ตรงกับสภาพป่า การไม่เก็บข้อมูลทั้งไม้และดิน และการอ้างงานวิจัยตั้งแต่ปี 2519 และ 2535 เป็นงานวิจัยเก่า เนื่องจากคดีเกิดปี 2548 ซึ่งหลังจากงานวิจัยหลายปี ดังนั้นพยานหลักฐานของโจทก์ (กรมอุทยานแห่งชาติฯ) จึงไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ป่าที่เกิดเหตุเสียหายตามฟ้อง ประกอบกับนายสุรพงษ์ กองจันทึก จากศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนา อาจารย์พิเศษมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เข้าสำรวจที่เกิดเหตุเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2559 พบว่า ขณะที่เข้าไปสำรวจป่ามีสภาพสมบูรณ์แล้ว

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษา และให้ยกฎีกาของโจทก์ (กรมอุทยานแห่งชาติฯ) เนื่องจากฟังไม่ขึ้น  ซึ่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ลงวันที่ 28 มีนาคม 2560 มีว่า "อุปกรณ์ในการกระทำผิดที่ยึดได้มีเพียง มีด 2 เล่ม ไม้สำหรับหยอดข้าว 1 อัน  แสดงว่าการกระทำของจำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้ร้ายแรงมากนัก  และพื้นที่ซึ่งถูกบุกรุกก็มีเพียง 3 ไร่ 2 งาน 80 ตารางวา  การที่ศาลชั้นต้นใช้ดุลยพินิจกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ต้องร่วมชดใช้แก่โจทก์เป็นเงิน 37,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันทำละเมิดนั้น  นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดแล้ว"

นายสุรพงษ์ กองจันทึก ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษากะเหรี่ยงและพัฒนาเปิดเผยว่า หมู่บ้านป่าผากที่ชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นจำเลยทั้งสามคนอาศัยอยู่ เป็นหมู่บ้านเก่าแก่ ตั้งมาหลายร้อยปีแล้ว  จำเลยทั้งสามก็เกิดและอาศัยทำกินในพื้นที่นี้ตลอดมา พื้นที่พิพาทเป็นไร่หมุนเวียนดั้งเดิมของชุมชน  ชาวบ้านทั้งสามเข้าไปปลูกข้าวไร่ไว้รับประทานเองตามวิถีชีวิตชาวกะเหรี่ยงซึ่งเป็นไร่หมุนเวียนใช้พื้นที่เพียง 3 ไร่ ตนเข้าไปดูพื้นที่เกิดเหตุในปี 2559 ซึ่งหลังจากเหตุเกิด 11 ปี  พบว่าป่าได้ฟื้นสภาพตามธรรมชาติเป็นป่าสมบูรณ์  ไม่พบร่องรอยความเสียหายต่อทรัพยากรธรรมชาติแต่อย่างใด เป็นการยืนยันว่าไร่หมุนเวียนเป็นการรักษาป่าและสภาพแวดล้อม ซึ่งมีการศึกษาวิจัยรองรับจำนวนมาก  จนกระทรวงวัฒนธรรมประกาศให้ไร่หมุนเวียนของชาวกะเหรี่ยงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของชาติในปี 2546

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จับต่างชาติงมหอยเขตอภัยทานคูเมืองเชียงใหม่

Posted: 15 Jul 2018 02:22 AM PDT

เทศกิจ-ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ จับบุคคลต่างชาติลักลอบจับสัตว์น้ำในเขตอภัยทานรอบคูเมือง เข้มตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติและสถานประกอบการ ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน

 
 
15 ก.ค. 2561 เพจสำนักงานเทศกิจ เทศบาลนครเชียงใหม่ รายงานว่าเมื่อเวลา 15.10 น. ของวันที่ 12 ก.ค. 2561 เจ้าหน้าที่เทศกิจแขวงศรีวิชัยพร้อมรถสายตรวจ 701 และนิติกร ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ กรณีบุคคลต่างชาติลักลอบจับสัตว์น้ำในเขตอภัยทานรอบคูเมือง บริเวณคูเมืองด้านในหน้าร้านณรงค์หีบศพ ถนนอารักษ์ โดยผู้กระทำความผิดถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเชียงใหม่ทำการจับกุมและแจ้งให้ทางเทศกิจเข้าร่วมลงบันทึกประจำวัน ที่ สภ. เมืองเชียงใหม่ ส่วนเรื่องคดีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองจะเป็นคนดำเนินการเอง
 
เข้มตรวจสอบการทำงานของคนต่างชาติและสถานประกอบการ ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
 
 
 
 
 
ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ รายงานว่านายธรรศณัฏฐ์ นุชแสงพลี สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดเชียงใหม่ มอบหมายให้นางสาวบุญญาพร ไชยพรหม นักวิชาการแรงงานชำนาญการ ตรวจบูรณาการร่วมกับ กอ.รมน. ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 33 กองร้อยรักษาดินแดน จ.เชียงใหม่ และหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เพื่อปราบปรามแรงงานต่างชาติที่ลักลอบทำงานผิดกฎหมายและนายจ้างที่รับคนต่างชาติไม่มีใบอนุญาตทำงาน หรือทำงานนอกเหนือจากที่มีสิทธิจะทำได้ โดยยึดแนวปฏิบัติตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 101/2557 ลงวันที่ 21 กรกฎาคม 2557 โดยได้ตรวจสถานประกอบกิจการจำนวน 3 แห่ง จากการตรวจสอบและคัดกรองเบื้องต้น ไม่พบการกระทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยการทำงานของคนต่างชาติ และไม่พบพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการค้ามนุษย์ ซึ่งพนักงานตรวจแรงงานได้ชี้แจงเกี่ยวกับสิทธิหน้าที่ของนายจ้าง ลูกจ้าง ตาม พรบ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 แล้ว
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สธ. เตรียมความพร้อมร่างกายและจิตใจทีมหมูป่าให้พร้อมกลับบ้าน

Posted: 15 Jul 2018 01:17 AM PDT

เผยทีมแพทย์จิตแพทย์สหวิชาชีพโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ดูแลรักษาทีมนักฟุตบอลเยาวชนและโค้ชให้พร้อมกลับบ้าน วันนี้สภาพร่างกายดีขึ้นตามลำดับ เตรียมความพร้อมด้านจิตใจให้รับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกคนร้องไห้เขียนแสดงความรู้สึกขอบคุณบนภาพวาดของนาวาตรีสมานและสัญญาว่าจะเป็นคนดี

 
 
15 ก.ค. 2561 เพจโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ รายงานว่า นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าได้รับรายงานจากนายแพทย์ไชยเวช ธนไพศาล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ภายหลังจากที่ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้มาเยี่ยมให้กำลังใจนักฟุตบอลเยาวชนทีมหมูป่าอะคาเดมีและโค้ช ซึ่งพบว่าทุกคนมีสภาพร่างกายดีขึ้นตามลำดับ ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ไม่พบเชื้อโรคติดต่ออุบัติใหม่ ทีมแพทย์ได้มีการปรับห้องให้มีความเหมาะสม พร้อมให้ญาติเข้าเยี่ยมดูแลใกล้ชิด
 
อาการล่าสุดเช้าวันนี้ กลุ่มที่ 1 จำนวน 4 คน เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 8 ก.ค. 2561 อาการทั่วไปปกติ ไม่มีไข้ รับประทานอาหารได้ปกติ สำหรับ 2 รายที่มีปัญหาปอดติดเชื้ออาการดีขึ้น ให้ยาปฏิชีวนะครบ 7 วันแล้ว กลุ่มที่ 2 จำนวน 4 คน เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตั้งแต่วันที่ 9 ก.ค. 2561 อาการโดยรวมดี สัญญาณชีพปกติ ไม่มีไข้ รับประทานอาหารได้ปกติ รอให้ยาปฏิชีวนะครบ 7 วัน และกลุ่มที่ 3 จำนวน 5 คน เข้ารับการรักษาตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค. 2561 อาการทั่วไปปกติ ไม่มีไข้แล้ว รายที่มีอาการหูอื้อดีขึ้น รอให้ยาปฏิชีวนะครบ 7 วัน
 
นพ.เจษฎา กล่าวต่อว่าสำหรับการดูแลด้านจิตใจ เมื่อวานนี้ (14 ก.ค. 2561) แพทย์พิจารณาแล้วว่าสภาพร่างกายของน้อง ๆ นักฟุตบอลและโค้ชแข็งแรงขึ้น สภาพจิตใจดีขึ้น จึงได้ตัดสินใจให้ญาติแจ้งข่าวการเสียชีวิตของนาวาตรีสมาน กุนัน ภายใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของทีมจิตแพทย์ นักจิตวิทยา ซึ่งทุกคนร้องไห้และแสดงความเสียใจ โดยเขียนความรู้สึกลงบนภาพวาดของนาวาตรีสมาน ร่วมกันยืนไว้อาลัย กล่าวขอบคุณและสัญญาว่าจะเป็นคนดี ซึ่ง พล.ต.วุฒิไชย อิศระ แพทย์ใหญ่กองทัพภาค 3 ได้กล่าวกับผู้ประสบภัยในฐานะตัวแทนทหารว่าถือเป็นภารกิจเป็นเกียรติยศศักดิ์ศรี
 
นอกจากนี้ทีมจิตแพทย์นักจิตวิทยาสหวิชาชีพของโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ได้วางแผนการดูแลต่อเนื่อง เช่น การสื่อสารในครอบครัว การทำกลุ่มเตรียมความพร้อมก่อนกลับบ้าน การประสานงานกับสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาเพื่อติดตามผลในระบบโรงเรียน เพื่อให้ทุกคนมีสภาพจิตใจพร้อมที่จะกลับไปดำเนินชีวิตที่บ้าน โดยเฉพาะในช่วง 1 เดือนหลังออกจากโรงพยาบาล ซึ่งราชวิทยาลัยจิตแพทย์แห่งประเทศไทยได้มีข้อเสนอแนะสิ่งที่ควรและไม่ควรทำสำหรับผู้เกี่ยวข้อง ทั้งสื่อมวลชน ตัวน้อง ๆ และโค้ชทีมหมูป่า ครอบครัว โรงเรียนชุมชน และสังคม
 
"เข้าใจว่าทุกคนมีความเป็นห่วงและหวังดี ไม่อยากให้มีการตำหนิหรือกล่าวโทษใคร ขอให้ใช้ช่วงเวลานี้ในการช่วยเหลือหรือให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้เป็นช่วงเวลาที่ดีงามของคนทั้งประเทศ" นพ.เจษฎา กล่าว 
 
ททท.ออกคลิป 30 วินาที ขอบคุณประชาคมโลกแทนคนไทยทั้งประเทศ ช่วย 13 ชีวิตหมูป่าติดถ้ำหลวง
 
 
สำนักข่าวไทย รายงานว่านายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของ ททท.ได้ทำการผลิตคลิปวีดิโอความยาว 30 วินาที เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในการช่วยเหลือ 13 ชีวิตทีมหมูป่าอะคาเดมี ที่ถ้ำหลวง จ.เชียงราย เพื่อขอบคุณประชาคมโลกที่แสดงน้ำใจในการช่วยเหลือเด็กๆและโค้ช จนออกมาจากถ้ำได้อย่างปลอดภัย โดยจะนำเสนอผ่านเครือข่ายทั่วโลกของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ในช่วงระหว่างเดือน ก.ค. นี้ไปจนถึงเดือน ส.ค.

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเศรษฐศาสตร์แนะเก็บภาษีลาภลอยต้องสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ

Posted: 15 Jul 2018 12:58 AM PDT

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ให้ความเห็นกรณีรัฐบาลเตรียมเก็บภาษีลาภลอย ต้องมุ่งเป้าหมายไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การขยายฐานรายได้ภาษี

 
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
 
15 ก.ค. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นกรณีรัฐบาลเตรียมเก็บภาษีลาภลอยว่าการเก็บภาษีลาภลอยต้องมุ่งเป้าหมายไปที่การสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม การขยายฐานรายได้ภาษี มีการจัดเก็บภาษีตามประโยชน์จากการลงทุนของรัฐที่ได้รับอย่างเป็นธรรม ในเบื้องตันจะมีการจัดเก็บภาษีลาภลอยจากบุคคลหรือนิติบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินหรือครอบครองที่ดิน ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เจ้าของห้องชุดที่ใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ที่มีมูลค่าสูงกว่า 50 ล้านบาท และ พื้นที่จัดเก็บภาษีกำหนดขอบเขตไว้ไม่เกินรัศมีสูงสุดไม่เกิน 5 กิโลเมตรรอบโครงการ 
 
สัดส่วนภาษีต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ประมาณ 17-18% เศรษฐกิจนอกระบบมีขนาดใหญ่ มีฐานภาษีแคบ ผู้ที่อยู่ในระบบภาษีมีจำนวนน้อยกว่าที่ควรจะเป็นก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบภาษี ผู้ที่เสียภาษีอยู่ต้องแบกรับภาระมากเกินไป การเก็บภาษีลาภลอยจะช่วยสร้างความเป็นธรรมทางสังคมและเศรษฐกิจเพราะเป็นการจัดเก็บภาษีจากผู้ที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากโครงการลงทุนต่างๆของรัฐ สังคมไทยนั้นอาจจะมีความไว้เนื้อเชื่อใจต่อภาครัฐในการนำเงินภาษีของประชาชนไปใช้ไม่สูงนัก จึงไม่เอื้อให้ประชาชนยินดีจ่ายภาษีมากนัก ทั้งที่การเสียภาษีเป็นหน้าที่และผู้จ่ายภาษีมีส่วนสำคัญในการร่วมพัฒนาประเทศ
 
ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า รัฐบาลควรทำประมาณการรายได้จากภาษีลาภลอยเพื่อสามารถวางแผนงบประมาณในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานได้ดีขึ้น โดยสามารถลดการกู้เงินในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็น โครงการระบบราง ท่าเรือ สนามบิน โครงการทางด่วนพิเศษ เป็นต้น หน่วยงานจัดเก็บภาษีควรดำเนินการร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลางและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รายได้จากภาษีลาภลอยควรแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่ง มอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อใช้บำรุงรักษาและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในพื้นที่ อีกส่วนหนึ่ง เก็บรายได้เข้ารัฐบาลกลางเพื่อนำไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในพื้นที่ซึ่งยังไม่มีการพัฒนา เพื่อให้ความความเจริญทางเศรษฐกิจและการพัฒนากระจายตัวไปยังพื้นที่ชนบท ไม่กระจุกตัวเฉพาะในกรุงเทพฯและปริมณฑล 
 
ดร.อนุสรณ์ กล่าวอีกว่าภายใต้โลกาภิวัตน์ไร้พรมแดน การใช้มาตรการภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำมีข้อจำกัดมากขึ้น การลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจจึงต้องมุ่งไปที่การใช้มาตรการใช้จ่ายทางด้านสวัสดิการ การผ่านกฎหมายภาษีมรดก รัฐบาลก็แทบจะเก็บภาษีไม่ค่อยได้เพราะมีการยักย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปต่างประเทศ อย่างล่าสุด รัฐบาลก็ต้องอนุมัติในหลักการร่างกฎหมายทรัสต์เพื่อจัดการทรัพย์สินเพื่อช่วยลดการนำทรัพย์สินออกไปบริหารจัดการนอกประเทศ รัฐบาลควรให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเพื่อทำให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในระบบ หากมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ก็ไม่ต้องเสียภาษี หากมีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน รัฐสามารถดูแลสวัสดิการกลุ่มคนที่มีรายได้น้อยนี้โดยนำเอามาตรการรายจ่ายด้านสวัสดิการมาผูกกับระบบภาษีได้ด้วย เมื่อมีฐานข้อมูลตรงนี้ก็จะสามารถใช้มาตรการเงินโอนเพื่อผู้มีรายได้น้อย (Negative Income Tax) ได้ มาตรการนี้จะสร้างแรงจูงใจให้คนเข้ามาอยู่ในระบบภาษี ในเวลาที่มีรายได้น้อยยากจน ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีจะได้รับเงินโอนช่วยเหลือ ในอนาคตเมื่อมีรายได้เพิ่มขึ้นเข้าเกณฑ์การเสียภาษีก็จะเข้าสู่ระบบเสียภาษีโดยอัตโนมัติ การมีรายได้ของคนไทยอย่างชัดเจนทำให้การจัดสวัสดิการและการใช้งบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
 
นอกจากนี้รัฐควรไปศึกษาการปฏิรูปภาษีให้สอดคล้องกับระบบเศรษฐกิจดิจิทัลด้วย เนื่องจากธุรกรรมการซื้อขายสินค้าและบริการ ระบบการชำระเงินเกิดขึ้นในโลกออนไลน์และเว็บไซต์ซึ่งก่อให้เกิดความไม่ชัดเจนในการจัดเก็บภาษีและบางครั้งก็ไม่สามารถเก็บภาษีได้จากความซับซ้อนของธุรกรรมผ่านระบบดิจิทัลเหล่านี้ และ การจะแก้ไขปัญหานี้ต้องอาศัยความร่วมมือในระดับโลกที่ต้องมีแนวทางปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน นอกจากนี้ รัฐควรศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการลดความเป็นระบบราชการของกรมจัดเก็บภาษี โดยปรับเปลี่ยนสู่การเป็น องค์กรจัดเก็บภาษีกึ่งอิสระ (Semi-Autonomous Revenue Agency) 
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เตรียมคลอดต้นแบบการเรียนการสอนเอาตัวรอดจากสถานการณ์ฉุกเฉิน

Posted: 14 Jul 2018 11:24 PM PDT

สพฉ.ผนึกภาคประชาสังคม หน่วยงานรัฐและเอกชนหลากหลายองค์กรเตรียมคลอดต้นแบบการเรียนการสอนเด็กๆ ให้เรียนรู้เรื่องการเอาตัวรอดจากจากเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินและสถานการณ์ฉุกเฉิน 7 เรื่อง อาทิ การเอาตัวรอดจากการจมน้ำ ไฟไหม้ การเรียนรู้การทำ CPR การใช้งานเครื่อง AED และการสังเกตอาการหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน หัวใจขาดเลือดรวมถึงการฝึกการขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 เชื่อจะช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตให้เด็กจากการเจ็บป่วยฉุกเฉินได้

 
 
15 ก.ค. 2561 เหตุการณ์ที่นักฟุตบอลเเละโค้ช ทีมหมูป่าอะคาเดมีเเม่สาย กว่า 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง – ขุนน้ำนางนอนจังหวัดเชียงรายทำให้เรื่องการเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติสำหรับเด็กๆ และเยาวชนได้กลายเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีการพูดถึงกันในสังคมตอนนี้ ล่าสุด นพ.ไพโรจน์ บุญศิริคำชัย รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้ออกมากล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เรื่องการสอนให้เด็กๆ ของเราเตรียมการรับมือกับการเจ็บป่วยฉุกเฉินต่าง ๆ รวมถึงการสอนให้เขารู้ถึงวิธีในการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นเรื่องที่จำเป็นที่เราควรมีการบรรจุเป็นหลักสูตรการเรียนการสอนที่ชัดเจนเพราะเราไม่สามารถรู้เลยว่าเด็กๆ ของเราจะพบเจอกับเหตุการณ์เจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ทางภัยพิบัติที่ไหนเมื่อไหร่อย่างไร ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติได้เคยจัดเวทีระดมความคิดเห็นจากหลากหลายภาคส่วนไม่ว่าจะเป็นองค์กรพัฒนาเอกชน มูลนิธิต่างๆ รวมถึงหน่วยงานของรัฐบาลหลากหลายองค์กรรวมถึงกระทรวงศึกษาธิการเพื่อช่วยกันสร้างร่างหลักสูตรการการเรียนการสอนเด็กๆ ให้รู้จักการเอาตัวรอดจากเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินหรือเหตุการณ์ภัยพิบัติ ซึ่งหลังจากที่เราระดมความคิดเห็นผ่านการทำ work shop กับหลากหลายหน่วยงานพวกเราก็ได้คลอดร่างคู่มือต้นแบบออกมา 7 เรื่องเพื่อให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาและวิธีปฏิบัติจากการเจ็บป่วยฉุกเฉินและภัยพิบัติต่างๆ
 
รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติกล่าวว่า ซึ่งเจ็ดหลักสูตร 7 เรื่องประกอบด้วย 1. การเรียนรู้การเอาตัวรอดจากจากการเดินเท้าทั้งบนฟุตบาธ ทางเดิน หรือแม้กระทั่งการข้ามถนน ซึ่งเด็ก ๆจะต้องเรียนรู้เรื่องราวของการเดินเท้าหรือข้ามถนนอย่างปลอดภัยเพื่อให้ตนเองปลอดภัยจากอุบัติเหตุ ซึ่งรูปแบบการเรียนการสอนนั้นจะเหมาะสมหรับเด็กประถมศึกษาปีที่ 1 ขึ้นไป นอกจากนี้ยังจะมีแนวทางในการขับขี่รถอย่างปลอดภัยที่จะใช้สอนเด็กในวัยมัธยมอีกด้วย ส่วนเรื่องที่ 2. คือหลักสูตรที่จะให้เด็กๆ ได้เรียนรู้และรับมือกับโรคจิตเวชซึ่งก็คือการเตรียมการรับมือกับเรื่องของภาวะซึมเศร้าและภาวะเครียดที่เราจะพบเห็นเด็กๆ เครียดซึมเศร้าและฆ่าตัวตายเยอะ ดังนั้นเด็กๆ ควรได้เรียนรู้วิธีในการสังเกตตนเองเฝ้าระวังตนเองและหากทางออกให้กับตนเองในอาการเหล่านี้ได้ ถ้าเข้าได้เรียนรู้ผ่านหลักสูตรของเรา
 
3.หลักสูตรเรื่องการเตรียมพร้อมในการรับมือกับภาวะโรคหลอดเลือดสมองเฉียบพลัน ซึ่งเด็กๆ ของเราจะต้องเรียนรู้อาการเบื้องต้นของโรคว่าโรคหลอดเลือดสมองอาการที่ทำให้เกิดภาวะฉุกเฉินเช่นปากเบี้ยวแขนขาอ่อนแรงเขาจะต้องช่วยเหลือตนเองอย่างไร หรือช่วยเหลือคนที่มีอาการเหล่านี้ได้อย่างไรและเขาควรได้รับการช่วยเหลือทางการแพทย์กี่ชั่วโมงเด็กๆ ต้องรู้ข้อมูลต่างๆ เหล่านี้ในบทเรียนนี้ บทเรียนที่ 4.คือการเรียนรู้อาการของโรคภาวะหัวใจขาดเลือดซึ่งในบทเรียนก็สอนให้เด็กๆ สังเกตอาการของผู้ที่เป็นโรคนี้เช่นหากเด็กๆเจ็บหน้าอกใจสั่นเหมือนจะเป็นลมเขาจะต้องรู้ว่าอาการเหล่านี้เข้าข่ายโรคหัวใจขาดเลือดหรือโรคหลอดเลือดสมองหรือไม่ก็เขาจะเรียกคนให้มาช่วยได้อย่างไร และเด็กเขาจะได้เรียนรู้เรื่องการแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 ด้วย
 
หลักสูตรที่ 5.เด็กจะได้เรียนรู้เรื่องการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินจากเหตุอัคคีภัยและเหตุอุทกภัยในทุกๆ กรณีด้วยเหตุอัคคีภัยก็คือเด็กๆ สามารถที่จะเรียนรู้การเอาตัวรอดจากการเหตุการณ์ไฟไหม้ต่างๆ ได้ และในส่วนของอุทกภัยก็คือเด็กๆ จะต้องเอาตัวรอดจากการจมน้ำในทุกๆ กรณีให้ได้ เขาจะต้องเรียนรู้หลักการในการช่วยเหลือคนที่ถูกต้องเช่นการตะโกนโยนยื่น และเขาจะต้องฝึกลอยตัวในน้ำเพื่อรอความช่วยเหลือได้หากเขาตกน้ำหรือจมน้ำ โดยหลักสูตรที่เรารวมกันออกแบบทุกอันจะสอนให้เด็กๆ เอาตัวรอดจากเหตุการณ์เหล่านี้และแจ้งขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 เป็นได้ 6.หลักสูตรเรื่องการเรียนการสอบเกี่ยวกับการทำ CPR หรือการช่วยฟื้นคืนชีพขั้นต้น เด็กๆจะต้องเรียนรู้วิธีในการทำ CPR ให้เป็นทุกคน และเขาสามารถที่จะช่วยผู้อื่นด้วยการทำ CPR ได้ และ 7.หลักสูตรเรื่องการเรียนรู้การใช้งานเครื่อง AED เบื้องต้น ซึ่งเด็กๆ ทุกคนจะต้องเรียนรู้เรื่องการใช้งานเครื่อง AED ให้เป็น นี่คือสิ่งที่เรากำลังพยายามผลักดันกับหลายหน่วยงานให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งขณะนี้เนื้อหาทั้งหมดเราทำเกือบเสร็จแล้วเหลือแค่การออกแบบสื่อการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับเด็กๆ ในแต่ละวัยและแต่ละชั้นเรียนเท่านั้นเอง 
 
นพ.ไพโรจน์กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนเรื่องของการท่องเที่ยวในแถบภูเขา ทะเล หรือป่าอุทยานจะต้องจัดให้มีองค์ความรู้เช่นกัน เพราะโดยส่วนตัวของนักเรียนเองหรือประชาชนที่จะเข้าไปในพื้นที่ก็ไม่สามารถคาดคิดได้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ ดังนั้นการสอนให้เขามีเตรียมตัวล่วงหน้าเป็นสิ่งจำเป็นในแต่ละสถานการณ์ต่างๆ การเตรียมการรับมือกับเหตุการณ์เหล่านี้ต้องเรียนรู้และปฏิบัติตัวทั้งการป้องกันและแก้ไขเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ตั้งแต่ในโอกาสแรก เช่นหากเด็กๆ ไปท่องเที่ยวทางน้ำเด็กๆ ก็ต้องรู้วิธีสวมเสื้อชูชีพ ต้องรู้คุณสมบัติของชุดชูชีพว่ามันช่วยเขาได้อย่างไร และในส่วนของการปีนเขาหรือการไปเที่ยวถ้ำ เด็กๆ จะต้องรู้ว่าสามสิ่งที่จำเป็นมากคือ เรื่องของไฟฉายที่ให้แสง นกหวีดที่ทำให้เกิดเสียงได้ และอีกอย่างหนึ่งก็คือเชือกและการใช้เชือกก็จะมีความสำคัญที่จะช่วยเหลือเขาได้ในหลายลักษณะ
 
"เมื่อเด็กๆ ได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ในบทเรียน เด็กๆ ก็จะมีความรู้และจะสามารถเตรียมวางแผนการเดินทางของเขาเอง และจะเตรียมตัวรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินจนสามารถช่วยเหลือตนเองและคนอื่นได้ที่สำคัญที่สุดคือเด็กๆ จะได้เรียนรู้เรื่องการขอความช่วยเหลือผ่านสายด่วน 1669 ได้อีกด้วยนั่นเอง" รองเลขาธิการสถาบันการแพทย์ฉุกเฉินกล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บอร์ด สปสช.อนุมัติสิทธิประโยชน์ยา-วัคซีน 3 รายการ เริ่มปี 2562

Posted: 14 Jul 2018 10:39 PM PDT

บอร์ด สปสช.อนุมัติปี 2562 เพิ่มวัคซีน-ยา 3 รายการ บรรจุสิทธิประโยชน์ใหม่บัตรทอง ทั้งวัคซีนรวมป้องกัน 5 โรค กลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี, ยาป้องกันการถ่ายทอด HIV แม่สู่ลูกในกลุ่มหญิงอายุครรภ์มาก และยารักษาโรคหลอดเลือดดำในจอตาอุดตัน ผลประเมินคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ไม่เป็นภาระงบประมาณ ขยายครอบคลุมการรักษาและบริการสุขภาพที่จำเป็น

 
 
15 ก.ค. 2561 นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่าในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2561 โดยมี ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ได้เห็นชอบเพิ่มสิทธิประโยชน์ยาและวัคซีน บรรจุเข้าสู่ระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จำนวน 3 รายการ ในปีงบประมาณ 2562 ตามข้อเสนอคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ คือ 1.วัคซีนรวม คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ไวรัสตับอักเสบบี และโรคจากเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่ ชนิดบี (Haemophilus influenzae type b) 2.ยาราลทิกราเวียร์ (Raltegravir) เพื่อขยายการป้องกันการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูก และ 3.ยาบีวาซิซูแมบ (Bevacizumab) เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดดำในจอตาอุดตัน
 
ทั้งนี้ในส่วนวัคซีนรวม คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน ไวรัสตับอักเสบบี และโรคจากเชื้อฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่ ชนิดบี (DTP-HB-Hib) เพื่อป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ, ติดเชื้อในกระแสเลือด, ปอดอักเสบ ฝาปิดกล่องเสียงอักเสบ, เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบและฝีในสมองที่เกิดจากเชื้อไวรัสฮีโมฟิลุส อินฟลูเอนเซ่ ชนิดบี ในกลุ่มเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี โดยจากการศึกษาพบว่ามีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์เพราะทำให้มีคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น เมื่อคำนวณค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายเพิ่มเพื่อให้จำนวนปีที่มีสุขภาวะเพิ่มขึ้น (Incremental Cost Effectiveness Ratio: ICER) ที่ราคา 148.51 บาท/โดส และจากการต่อรองราคาวัคซีนโดยคณะทำงานต่อรองราคาวัคซีน DTP-HB-Hib ได้ราคาลดลงอยู่ที่ 47 บาท/โดส หรือคิดเป็น 141 บาท/คอร์ส คิดเป็นงบประมาณรวม 3 กองทุนหลักประกันสุขภาพ ทั้งสวัสดิการข้าราชการ, ประกันสังคม และหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่ต้องจ่ายเพิ่มเป็นจำนวน 15.98 ล้านบาท แต่สามารถลดจำนวนผู้ป่วย และช่วยประหยัดงบค่ารักษาพยาบาลได้เฉพาะในส่วนระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่สูงถึง 73.27 ล้านบาท/ปี จึงมีความคุ้มค่า
 
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่าส่วนการขยายสิทธิประโยชน์ยาราลทิกราเวียร์นั้น เนื่องจากในหญิงตั้งครรภ์ที่อายุครรภ์มาก การใช้ยาเดิมเพื่อลดอัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจะมีประสิทธิผลต่ำ แต่หากใช้ยาราลเท็คกราเวียร์ทดแทนจะทำให้การป้องกันการถ่ายทอดเชื้อมีประสิทธิผลเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้จากการคาดการณ์หญิงตั้งครรภ์ที่ต้องรับยาราลทิกราเวียร์ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ มีจำนวน 693 ราย อัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจะลดลงอยู่ที่ 27 ราย หรือร้อยละ 3.9 ซึ่งในกรณีที่ใช้ยาเดิมป้องกัน อัตราการถ่ายทอดเชื้อเอชไอวีจากแม่สู่ลูกจะอยู่ที่ 53 ราย หรือร้อยละ 7.6 หรือ โดยมีค่าใช้จ่ายยาอยู่ที่ 6,792.80-10,189.20 บาท/คน/คอร์ส เมื่อคำนวณงบประมาณโดยรวมทั้งหมด เป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจำนวน 5.12-7.47 ล้านบาท โดยเรื่องผลการศึกษาความคุ้มค่านั้นมีอยู่แล้ว เพราะเป็นยาที่อยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ 
 
สำหรับยาบีวาซิซูแมบ เป็นการเพิ่มข้อบ่งชี้เพื่อรักษาโรคหลอดเลือดดำในจอตาอุดตันในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ซึ่งจากข้อมูลความชุกของโรคตามอุบัติการณ์ที่แท้จริง แต่ละปีมีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาและได้รับยาบีวาซิซูแมบอยู่ที่ 10,800 ราย ได้รับการฉีดยาบีวาซิซูแมบยาเฉลี่ย 4 ครั้ง/คน/ปี ค่าใช้จ่ายยาอยู่ที่ 606.33 บาท/โดส หรือ 2,425.32 บาท/คอร์ส คิดเป็นค่าใช้จ่ายโดยรวม 26.19 ล้านบาท อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์โดยดูข้อมูลการเบิกจ่ายจริงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ งบประมาณที่ต้องจ่ายเพิ่มเติมจะอยู่ที่ 4.49 ล้านบาท (จากข้อมูลบริการในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) - 20.17 ล้านบาท (จากข้อมูลความชุกของโรค) เป็นค่าใช้จ่ายที่รับได้เมื่อเปรียบเทียบการเข้าถึงการรักษาที่ครอบคลุมเพิ่มขึ้นให้กับผู้ป่วย
 
"ยาและวัคซีนทั้ง 3 รายการที่เพิ่มใหม่นี้ เริ่มในปีงบประมาณ 2562 ซึ่งการเพิ่มสิทธิประโยชน์ยาและวัคซีนภายใต้ในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะต้องผ่านความเห็นชอบ ทั้งจากคณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค คณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ และอนุกรรมการกำหนดประเภทและขอบเขตในการให้บริการสาธารณสุขฯ และอนุกรรมการกำหนดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทุนฯ ของ สปสช. ก่อนนำเสนอต่อบอร์ด สปสช.เพื่อพิจารณาอนุมัติ ทำให้มีการวิเคราะห์ข้อมูลและผลกระทบอย่างรอบด้าน ทั้งอุบัติการณ์และภาระโรค ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของยาและวัคซีน ความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์ ภาระงบประมาณ รวมถึงความพร้อมหน่วยบริการ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ทำให้กองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน" เลขาธิการ สปสช. กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โฆษก ทบ.แจง 'คลิปพลทหารเลี้ยงไก่' เป็นลักษณะการไหว้วานให้ทำ

Posted: 14 Jul 2018 06:02 PM PDT

โฆษกกองทัพบก (ทบ.) แจงกรณีคลิปพลทหารตัดพ้อเรื่องการเลี้ยงไก่ ระบุเบื้องต้นพบเป็นการดำเนินการส่วนบุคคลในบ้านพักราชการที่ด้านหลังเลี้ยงไก่เป็นงานอดิเรก ช่วยดูแลไปด้วยในลักษณะไหว้วาน ต้นสังกัดกำลังตรวจสอบ

 
เมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา เว็บไซต์โพสต์ทูเดย์ รายงานว่า พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก (ทบ.) ชี้แจงกรณีทหารกองประจำการเผยเเพร่คลิปตัดพ้อเรื่องการเลี้ยงไก่ (อ่านเพิ่มเติม: พลทหารแฉ! มารับใช้ชาติ แต่ถูกให้เลี้ยงไก่นาย โดนตบตี ด่าพ่อ-แม่ ถ้าไก่เป็นแผล, ข่าวสด, 14/7/2561) โดยระบุว่าจากข้อมูลเบื้องต้นพบว่าเป็นการดำเนินการส่วนบุคคลในบ้านพักราชการของหน่วยที่ผู้เข้าพักใช้พื้นที่ด้านหลังเลี้ยงไก่เป็นงานอดิเรก ซึ่งคงได้มีการมอบหมายให้ทหารที่ดูแลบ้านพักของหน่วยช่วยดูแลไปด้วยในลักษณะไหว้วาน
 
สำหรับกรณีนี้ทางหน่วยคงหารายละเอียดหรือข้อเท็จจริงเพิ่มเติม ถ้าพบมีการปฏิบัติต่อกันไม่ค่อยเหมาะสมจริงโดยเฉพาะเรื่องการใช้วาจาต่อกัน ทางหน่วยก็คงต้องมีว่ากล่าวตักเตือนกัน
 
"โดยทั่วไปการจะมอบหมายไหว้วานให้ทหารที่ดูแลบ้านพักช่วยทำสำหรับงานบางลักษณะบางประเภท นอกเหนือจากงานหน้าที่หลักที่จะต้องดูแลบ้านพักราชการแล้ว กรณีมีงานเพิ่มเติมอื่นๆ หรืออาจเป็นงานนอกหน้าที่หลักเสริมมา อาจต้องพิจารณาคำนึงถึงเรื่องของน้ำใจและความสมัครใจเป็นสำคัญ เชื่อว่าทางหน่วยคงจะได้ทำความเข้าใจกับกำลังพลทุกระดับ" พ.อ.วินธัยกล่าว
 
โฆษกกระทรวงกลาโหมยังไม่เห็นคลิปพลทหารโอดนายใช้เลี้ยงไก่
 
ด้าน สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ว่าพล.ต.คงชีพ ตันตระวาณิชย์  โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่เว็บไซต์ Youtube เผยแพร่คลิปที่มีคนอ้างว่าเป็นพลทหารที่ศูนย์การทหารราบที่ 2 ค่ายธนะรัชต์ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ออกมาเปิดเผยว่า สมัครมาเป็นทหาร แต่สุดท้ายต้องมาเลี้ยงไก่ให้นาย และยังโดนต่อว่า และ ตบหน้า เพียงเพราะไก่ป่วย ว่า ตนยังไม่ทราบรายละเอียดและยังไม่ได้เห็นคลิปดังกล่าว แต่เรื่องใดที่ไม่ถูกต้อง ก็ต้องหยุดการกระทำดังกล่าว ซึ่งหากตนได้เห็นคลิปแล้ว จะดำเนินการส่งให้ทางกองทัพบกตรวจสอบอีกครั้ง
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรมการปกครองแจงขอสัญชาติ 4 คนทีมหมูป่าอะคาเดมี ใช้หลักเกณฑ์ปกติ

Posted: 14 Jul 2018 05:49 PM PDT

กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ชี้แจงข้อมูลอย่างละเอียดกรณี 4 หมู่ป่าอะคาเดมี "ด.ช.มงคล-ด.ช.อดุลย์-นายพรชัย-โค้ชเอก" ขอสัญชาติไทย ระบุกระบวนการทุกขั้นตอนเป็นไปตามหลักเกณฑ์และใช้ปฎิบัติเหมือนกันทุกคนที่ขอสัญชาติไทย 

 
สำนักข่าวไทย รายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ร.ต.ท.อาทิตย์ บุญญะโสภัต อธิบดีกรมการปกครอง กล่าวว่ากรมการปกครองเป็นหน่ายงานรัฐที่รับผิดชอบในเรื่องการพิจารณาให้สัญชาติไทยกับบุตรของชนกลุ่มน้อยหรือกลุ่มชาติพันธุ์ที่เกิดในราชอาณาจักรไทย โดยกระบวนการ และการดำเนินการทุกขั้นตอนต้องเป็นไปตามกฎหมายและมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 7 ธ.ค. 2559 
 
ทั้งนี้จากรายงานล่าสุดกรณีทีมฟุตบอลหมูป่าอะคาเดมี จำนวน 13 คน พบว่าไม่มีสัญชาติไทย 4 คน โดยเป็นเด็ก 3 คน และผู้ฝึกสอน 1 คน ประกอบด้วย ด.ช.มงคล บุญเปี่ยม เกิดวันที่ 10 เม.ย. 2548 อายุ 13 ปี ด.ช.อดุลย์ สามอ่อน เกิดวันที่ 21 มิ.ย. 2547 อายุ 14 ปี นายพรชัย คำหลวง เกิดวันที่ 3 ก.ย. 2545 อายุ 16 ปี และนายเอกพล จันทะวงศ์ หรือโค้ชเอก อายุ 25 ปี สาเหตุที่บุคคลทั้ง 4 คนไม่ได้สัญชาติไทยเนื่องจากมีบิดาและมารดาเป็นคนต่างด้าว ซึ่งข้อมูลที่ตรวจพบปรากฏว่าทั้ง 4 คนไม่ได้แจ้งการเกิดไม่มีสูติบัตร 
 
ในส่วนของเด็ก 3 คนได้รับการสำรวจจัดทำทะเบียนราษฎรในกลุ่มบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียนตามมติ ครม. วันที่ 18 ม.ค. 2548 โดยมีเลขประจำตัว 13 หลักขึ้นต้นด้วยเลข 0 ขณะที่โค้ชเอก มีหนังสือรับรองการเกิดของโรงพยาบาลแม่สาย แต่ไม่ได้แจ้งเกิดและไม่ได้จัดทำทะเบียนราษฎรจึงไม่มีเลขประจำตัว 13 หลัก 
 
อย่างไรก็ตามการขอสัญชาติไทยของทั้ง 4 คน จะต้องดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในพระราชบัญญัติสัญชาติ พ.ศ. 2508 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 โดยจากข้อมูลที่ได้รับ แม้บิดามารดาของทั้ง 4 คนไม่ใช่คนสัญชาติไทย แต่ทั้ง 4 คนเกิดในดินแดนประเทศไทย ดังนั้นหลักฐานที่แสดงว่าเป็นผู้ที่เกิดในประเทศไทย ได้แก่ สูติบัตรหรือใบเกิด หรือหนังสือรับรองการเกิดที่ นายทะเบียนออกให้ เรียกว่า ท.ร.20/1 จึงเป็นสิ่งสำคัญ 
 
ขณะนี้ประเด็นการขอสัญชาติไทยของทั้ง 4 คน จึงต้องเริ่มต้นด้วยการพิสูจน์ว่าพวกเขาเกิดในประเทศไทย และเมื่อได้รับสูติบัตรหรือหนังสือรับรองการเกิดจากนายทะเบียนแล้ว จึงเข้าสู่ขั้นตอนการยื่นขอมีสัญชาติไทยต่อไป
 
จากข้อมูลในแบบสำรวจเพื่อจัดทำทะเบียนราษฎรของ ด.ช.มงคล  ด.ช.อดุลย์ และนายพรชัย ระบุว่าทั้งสามคนเกิดที่ตำบลเวียงพางคำ อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ดังนั้น บิดา มารดา หรือผู้ปกครอง ต้องยื่นคำร้องต่อนายทะเบียนอำเภอ (นายอำเภอ) หรือนายทะเบียนท้องถิ่นเทศบาล (ปลัดเทศบาล) แห่งท้องที่ที่เด็กเกิด เพื่อขอให้นายทะเบียนออกหนังสือรับรองการเกิดตามแบบ ท.ร.20/1 ให้ โดยพยานหลักฐานสำคัญที่จะต้องใช้ได้แก่ บุคคลที่รู้เห็นการเกิด อาจเป็นหมอตำแย ญาติ เพื่อนบ้านใกล้เคียง หรือผู้ใหญ่บ้าน เป็นต้น
 
อธิบดีกรมการปกครองกล่าวว่าเมื่อพิจารณาจากอายุของเด็กแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหาเรื่องพยานรับรอง ส่วนกรณีของโค้ชเอกเนื่องจากมีหนังสือรับรองจากโรงพยาบาลแม่สาย จึงสามารถยื่นเรื่องขอแจ้งการเกิดได้ที่เทศบาลตำบลแม่สาย เมื่อนายทะเบียนออกสูติบัตรให้แล้ว ก็จะกำหนดให้เลขประจำตัว 13 หลักและเพิ่มชื่อเข้าในเอกสารทะเบียนราษฎร 
 
สำหรับขั้นตอนต่อไป หลัง ทั้ง 4 คนมีสูติบัตรหรือใบเกิด หรือหนังสือรับรองการเกิด แล้ว ก็คือการยื่นคำขอมีสัญชาติไทย โดยกรณีของเด็กชายมงคล  เด็กชายอดุลย์ และนายพรชัย ถ้าเกิดในประเทศไทยจะเข้าเงื่อนไขตามมาตรา 7 ทวิ วรรคสอง ฯลฯ ซึ่งให้อำนาจรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย สั่งให้สัญชาติไทยได้ตามหลักเกณฑ์ ตามมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 7 ธ.ค. 2559   
 
กรณีของ ด.ช.มงคล และนายพรชัย จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 1) ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยมีบิดาหรือมารดาเป็นชนกลุ่มน้อยที่ทางราชการได้สำรวจจัดทำทะเบียนประวัติไว้ และมีเลขประจำตัว 13 หลัก เช่น ชาวเขา ชาวไทยใหญ่ ไทยลื้อ เป็นต้น บิดาหรือมารดาต้องเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปีนับถึงวันที่บุตรยื่นคำขอมีสัญชาติไทย เด็กจะได้รับสัญชาติไทย ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่ามารดาของเด็กชายมงคล และนายพรชัย เป็นชาวไทยลื้อหรือชาวไทยใหญ่ที่มีทะเบียนประวัติไว้แล้ว
 
ขณะที่ข้อมูลของ ด.ช.อดุลย์ ไม่ปรากฏทะเบียนของบิดามารดา และทราบเบื้องต้นว่า ด.ช.อดุลย์ อยู่ในการอุปการะเลี้ยงดูของคริสตจักร บิดามารดาทอดทิ้งไปตั้งแต่เล็ก จึงจะเข้าเงื่อนไขตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 2) ถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยแต่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง หรือไม่ปรากฏบิดามารดา เด็กต้องอาศัยอยู่ในประเทศไทยไม่น้อยกว่า 10 ปี และจะต้องมีหนังสือรับรองว่าเป็นคนที่ถูกบิดามารดาทอดทิ้ง ซึ่งจะขอเอกสารดังกล่าวได้ที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด เด็กก็จะสามารถขอมีสัญชาติไทยได้
 
ขณะที่โค้ชเอกก็จะเข้าตามหลักเกณฑ์ในกรณีที่ 3) ที่ระบุว่าถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยมีบิดามารดาเป็นคนต่างด้าวที่มิใช่ชนกลุ่มน้อย เด็กจะต้องเรียนหนังสือในประเทศไทยจนจบปริญญาตรี แล้วเอาหลักฐานปริญญาบัตรและผลการเรียนไปยื่นขอสัญชาติไทย ทั้งนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้มอบอำนาจให้นายอำเภอเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอสัญชาติมีอายุไม่เกิน 18 ปีบริบูรณ์ และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุมัติ กรณีผู้ขอมีสัญชาติมีอายุเกินกว่า 18 ปี 
 
นอกจากนี้ยังมีหลักเกณฑ์เพิ่มเติมถ้าเด็กเกิดในประเทศไทยโดยบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวที่เกิดในประเทศไทยด้วยก่อนวันที่ 26 ก.พ. 2535 การขอสัญชาติไทยสามารถดำเนินการได้อีกช่องทางหนึ่ง ตามมาตรา 23 แห่งพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2551 ซึ่งกำหนดคุณสมบัติว่าผู้ขอจะต้องมีหลักฐานการเกิด มีเลขประจำตัว 13 หลัก มีความประพฤติดี หรือทำคุณประโยชน์ให้แก่สังคม และอาศัยอยู่ติดต่อกันในประเทศไทย โดยกฎหมายให้อำนาจนายอำเภอเป็นผู้พิจารณาอนุมัติ ถ้าข้อเท็จจริงปรากฏว่าบิดาของโค้ชเอกเป็นชาวไทยลื้อที่เกิดในประเทศไทยจริงตามที่เป็นข่าวถึงแม้จะเสียชีวิตแล้วก็ตามโค้ชเอกก็สามารถขอมีสัญชาติไทยตามช่องทางนี้ได้ 
 
สำหรับระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ขั้นตอนการรับคำขอมีสัญชาติไทยพร้อมพยานหลักฐานครบถ้วน จนถึงการพิจารณาอนุมัติของนายอำเภอ จะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน แต่ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่ว่าด้วยเหตุใด สามารถขยายเวลาได้อีกไม่เกิน 30 วัน เมื่อรวมแล้วจะต้องไม่เกิน 120 วัน 
 
ทั้งนี้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยยืนยัน หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการใช้ปฏิบัติกับทุกคนที่มีปัญหาและข้อเท็จจริงในลักษณะเดียวกันมิได้กำหนดขึ้นเพื่อให้ประโยชน์กับเด็กทีมหมูป่าอะคาเดมี หรือบุคคลอื่นใดหรือกลุ่มใดเป็นการเฉพาะ
ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สมาคมโรงแรมภาคใต้ระบุมีการยกเลิกจองห้องพักแล้ว 7,300 กว่าห้อง

Posted: 14 Jul 2018 05:07 PM PDT

นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ระบุท่องเที่ยวภูเก็ตได้รับผลกระทบหนักจากเหตุเรือล่ม ทำให้นักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิตกว่า 47 ราย พบมีการทยอยยกเลิกจองห้องพักแล้ว 7,300 กว่าห้อง หนักกว่าที่ผู้ประกอบการคาดไว้ จี้หน่วยงานรัฐเร่งเรียกความเชื่อมั่นกลับโดยด่วน

 
MGR Online รายงานเมื่อวันที่ 14 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมาว่าจากกรณีเกิดเหตุเรือฟีนิกซ์ล่ม ที่เกาะเฮ จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 47 ราย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตแล้ว เนื่องจากการนักท่องเที่ยวจีนขาดความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยในการเดินทางท่องเที่ยวทางทะเลของจังหวัดภูเก็ตโดยเฉพาะมาตรการบังคับใช้กฎหมายในการอนุญาตเรือออกจากท่าเรือ
 
นายก้องศักดิ์ คู่พงศกร นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ เปิดเผยถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต ว่า ในส่วนของผู้ประกอบการโรงแรมจังหวัดภูเก็ตได้เฝ้าติดตามผลกระทบที่เกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้มีการสำรวจการยกเลิกการจองห้องพักล่วงหน้าของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งขณะนี้มีโรงแรมที่ได้รับผลกระทบตอบกลับมาแล้ว 19 แห่ง มีการยกเลิกการจองห้องพักในเดือน ก.ค.ถึง ส.ค. นี้แล้ว 7,300 กว่าห้อง ซึ่งโรงแรมในจังหวัดภูเก็ตมีมากกว่า 2,000 แห่ง ห้องพักกว่า 100,000 ห้อง ส่วนโรงแรมที่เหลือกำลังทยอยส่งข้อมูลเข้ามา
 
"ผลกระทบที่เกิดขึ้นในครั้งนี้มากกว่าที่ทางผู้ประกอบการโรงแรมคาดไว้ในตอนแรก ที่คิดว่าน่าจะอยู่ที่ 10-15% เท่านั้น เพราะนักท่องเที่ยวจีนจะจองห้องพักในระยะสั้นๆ ทั้งนี้นอกจากนักท่องเที่ยวจีนไม่มั่นใจในมาตรการด้านความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเลของไทย และยังอยู่ในอารมณ์โกรธเคืองกับคำพูดบางคำพูด ที่มีการแชร์ข้อมูลกันในโซเชียลของจีน จึงยังไม่อยากเดินทางมาท่องเที่ยวที่ภูเก็ต ทำให้มีการยกเลิกการจองห้องพัก" นายกสมาคมโรงแรมไทยภาคใต้ กล่าวและว่า
 
ในเรื่องนี้เราจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นในเรื่องของมาตรการความปลอดภัยการท่องเที่ยวทางทะเล และร่วมกันดูแลนักท่องเที่ยวรวมถึงญาติของผู้เสียชีวิตให้ดีที่สุด ซึ่งทางผู้ประกอบการท่องเที่ยวทุกภาคส่วนได้ร่วมกันดูแลนักท่องเที่ยวเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของการดูแลห้องพัก รถรับส่ง ไกด์ อย่างดีที่สุด 
 
นายกสมาคมโงแรมไทยภาคใต้ ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับการท่องเที่ยวของภูเก็ตในครั้งนี้น่าจะยาวไปจนถึงเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งเป็นช่วงโลว์ซีชั่นของภูเก็ต จะได้นักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก เมื่อจีนหายไปจำนวนมาก เกรงกันว่าจะมีการแข่งกันลดราคาค่าห้องพักและค่าทัวร์ต่างๆ ไม่ยากจะให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น
 
เพื่อไทยแนะรัฐบาลระวังประเด็นอ่อนไหว
 
เว็บไซต์บ้านเมือง รายงานว่านายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รักษาการรองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วสังคมออนไลน์ประเทศจีน จากคำให้สัมภาษณ์ของรองนายกรัฐมนตรีไทย ที่ตอบคำถามสื่อในกรณีเหตุเรือนักท่องเที่ยวจีนล่มใน จ.ภูเก็ต มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 40 ราย ว่า การให้สัมภาษณ์ในประเด็นที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ผู้แทนรัฐบาลต้องระมัดระวัง การไปพูดในลักษณะที่ทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าใจได้ว่า เป็นคำพูดที่ดูไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบของรัฐบาล อาจทำให้นักท่องเที่ยวและประชาชนชาวจีนไม่พอใจได้ และขณะนี้ได้เกิดเป็นกระแสต่อต้านในโลกโซเชียลจีน ที่ออกมาแสดงความคิดเห็นถล่มประเทศไทยอย่างหนัก จนมีการยกเลิกการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศไทยแล้วกว่า 15% สูญเสียรายได้ไปกว่า 42,000 ล้านบาท 
 
การให้สัมภาษณ์ของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมถือเป็นความเห็นของผู้แทนรัฐบาลไทยโดยชอบธรรมหรือไม่ คนไทยถือว่าพี่น้องประชาชนชาวจีนและประชาชนทุกชาติทุกภาษา เมื่อมาท่องเที่ยวประเทศไทย รัฐบาลและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องดูแลความปลอดภัย ในชีวิตและทรัพย์สิน หากเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุไม่พึงประสงค์ต้องดูแลเยียวยาภายใต้กรอบกฎหมายโดยเสมอภาคและทันท่วงที พรรคเพื่อไทยรู้สึกเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น และต้องไปตรวจสอบว่าเป็นความบกพร่องของการควบคุมความปลอดภัยที่ยังไม่รัดกุมพอหรือไม่ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของทางการไทย ที่จะต้องมีการปรับปรุงอย่างเร่งด่วน 
 
การที่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.สั่งการให้กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เร่งทำความเข้าใจกับประชาชนชาวจีน หลังแห่ยกเลิกทัวร์ หวั่นกระทบความเชื่อมั่นนั้น ประชาชนไม่มั่นใจว่าเป็นการแก้ปัญหาที่อาจล่าช้าหรือตรงจุดหรือไม่ และบุคคลที่ควรสั่งการให้แก้ไขในสถานการณ์นี้ควบคู่ไปพร้อมกันควรจะเป็นพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่เป็นที่พูดจนทำให้สถานการณ์บานปลายเสียหายหรือไม่
 
รวบแล้วเจ้าของเรือฟินิกซ์ ฝากขังจันทร์นี้
 
15 ก.ค. 2561 เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่ากรณีเรือฟินิกซ์ล่มที่จังหวัดภูเก็ต จนมีมีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 48 รายนั้น ล่าสุด พล.ต.ต.ธีระพล ทิพย์เจริญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า เมื่อวันที่ 14 ก.ค.ได้จับกุมตัว น.ส.วรลักษณ์ กรรมการผู้จัดการเรือฟินิกซ์เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดภูเก็ตได้แล้ว โดยแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นการทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายได้รับบาดเจ็บสาหัสและได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ได้ควบคุมตัวไว้ที่ สภ.ฉลอง และในวันวันที่ 16 ก.ค.จะฝากขังต่อศาลจังหวัดภูเก็ต เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การปฏิเสธ  ส่วนช่างเครื่องเรือฟินิกซ์ ได้จับกุมเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2561 ให้การปฏิเสธ 
 
"ส่วนที่จะสอบสวนหาความเกี่ยวโยงถึงบุคคลอื่นที่กระทำผิดต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้มากกว่านี้  ขอเวลาในการทำงาน รวบรวมพยานหลักฐานเมื่อไปถึงใคร ดำเนินคดีทุกคนทั้งหมดไม่ละเว้น  โดยตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตทำงานร่วมกับตำรวจท่องเที่ยวและทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง" พล.ต.ต.ธีระพล กล่าว

 

ติดตามความเคลื่อนไหว ประชาไท แอด LINE ไอดี @prachatai (มีแอทนำหน้า) และเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น