โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com

Link to ประชาไท

ระบบ Facebook พลาด เซ็นเซอร์ 'คำประกาศอิสรภาพสหรัฐฯ' นึกว่าเหยียดชนพื้นเมือง

Posted: 21 Jul 2018 01:54 PM PDT

ในช่วงวันชาติสหรัฐฯ สื่อท้องถิ่นเล็กๆ ในเท็กซัสอย่าง 'ลิเบอร์ตี คันทรี วินดิเคเตอร์' โพสต์ส่วนหนึ่งของคำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา (declaration of the independence) ลงในหน้าเฟสบุ๊ค เปิดให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น ทว่าระบบของเฟสบุ๊คกลับตีความว่าคำประกาศอิสรภาพเป็นเฮทสปีช ซึ่งเป็นไปได้ว่าเพราะระบบอัตโนมัติตีความแบบไม่ได้ดูบริบทว่าเนื้อหาอยู่ในยุคสมัยใด หรือจัดเป็นการนำเสนอด้วยจุดประสงค์ใด หรือไม่เช่นนั้นเฟสบุ๊คก็อาจจะกังวลว่าสื่อดังกล่าวพยายามทำให้ด้านแย่ๆ ของประวัติศาสตร์กลายเป็นเรื่องดูดี

ที่มา: aoc.gov

เดอร์การ์เดียนระบุว่า ระบบอัลกอริทึมอัตโนมัติของเฟสบุ๊คเกิดข้อผิดพลาดด้วยการกล่าวหาว่าเนื้อหาบางส่วนของ 'คำประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา' (declaration of the independence) เป็นเฮทสปีชและนำเนื้อหานั้นออกจากเพจ

เพจที่นำเสนอเนื้อหาดังกล่าวคือสื่อท้องถิ่นเท็กซัส 'ลิเบอร์ตี คันทรี วินดิเคเตอร์' ที่โพสต์ส่วนหนึ่งของคำประกาศอิสรภาพของสหรัฐฯ เพื่อต้องการท้าทายให้ผู้อ่านศึกษาบันทึกประวัติศาสตร์และอภิปรายถกเถียงกันในเรื่องนี้ โดยที่ทางวินดิเคเตอร์ยอมรับว่าข้อความในส่วนดังกล่าวชวนให้รู้สึกว่าเป็นข้อความยุยงให้เกิดความเกลียดชังต่อเชื้อชาติสีผิวจริง แต่เป็นในบริบทที่ผู้พูดคือโทมัส เจฟเฟอร์สัน ผู้เขียนคำประกาศอิสรภาพยังคงมีความคิดแบบไม่เป็นมิตรกับชนพื้นเมืองอเมริกัน

การแจ้งเตือนของเฟสบุ๊คระบุว่าหนึ่งในวลีที่เป็นปัญหา "ล่วงละเมิดมาตรฐานชุมชน" โซเชียลเน็ตเวิร์กของพวกเขา ตัววลีที่เป็นปัญหาที่ว่าคือ "พวกอินเดียแดงป่าเถื่อน" นำมาจากข้อเขียนส่วนหนึ่งของคำประกาศฯ ส่วนย่อหน้าที่ 27-31 ของคำประกาศฯ ซึ่งเนื้อหาส่วนนี้มักจะถูกนำมาวิพากษ์วิจารณ์อยู่แล้วว่าแสดงให้เห็นถึงทัศนคติแบบลดทอนความเป็นมนุษย์ของชนพื้นเมืองอเมริกัน เดอะการ์เดียนระบุว่าการที่เฟสบุ๊คนำส่วนนี้ออกเนื่องจากอาจจะกังวลว่าสื่อท้องถิ่นจากเท็กซัสพยายามทำให้ด้านแย่ๆ ของประวัติศาสตร์กลายเป็นสิ่งที่ดูดี

อย่างไรก็ตาม ต่อมาทางเฟสบุ๊คได้ขอโทษ 'ลิเบอร์ตี คันทรี วินดิเคเตอร์' โดยระบุว่ามีปัญหามาจากระบบการเซนเซอร์โดยอาศัยอัลกอริทึม ทำให้เป็นการเผลอไปเซนเซอร์วัตถุทางประวัติศาสตร์ไปด้วย ขณะที่สื่อวินดิเคเตอร์แถลงขอบคุณเฟสบุ๊คที่คืนโพสต์ให้ในเนื้อหาข่าวของตัวเอง

แต่การตีความเพื่อเซนเซอร์เช่นนี้ไม่ได้สร้างปัญหาแค่ในเฟสบุ๊คเท่านั้น ก่อนหน้านี้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาก็เคยมีกรณีที่ผู้นำเสนอประวัติศาสตร์ของ LGBT ถูกเซ็นเซอร์จากอินสตาแกรม สิ่งที่ถูกเซนเซอร์คือบทกวีของนักกิจกรรม LGBT โซอี เลโอนาร์ด ชื่อบทกวีว่า "ฉันต้องการประธานาธิบดี" บทกวีดังกล่าวมีบทเริ่มต้นว่า "ฉันอยากได้ไดค์คนหนึ่งเป็นประธานาธิบดี" (ไดค์คือเลสเบียนที่แสดงออกเอียงไปในทางความเป็นชาย คำๆ นี้เคยเป็นคำในเชิงใช้เหยียดกลุ่มคนที่แสดงออกเช่นนี้มาก่อน แต่ในเวลาต่อมาก็ถูกเปลี่ยนความหมายของคำโดยชาวเลสเบียนเองให้กลายเป็นคำกลางๆ ไม่ใช่คำลบอีกต่อไป)

ซึ่งบทกวีนี้จงใจเขียนถึงไดค์ผู้หนึ่งชื่อเอลลีน ไมลส์ ที่ลงแข่งขันในการเลือกตั้งปี 2535 บทกวีฉบับนี้เคยได้รับการเผยแพร่ขนาดใหญ่ 20x30 ฟุตในที่สาธารณะของนิวยอร์กมาก่อน แต่กลับถูกอินสตาแกรมนำออกโดยอ้างว่าละเมิดมาตรฐานชุมชน ทว่าหลังจากกนั้นหลายวันทางอินสตาแกรมก็ขอโทษสำหรับความผิดพลาดแล้วก็นำโพสต์กลับคืนดังเดิม

อีกกรณีของเฟสบุ๊คที่เคยเป็นข่าวดังคือเมื่อปี 2559 พวกเขานำภาพสงครามเวียดนามที่มีเด็กวิ่งเปลือยเปล่าหนีระเบิดนาปาล์มออกพร้อมทั้งระงับบัญชีผู้ใช้ของชาวนอร์เวย์ที่โพสต์ภาพนี้คือ ทอม เอคลันด์ โดยอ้างว่าเป็นเพราะเขานำเสนอภาพที่ "เผยให้เห็นอวัยวะเพศ บั้นท้ายเปลือย หรือหน้าอกผู้หญิงเปลือย"

เรื่องความผิดพลาดในการเซ็นเซอร์นี้อาจจะดูเหมือนเล็กน้อย แต่มันก็เป็นปัญหาในยุคที่มีผู้ใช้โซเชียลมีเดียจำนวนมากวนเวียนอยู่ไม่กี่เว็บว่าพวกเขาจะสามารถนำเสนอผลงานที่ดูท้าทายหรือสะท้อนประวัติศาสตร์

เรียบเรียงจาก
Facebook labels declaration of independence as 'hate speech',
The Guardian, 05-07-2018
Facebook's program thinks Declaration of Independence is hate speech,
The Vindicator, 05-07-2018

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก
https://en.wikipedia.org/wiki/Zoe_Leonard
https://en.wikipedia.org/wiki/Dyke_(slang)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

สุรพศ ทวีศักดิ์: อุดมการณ์ในกฎหมายสงฆ์ฉบับใหม่

Posted: 21 Jul 2018 10:25 AM PDT

ที่มา http://oknation.nationtv.tv/blog/metal/2007/04/19/entry-1

 

ในที่สุด พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2561 ก็ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและมีผลใช้บังคับแล้ว เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561 ซึ่งเป็นการแก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ พ.ศ.2505 เนื้อหาสำคัญอาจแบ่งเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ

 

ส่วนแรก ยืนยันอุดมการณ์ของระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพุทธศาสนา ที่สืบทอดมาโดย "พระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณี"  ซึ่งระบุไว้ในตอนท้ายของ "หมายเหตุ" ของกฎหมายฉบับนี้ว่า

 

...เพื่อให้พระพุทธศาสนารุ่งเรืองถาวรเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชน ซึ่งจะก่อให้เกิดการประพฤติปฏิบัติที่ดีงาม มีความร่มเย็นผาสุกแก่ประชาชนและเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ สมควรบัญญัติกฎหมายให้เป็นการสืบทอดและธำรงรักษาไว้ ซึ่งพระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณี จึงจำเป็นต้องตรา พ.ร.บ.นี้

 

ที่ว่า "พระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณี" นั้น แบ่งเป็น 2 ด้านหลักๆ คือ ด้านการปกครองฝ่ายอาณาจักร และด้านการปกครองฝ่ายพุทธจักร ดังคำปรารภที่แสดงถึงวัตถุประสงค์ในการตรา พ.ร.บ.ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.121 ซึ่งเป็นกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ฉบับแรก ในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่า

 

ทุกวันนี้ การปกครองข้างฝ่ายพระราชอาณาจักร ก็ได้ทรงพระราชดำริแก้ไขและจัดตั้งแบบแผนการปกครองให้เรียบร้อยเจริญดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นหลายประการแล้ว และฝ่ายพระพุทธจักรนั้น การปกครองสังฆมณฑล ย่อมเป็นการสำคัญทั้งในประโยชน์แห่งพระศาสนา และในประโยชน์ความเจริญของพระราชอาณาจักรด้วย ถ้าการปกครองสังฆมณฑลเป็นไปตามแบบแผนอันเรียบร้อย พระศาสนาก็จะรุ่งเรืองถาวร และจะชักนำประชาชนทั้งหลายให้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสโนวาท ประพฤติสัมมาปฏิบัติและร่ำเรียนวิชาคุณ ในสงฆ์สำนักยิ่งขึ้นเป็นอันมาก

 

ดังนั้นกฎหมายสงฆ์ฉบับใหม่นี้จึงเป็นการยืนยันอุดมการณ์ของระบบความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพุทธศาสนา อันเป็นมรดกตกทอดมาจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นั่นคือ ยืนยัน "พระราชอำนาจในการปกครองด้านพุทธจักร" ให้ชัดเจนขึ้น

 

ส่วนที่สอง ระบุเป้าหมายของการอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนา ในมาตรา 5 ตรี ว่า

 

เพื่อให้การอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ตลอดจนการดูแล การปกครองคณะสงฆ์เป็นไปเพื่อส่งเสริมการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และมีการรักษาพระธรรมวินัยของคณะสงฆ์ให้เป็นไปอย่างถูกต้องดีงามโดยเคร่งครัด เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป พระมหากษัตริย์จึงทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอน สมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ และแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมตามพ.ร.บ.นี้

 

เป็นการระบุรูปธรรมของพระราชอำนาจด้านการปกครองพุทธจักรให้ชัดเจนขึ้นว่า หมายถึง "พระราชอำนาจในการแต่งตั้ง สถาปนา และถอดถอนสมณศักดิ์ของพระภิกษุในคณะสงฆ์ และแต่งตั้งกรรมการมหาเถรสมาคมตาม พ.ร.บ.นี้" ซึ่งพระราชอำนาจดังกล่าวนี้มีเป้าหมายเพื่ออุปถัมภ์ คุ้มครอง ปกครองคณะสงฆ์ ส่งเสริมการเผยแผ่หลักธรรมของพุทธศาสนาให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา รักษาพระธรรมวินัย อันเป็นเป้าหมายแบบเดียวกับรัฐพุทธศาสนายุคก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

 

 

ส่วนที่ 3 ระบุรายละเอียดลงไปว่า พระราชอำนาจเกี่ยวข้องกับการแต่งตั้ง ถอดถอน ตำแหน่งการปกครองของคณะสงฆ์ระดับสูงอย่างไรบ้าง (นอกเหนือจากพระราชอำนาจในการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช ที่แก้ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ <ฉบับที่ 3> พ.ศ.2560 ไปแล้วครั้งหนึ่ง) ว่า

 

 "มาตรา 12 มหาเถรสมาคม ประกอบด้วย สมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ โดยตำแหน่ง และกรรมการอื่นอีกไม่เกิน 20 รูปซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งจากสมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะ หรือพระภิกษุซึ่งมีพรรษาอันสมควร และมีจริยวัตรในพระธรรมวินัยที่เหมาะสมแก่ การปกครองคณะสงฆ์ การแต่งตั้งตามวรรค 1 และการดำเนินการตามมาตรา 15 (4) และวรรค 2 ให้เป็นไป ตามพระราชอัธยาศัย โดยจะทรงปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชก่อนก็ได้"

 

"มาตรา 14 กรรมการมหาเถรสมาคมซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงแต่งตั้งอยู่ในตำแหน่งคราวละ 2 ปี และอาจได้รับการแต่งตั้งอีกได้

 

ในกรณีที่กรรมการมหาเถรสมาคมพ้นจากตำแหน่งก่อนวาระ พระมหากษัตริย์อาจทรงแต่งตั้ง พระภิกษุตามมาตรา 12 รูปใดรูปหนึ่งเป็นกรรมการแทน กรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งตามความในวรรค 2 ให้อยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของผู้ซึ่งตนแทน"

 

 "มาตรา 20/1 เพื่อประโยชน์แก่การปกครองคณะสงฆ์ส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ให้มีเจ้าคณะใหญ่ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองคณะสงฆ์ ภายใต้บังคับมาตรา 20/2 การแต่งตั้งและการกำหนดอำนาจหน้าที่เจ้าคณะใหญ่ ให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎมหาเถรสมาคม"

 

"มาตรา 20/2 การแต่งตั้งและถอดถอนเจ้าคณะใหญ่และเจ้าคณะภาค หากมีพระราชดำริ เป็นประการใด ให้ดำเนินการไปตามพระราชดำรินั้น สำหรับการแต่งตั้งและถอดถอนพระภิกษุผู้ดำรงตำแหน่งปกครองคณะสงฆ์ตำแหน่งอื่น ให้ดำเนินการไปตามพ.ร.บ.นี้ เว้นแต่จะมีพระราชดำริเป็นประการอื่น"

 

จะเห็นได้ว่า สาระสำคัญของกฎหมายสงฆ์ฉบับนี้ เป็นการเน้นความสำคัญของ "พระราชอำนาจตามโบราณราชประเพณี" ซึ่งหมายถึง "พระราชอำนาจในการปกครองด้านพุทธจักร" แบบสมัย ร.5 โดยเชื่อมโยงบทบัญญัติว่าด้วยหน้าที่ของรัฐด้านพุทธศาสนาและศาสนาอื่น ในรัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 มาตรา 67 ที่ว่า

 

รัฐพึงอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาและศาสนาอื่น

 

ในการอุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนาอันเป็นศาสนาที่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่นับถือ มาช้านาน รัฐพึงส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาและการเผยแผ่หลักธรรมของพระพุทธศาสนาเถรวาท เพื่อให้เกิดการพัฒนาจิตใจและปัญญา และต้องมีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลาย พระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการ หรือกลไกดังกล่าวด้วย

 

การเพิ่มพระราชอำนาจในกฎหมายปกครองคณะสงฆ์ จึงมีนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้รัฐอุปถัมภ์และคุ้มครองพุทธศาสนาชัดเจนขึ้น ซึ่งข้อกำหนดดังกล่าวเริ่มมีตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 เป็นต้นมา และมีการแก้ไขข้อความให้เน้น "พุทธเถรวาท" ชัดเจนขึ้น พร้อมกับกำหนดให้รัฐ "มีมาตรการและกลไกในการป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลาย พระพุทธศาสนาไม่ว่าในรูปแบบใด และพึงส่งเสริมให้พุทธศาสนิกชนมีส่วนร่วมในการดำเนินมาตรการ หรือกลไกดังกล่าวด้วย" อันเป็นผลของการต่อรองผ่านกระบวนการการร่างรัฐธรรมนูญยุคปฏิรูป

 

เมื่อกล่าวจำเพาะ "เนื้อหา" ของกฎหมายสงฆ์ฉบับใหม่ ทำให้ผมนึกถึงข้อเสนอของท่าน ป.อ. ปยุตฺโต ในหนังสือ "พ.ร.บ.คณะสงฆ์ เรื่องเก่าที่เถียงกันใหม่" ตอนหนึ่งว่า "กฎหมายสงฆ์ไม่ควรเน้นเรื่องอำนาจการปกครอง แต่ควรเน้นเรื่องการศึกษาของพระภิกษุสามเณรให้มีคุณภาพมากกว่า"

 

อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมกว้าง ศาสนาต่างๆ พยายามปรับตัวเข้ากับโลกสมัยใหม่ในแบบที่แตกต่างกัน เช่น ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกมี "รัฐอิสระ" ของตนเองที่แยกจาก "รัฐโลกวิสัย" (secular state) คือ "รัฐวาติกัน" ซึ่งเป็นรัฐที่ปกครองทางศาสนาโดยเฉพาะ อันเป็นศูนย์กลางของคริสตจักรทั่วโลก คริสต์คาทอลิกประกาศ "เสรีภาพทางศาสนา" และอ้างว่า "แนวคิดโลกวิสัย" (secularism) มีอยู่แล้วในคัมภีร์ศาสนาของตน ศาสนจักรคริสต์นิกายนี้จึงกระจายอยู่ในรัฐโลกวิสัยและรัฐแบบอื่นๆ (ที่ไม่กีดกันศาสนาคริสต์) ทั่วโลก

 

แปลว่า แม้ศาสนจักรคาทอลิกจะไม่เรืองอำนาจมากในยุโรปแบบยุคกลาง แต่จำนวนศาสนิกกลับไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในยุโรป หากแผ่ขยายไปทั่วโลก เพราะมีวาติกันเป็นศูนย์กลาง และมีศาสนจักรในประเทศต่างๆ ที่ปรับตัวตามบริบทการปกครองของประเทศนั้นๆ ช่วยขยายจำนวนศาสนิก ส่วนคริสต์นิกายอื่นๆ ที่ต่างมีศาสนจักรเป็นเอกเทศของตนเอง เมื่อองค์กรไหนประสบปัญหาในการบริหารจัดการ ก็ล้มไปเองทีละแห่งสองแห่ง

 

การปรับตัวเข้ากับเสรีภาพทางศาสนาในโลกสมัยใหม่ หรือโลกเสรีนิยม และการขยายจำนวนผู้นับถือเป็นอันดับหนึ่งของโลกของศาสนาคริสต์ ทำให้อิสลามปรับตัวในด้านตรงกันข้าม คือเน้นความเป็นรัฐศาสนา หรือผนวกศาสนาเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐมากขึ้น ขณะที่ชาวมุสลิมมีเสรีภาพทางศาสนาในรัฐโลกวิสัยที่คนส่วนใหญ่นับถือคริสต์ แต่วิถีปฏิบัติแบบคริสต์กลับกลายเป็นเรื่องต้องห้ามในโลกมุสลิมแถบตะวันออกกกลาง

 

ส่วนพุทธศาสนาเถรวาทในศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา พยามอ้างประวัติศาสตร์ทางศาสนาและวัฒนธรรมที่มีมาแต่อดีตเป็นเหตุผลในการผนึกรวมศาสนาเข้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับรัฐสมัยใหม่ ตั้งแต่ยุคอาณานิคมเป็นต้นมา

 

ในอดีตพุทธเถรวาทแถบนี้ระแวงการเข้ามาของศาสนาคริสต์ ที่มาพร้อมกับลัทธิล่าอาณานิคม ต่อมาในช่วงเวลาหนึ่งระแวงลัทธิคอมมิวนิสต์ ส่วนปัจจุบันระแวงอิสลาม การพยายามผนวกตัวเองเข้ากับรัฐมากขึ้นของพุทธไทยจึงเป็นทางเลือกที่เชื่อกันว่า จะรักษาความมั่นคงของพุทธศาสนาเอาไว้ได้ ทั้งจากภัยคุกคามภายนอกจากศาสนาอื่น และภัยคุกคามภายในที่เกิดจากการสอนผิด ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัยอันบริสุทธิ์ถูกต้องตามพระไตรปิฎก

 

แต่ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพุทธศาสนาไทย ถือว่ามีลักษณะพิเศษกว่าที่อื่นๆ คือทำให้รัฐไทยจะเป็น "รัฐโลกวิสัย" ก็เป็นไม่ได้ จะเป็น "รัฐศาสนา" ก็ไม่ใช่อีก เหมือนกับจะเป็นเสรีประชาธิปไตยก็ไม่ใช่ จะเป็นเผด็จการเต็มรูปแบบก็ไม่เชิง จึงต้องฉีก-เขียนรัฐธรรมนูญบ่อยๆ แก้กฎหมายสงฆ์บ่อยๆ แบบที่เป็นมาและยังจะเป็นต่อไป ด้วยประการฉะนี้

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ใบตองแห้ง: ความเป็นไทย Vs ทัวร์จีน

Posted: 21 Jul 2018 10:15 AM PDT

นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวอันดามัน เปิดเผยว่าเหตุการณ์เรือล่มภูเก็ต กระทบยอดจองห้องพักในช่วง 2 เดือนข้างหน้า หายไปกว่าร้อยละ 70 เสียรายได้ 42,000 ล้าน ขณะที่ทางเกาะสมุยทัวร์จีนก็หายทั้งที่เป็นไฮซีซั่น เที่ยวบินลดจาก 3 เที่ยวต่อวันเหลือ 3 เที่ยวต่อสัปดาห์

แน่ละสาเหตุหลักคือทัวร์จีนหวาดผวาเรื่องความปลอดภัย ประเทศไทยต้องฟื้นความเชื่อมั่น ไม่เฉพาะทัวร์จีน แต่สร้างมาตรฐานอุ่นใจทั้งไทยจีนฝรั่ง ไม่เฉพาะเรือล่มแต่รวมรถรา บริการสาธารณะต่างๆ

ส่วนที่ว่าคนจีนไม่พอใจคำพูด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ "เรื่องของเขา" นอมินีจีน นำนักท่องเที่ยวจีนเข้ามา เรือก็ของจีน ฯลฯ หลายฝ่ายปัดพัลวันว่า เป็นแค่กระแสวูบวาบในโลกออนไลน์ รองนายกฯ ก็ขอโทษแล้ว ให้สัมภาษณ์สื่อจีนว่าตัวท่านมีเชื้อจีนด้วยซ้ำไป

มองมุมหนึ่งก็ใช่ ถ้าทัวร์จีนมั่นใจความปลอดภัย เดี๋ยวก็ไหลมาเทมา พูดจาพลาดพลั้งคงไม่เท่าไหร่ บิ๊กจีนกับบิ๊กป้อมใช่อื่นไกล ลูกค้ารายใหญ่ ยังไงก็ต้องรักษาความสัมพันธ์

แต่มองลึกลงไป คำพูดรองนายกฯ มี 2 ประเด็นให้คิด ข้อแรก คนไทยไม่คิดแต่ทางการจีนอาจคิด คือหาคนผิดง่ายไปไหม ที่ว่าเป็นนอมินีจีน จึงออกเรือโดยไม่ฟังคำเตือน ประมาททำให้นักท่องเที่ยวจีนตายเกลื่อน เพราะการสืบสวนสอบสวนควรใช้เวลา อย่างน้อยก็ต้องกู้เรือขึ้นมา พิสูจน์หลักฐานก่อนสรุปสำนวน กรมเจ้าท่าก็บอกว่า วันที่ออกเรือยังไม่ได้สั่งห้าม คงเอาผิดฐานฝ่าฝืนไม่ได้ แต่พูดมาพูดไป "บิ๊กโจ๊ก" ตำรวจใหญ่ ก็บอกว่า ผอ.สำนักเจ้าท่าภูเก็ตโดนย้ายแล้ว

ข้อสอง อะไรๆ ก็นอมินีจีน ทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งต่อให้ พล.อ.ประวิตรไม่ตั้งใจพูด คนไทยจำนวนไม่น้อยก็คิดอย่างนั้น พิธีกรทีวีช่องหนึ่งก็พูดตามท่านจนต้องขอขมา บางคนก็บ่นทำนองว่า ประเทศไทยอุตส่าห์เป็นศูนย์กลางของโลก 17 วัน วีรกรรมถ้ำหลวงสร้างชื่อเสียงให้ยืดอกทั้งประเทศ ที่ไหนได้ ไอ้พวกนอมินี ทัวร์ศูนย์เหรียญ มาทำเรือล่ม ชื่อเสียงคนไทยเสียหายหมด

พูดง่ายๆ คนไทยเยอะเลย มีทัศนคติไม่ดีต่อทัวร์จีน อะไรๆ ก็ทัวร์ศูนย์เหรียญ ตามที่รัฐและสื่อประโคม ทั้งที่กรณีเรือฟีนิกซ์ พบว่าเกือบทั้งลำเป็นนักท่องเที่ยวมีระดับ มาเป็นกลุ่มเล็กๆใช้จ่ายอย่างหรู พักโรงแรม 4-5 ดาว

วันที่ พล.อ.ประวิตรพูด ก็ยังแปลกใจ สื่อไทยไม่พาดหัว ไม่เห็นเป็นประเด็นข่าว เห็นเป็นเรื่องธรรมดาเพราะตีปี๊บ "นอมินีจีน" ตามตำรวจมาแต่ต้น ทั้งที่ควรมีสติ ถึงเป็นนอมินีจริงก็ไม่ควรตีขลุมเป็นเหตุให้เรือล่ม

ก็เป็นความจริงที่คงไม่ปฏิเสธกัน คนไทยส่วนใหญ่มองทัวร์จีนด้านลบ ทั้งที่นักท่องเที่ยวจีนปีละเกือบสิบล้าน เป็นรายได้สำคัญของเศรษฐกิจไทย คนส่วนหนึ่งไม่ชอบจีน พอเข้าใจได้ เพราะไม่พอใจที่รัฐบาลทหารซื้อเรือดำน้ำ สร้างรถไฟเร็วปานกลาง แต่เรื่องตลกคือคนอีกข้างที่นิยมจีน ชูจีนเป็นแม่แบบ ว่าเจริญได้โดยไม่ต้องเป็นประชาธิปไตยอย่างฝรั่ง เอาเข้าจริง คนเหล่านี้ก็ยังเหยียดนักท่องเที่ยวจีน ด้วยทัศนะชาตินิยมและความเป็นไทยเหนืออื่นใด

อันที่จริง ไม่ต้องรักจีนเกลียดจีนก็ได้ ขอเพียงรักความยุติธรรม หาความจริงให้กระจ่างก่อนใช้ปากโทษใคร ไม่ใข่ด่วนสรุปเพื่อให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก เท่านี้แหละ ก็คบได้ทั้งฝรั่งจีน

 

ที่มา: https://www.kaohoon.com/content/241363

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

กวีประชาไท: หัวใจคนหนุ่มสาว ปี 16 & หัวใจไอ้เณรปี 61

Posted: 21 Jul 2018 10:05 AM PDT

 
 
วิถีชนคนกล้ามามือเปล่า          ทิ้งความเขลาความขลาดเหลือปรารถนา
 
การต่อสู้สู่เสรีวิถีประชา                              14 ตุลา 2516 ยกที่ หนึ่ง
 
เคยโค่นล้มทรราชอำนาจเถื่อน               กี่บ้านเรือนยังระลึกย้อนนึกถึง
 
เจตนารมณ์บ่มเพาะมายังตราตรึง          ซึมซาบซึ้งสู่ยุคสมัยรุ่นใหม่รับ
 
ทรราชอำนาจเถื่อนเหมือนมีเมล็ด     พวกเผด็จการชำนาญด้านสับปลับ
 
เป็นเชื้อสายของวิญญาณการบังคับ          บัญชานับเนิ่นนานผ่านพัฒนา
 
เยาวชนหนุ่มสาวเอยเคยล้มยักษ์               ไว้ลายศักดิ์ศรีเสรีชนคนกล้า
 
นั่นเป็นเพียงผ่านยก 1 กึ่งมรรคา                    ระฆังรั้งคอยท่าประชาชัย
 
คนหนุ่มของผองเราเข้าเกณฑ์ทหาร     หลายคนผ่านพอเพียงการเลี้ยงไก่
 
ผิดคาดหวังดั่งลูกผู้ชายใด               ซักกางเกงในให้คุณนายก็คล้ายเคย
 
เกณฑ์ทหารที่ผ่านมาเขาพาไปฝึก              ปัจนึกรู้สึกขามยากหยามเย้ย
 
ที่แล้วเราเลิกทาสไปเหมือนไม่เลย     สุดทนเอ๋ยจึงเอ่ยออกมาหน่วยกล้าตาย
 
ขออำนวยอวยชัยให้ทุกคน                    ถ้าหากผลของกรรมนำรอยหวาย
 
หลายคนแล้วนี่หนอรอเคลื่อนคลาย                    ระบอบวายร้ายนี้ริบหรี่ลง
 
ลูกหลานประชาชนจนส่วนใหญ่                    ที่ต้องไปเป็นทหารงานสูงส่ง
 
ต้องรับใช้ให้ดีพัดวีวงศ์                         วานว่านเครืออันมั่นคงหลงยุคเอย
 
                                                     
ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ทนายเผยหลักฐานเอาผิดแหวน ภาพถ่ายหน้าจอโทรศัพท์แผ่นเดียว คาดอีก 2 ปี ตัดสิน

Posted: 21 Jul 2018 08:48 AM PDT

หลังสืบพยานทนายแหวนชี้พิรุธ โจทก์มีภาพถ่ายหน้าจอสมาร์ทโฟนแผ่นเดียวที่ใช้เป็นหลักฐานเอาผิด ขณะที่ในเหตุการณ์เดียวกันแต่พยานโจทก์ให้การไม่ตรงกันระหว่างสองคดี ทนายเตรียมยื่นประกันใหม่นัดหน้า หลังจากครั้งนี้ศาลไม่ให้ประกัน ขณะที่เงินบริจาคเพื่อประกันตัวแหวนเลยล้านแล้ว ทนายคาดว่ากว่าคดีจะสิ้นสุดใช้เวลาอีกกว่าสองปี ซึ่งในขณะนี้ขณะนี้แหวนติดคุกมาแล้วสามปีเศษแล้ว ชี้กระบวนการล่าช้าเพราะผู้พิพากษาศาลทหารมีน้อย พยานโจทก์เบี้ยวนัด

20 ก.ค. 2561 ศาลทหารกรุงเทพนัดสืบพยานโจทก์คดี 112 ของ แหวน ณัฏฐธิดา มีวังปลา พยานปากสำคัญในคดีสังหารหมู่ 6 ศพวัดปทุมฯ ในปี 2553 โดยการสืบพยานโจทก์ในวันนี้เป็นพยานคู่ปากพล.ต.วิจารณ์ จดแตง และ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ขุนณรงค์  เวลา 8.30 น. เมื่อแหวนถูกควบคุมตัวถึงศาลทหารกรุงเทพก็ได้ถูกนำตัวขึ้นอาคารศาลในทันที โดยศาลสั่งพิจารณาคดีนี้เป็นการลับ

เวลา 14.00 น. หลังการพิจารณาคดี วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายจำเลยได้ให้ความเห็นต่อผู้สื่อข่าวว่า พยานในวันนี้ไม่ได้มีประจักษ์พยานที่ชี้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด หลักฐานที่ใช้ในการกล่าวโทษมีเพียง ภาพถ่ายหน้าจอสมาร์ทโฟนที่ระบุว่า มีข้อความการสนทนาบนแอพพลิเคชั่นไลน์ (Line) ของแหวนเพียงแผ่นเดียวและเพียงข้อความเดียว โดยไม่มีหลักฐานแสดงถึงข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่สามารถนำไปเปรียบเทียบกับข้อมูลในสมาร์ทโฟนของจำเลยว่ามีข้อความที่ถูกต้องหรือคลาดเคลื่อนกับข้อความในเอกสารหลักฐานแต่อย่างใด  ทั้งการได้มาซึ่งพยานหลักฐานและพยานบุคคลมีข้อสงสัยหลายประเด็น

เมื่อพยานตกเป็นเหยื่อ: ระดมเงินเก้าแสนประกัน"แหวน" พยานคดี 6 ศพ วัดปทุม

เปิดปมคดี 'แหวน' ปาระเบิด+112 คำถามถึงการทำลายพยานปากเอกคดี 6 ศพวัดปทุม

วิญญัติมองว่าพยานทั้งสองปากเป็นผู้ที่ร่วมซักถามจำเลยในอีกคดีหนึ่ง (คดีปาระเบิดศาล) โดยตลอด มีหลักฐานเป็นบันทึกการสอบและซักถามในคดีนั้น แต่พยานได้ให้การขัดแย้งกับข้อเท็จจริงเอง ทนายจำเลยมองว่าข้อพิรุธของพยานบุคคลที่เป็นผู้กล่าวหานี้ถือเป็นข้อด้อยทำให้พยานหลักฐานอ่อน

"ทนายจำเลยได้พยายามทำลายน้ำหนักต่อข้อกล่าวหาที่ว่า แหวนเป็นคนที่อาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์หรือเป็นกลุ่มต่อต้านสถาบัน โดยทนายได้นำหนังสือเชิญฉบับจริงจากมูลนิธิ 5 ธันวามหาราช เมื่อปี 2556 เพื่อให้พยานได้เห็นว่าแหวนได้ร่วมจัดงานเป็นการแสดงความจงรักภักดี แต่อัยการคัดค้านการส่งเอกสารชิ้นนี้ อ้างว่าไม่เกี่ยวกับพยานปากนี้ ทนายจำเลยโต้แย้งไปว่า ที่พยานกล่าวหาจำเลยเป็นผู้ไม่จงรักภักดีต่อต้านสถาบันนั้นเกิดจากอคติของพยานหรือไม่  ทั้งๆ ที่จำเลยปฏิเสธข้อหาและยืนยันความบริสุทธิ์มาตลอด" วิญญัติกล่าว

อีกประเด็นที่ทนายจำเลยเห็นว่าเป็นจุดอ่อนของการกล่าวหาก็คือ ข้อความที่แหวนถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โพสต์ แต่ข้อความนี้ไม่ได้เผยแพร่ต่อสาธารณะ มันอยู่ในกลุ่มจำกัดของสมาชิก แต่กลับไม่มีหลักฐานข้อความของคนอื่นเลย

ซึ่งหากดูตามคำฟ้องซึ่งระบุว่าข้อความซึ่งเป็นปัญหาในคดีถูกโพสต์เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2558 แต่มีข้อน่าสังเกตว่าหลังจากในวันนั้น ณัฏฐธิดาได้ถูกควบคุมตัวแล้วเจ้าหน้าที่ได้พาสเวอร์สหรือรหัสผ่านไลน์แอคเคาต์ของเธอไป เหตุใดจึงมีกระดาษแผ่นเดียวใช้เป็นพยานหลักฐานเพื่อใช้กล่าวโทษเอาความผิดให้ต้องติดคุกอยู่เช่นนี้

เมื่อถามว่าคาดว่าจะใช้เวลานานเท่าไหร่คดีถึงจะสิ้นสุด วิญญัติให้รายละเอียดคดีว่า คดีนี้พยานโจทก์ 9 ปาก พยานจำเลย 10 ปาก คาดว่าต้องใช้เวลากว่า 2 ปี  เนื่องจาก ตุลาการมีไม่เพียงพอกับคดี  พยานโจทก์มักไม่มาศาลตามนัด ประกอบกับวันเวลาในการนัดหมายไม่สามารถนัดพิจารณาคดีต่อเนื่องได้

ในส่วนของการประกันตัว ทนายจำเลยได้ยื่นหลักทรัพย์ 900,000 บาทขอประกันตัวณัฏฐธิดา แต่ศาลทหารกรุงเทพยกคำร้องขอประกันตัวโดยพิเคราะห์ว่า ไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทีมทนายความวางแผนจะยื่นขอประกันตัวอีกครั้งในนัดสืบพยานโจทก์นัดหน้า 

ส่วนเงินบริจาคเพื่อการประกันตัว กัณต์พัศฐ์ สิงห์ทอง ทนายความอีกคนของแหวนซึ่งผู้เปิดบัญชีรับบริจาคได้แจ้งว่าล่าสุดมีเงินบริจาคเข้าบัญชีแล้วหนึ่งล้านกับอีกห้าหมื่นบาท ซึ่งหากได้ประกันตัวแล้วเงินในส่วนที่เหลือจะได้มอบให้แหวนใช้เพื่อเป็นการรักษาตัวและเป็นทุนตั้งหลัก

ศาลได้นัดสืบพยานโจทก์ครั้งหน้าในวันที่  4 ก.ย.2561 โดยได้นัดรองศาสตราจารย์สุธินี รัตนวราห คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย รามคำแหง มาเป็นพยานความเห็นเกี่ยวกับข้อความที่ทำให้แหวนถูกกล่าวหา 
 

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

รถเมล์ RTC เชียงใหม่ สรุปการเดินรถไตรมาส 2 ปี 2561 มีผู้โดยสารต่ำกว่าเป้า 70%

Posted: 21 Jul 2018 04:54 AM PDT

บริการขนส่งมวลชน RTC Chiangmai Smart Bus สรุปการเดินรถจนถึงไตรมาส 2 ปี 2561 จำนวนผู้โดยสารมีปริมาณต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ร้อยละ 70 โดยเฉลี่ยอัตราการบรรทุกอยู่ที่ร้อยละ 25 สาย R2 มีผู้โดยสารเฉลี่ยน้อยที่สุดคือ 60 คน/วัน

ที่มาภาพ: เพจ RTC Chiangmai Smart Bus

21 ก.ค. 2561 เพจ RTC Chiangmai Smart Bus ของบริษัท รีเจียนนอล ทรานซิสท์ คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด ผู้ให้บริการรถบัส RTC Chiangmai Smart Bus ใน จ.เชียงใหม่ รายงานสรุปการเดินรถจนถึงไตรมาส 2 ปี 2561 ดังนี้

1. นับจากที่ RTC เชียงใหม่เปิดเดินรถเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2561 โดยให้บริการสาย R3 (สนามบิน-นิมมาน-เมืองเก่า-ตลาดวโรรส-ไนท์บาซาร์) เป็นสายแรก สาย R1 (สวนสัตว์ ขนส่งช้างเผือก วโรรส อาเขต เซ็นทรัลเฟสฯ) เป็นสายที่ 2 และสาย R2 (พรอมเมนาดา-มหิดล-หนองหอย-พระหฤทัย-ไนท์บาซาร์-คูเมือง-สนามบิน) เป็นสายที่ 3 ปัจจุบัน ผู้โดยสารในวันจันทร์-ศุกร์ เฉลี่ยที่ 950 คน/วัน และวันเสาร์-อาทิตย์ เฉลี่ยที่ 1,100 คน/วัน ปริมาณผู้โดยสารมีอัตราเพิ่มขึ้นตลอดเวลา โดยสาย R1 และ R3 มีผู้โดยสารเฉลี่ยไม่ต่างกันมาก สำหรับสาย R2 มีผู้โดยสารน้อยมากเฉลี่ยที่วันละ 60 คน

2. จนถึงเดือน ก.ค. 2561 จำนวนผู้โดยสารมีปริมาณต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ร้อยละ 70 โดยเฉลี่ยอัตราการบรรทุกอยู่ที่ร้อยละ 25

3. เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชน เช่น การขาดแคลนป้ายที่จอดรถ ปัญหาการจอดรถยนต์ส่วนบุคคลและรถสาธารณะต่างๆ ในบริเวณป้ายที่กำหนดซึ่งทำให้รถไม่สามารถเข้าจอดได้ ฯลฯ RTC จึงได้ตัดสินใจขออนุญาตหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการติดตั้งป้ายที่จอดรถ จำนวน 170 ป้าย ซึ่งจะเริ่มติดตั้งช่วงปลายเดือนสิงหาคม โดยจะติดตั้งให้เสร็จในเดือนกันยายน ทั้งนี้ ป้ายที่ได้รับอนุญาตเป็นป้ายขนาดเล็กแสดงเฉพาะข้อมูลการเดินรถ ไม่สามารถหารายได้จากการโฆษณาสินค้าได้ สำหรับป้ายจอดรถบริเวณท่าอากาศยานเชียงใหม่ RTC ต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อำนวยการท่าอากาศยานเชียงใหม่ที่กรุณาอนุญาตให้ติดตั้งป้ายแสดงเวลาออกรถและที่พักชั่วคราวสำหรับผู้โดยสาร ซึ่งขณะนี้ RTC อยู่ระหว่างการออกแบบ

4. รูปแบบการชำระค่าโดยสาร RTC ได้ปรับปรุงระบบการจัดเก็บค่าโดยสารเกือบเสร็จสิ้นแล้ว คาดว่า ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม ผู้โดยสารจะสามารถชำระราคาได้ 2 วิธีคือ การชำระผ่านบัตร RTC Transit Rabbit Card และการชำระด้วยเงินสดผ่านตู้หยอดเหรียญ โดย RTC จะยกเลิกพนักงานเก็บค่าโดยสารบนรถในเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป

5. RTC จะให้บริการบัตร RTC Transit Rabbit Card นอกจากบัตรพลิวิเลจการ์ดที่ใช้อยู่ในขณะนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกแก่ผู้โดยสาร โดยจำแนกเป็น บัตรนักเรียน บัตรนักท่องเที่ยวรายวัน บัตรรายสามวัน และบัตรประเภทอื่นๆ (รอประกาศรายละเอียดอย่างเป็นทางการ) โดยจะเริ่มในช่วงกลางเดือน ก.ย. 2561 เป็นต้นไป

6. RTC อยู่ระหว่างปรับปรุงแอพลิเคชั่น ระบบตรวจสอบติดตามตำแหน่งรถ ซึ่งคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์และใช้ได้ในช่วงกลางเดือน ก.ย. 2561

RTC ขอขอบพระคุณพี่น้องชาวเชียงใหม่ ผู้เยี่ยมเยือน นักท่องเที่ยว หน่วยงานราชการ องค์กรเอกชน องค์กรประชาชน สื่อมวลชน และแฟนเพจ RTC ทุกท่าน ที่กรุณาให้การเสนอแนะ สนับสนุน และช่วยกรุณาอธิบายรายละเอียดเส้นทางหรืออื่นๆ ทั้งในแฟนเพจ RTC และในสถานที่ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องขอขอบพระคุณ สำนักงานขนส่งจังหวัดเชียงใหม่ พันธมิตรการค้า เช่น ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซาทั้งสามแห่ง ห้างพรอมเมนาด้า ห้างเมญ่า และผู้แทนจำหน่ายบัตรโดยสาร ที่กรุณาให้คำแนะนำ สนับสนุนสถานที่จอดรถ สถานที่จำหน่ายบัตร และอื่นๆ มา ณ ที่นี้

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

เผยไม่ถ่ายทอดสดพิจารณางบประมาณกระทรวงกลาโหมปี 2562 อ้างความมั่นคง

Posted: 21 Jul 2018 04:13 AM PDT

21 ก.ค. 2561 เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่า พล.ท.ชาตอุดม ดิตถะสิริ โฆษกคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2562 กล่าวว่าในส่วนของงบกระทรวงกลาโหม ที่พิจารณาเมื่อวันที่ 20 ก.ค. ได้พิจารณาเสร็จแล้วในภาพรวม และระดับนโยบาย แต่ยังไม่มีการตัดหรือเพิ่มงบแต่อย่างใด เพราะต้องส่งให้อนุกรรมาธิการ ทั้ง 2 คณะ คือ อนุ กมธ.ฝึกอบรม สัมมนาฯ และ อนุ กมธ.ครุภัณฑ์ฯ เป็นคนตัด และจะเสนอกลับมายังที่ประชุมใหญ่ของกมธ. ประมาณวันที่ 7- 8 ส.ค. นี้ เพื่อพิจารณาอีกครั้ง ดังนั้นตนจึงยังไม่สามารถแจงรายละเอียดได้

เมื่อถามว่าทำไมช่วงพิจารณางบกระทรวงกลาโหมจึงไม่มีการถ่ายทอดการประชุมเหมือนการพิจารณากระทรวงอื่น พล.ท.ชาตอุดม กล่าวว่า หากการพิจารณาส่วนราชการไหนที่เป็นชั้นความลับ เกี่ยวกับความมั่นคง ก็จะไม่ถ่ายทอดการประชุมออกไปข้างนอก เช่น หน่วยงานในพระองค์ และกระทรวงกลาโหม เป็นต้น

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

จิตแพทย์ชี้สื่อไทยมาถูกทาง มืออาชีพไม่สัมภาษณ์ทีมหมูป่าอะคาเดมี

Posted: 21 Jul 2018 03:58 AM PDT

ทีมหมูป่าอะคาเดมีในแถลงข่าวส่งทีมหมูป่ากลับบ้านเมื่อวันที่ 18 ก.ค. 2561 (แฟ้มภาพ) ที่มาภาพ: ไทยรัฐออนไลน์

21 ก.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่า นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีที่มีสื่อต่างชาติบางสำนักไปสัมภาษณ์น้อง ๆ ทีมหมูป่าอะคาเดมีแบบเจาะลึกถึงที่บ้าน ว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ เพราะน้องๆ กลุ่มนี้ต้องใช้ระยะเวลาในการปรับตัวอย่างน้อย 1 เดือน สื่อไม่ควรเข้าไปสัมภาษณ์ หรือซักถาม ประสบการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาต้องก้าวข้าม ความหวาดกลัว รู้สึกผิดต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นภาระทางจิตใจมากที่สุด จากการที่เป็นผู้รอดชีวิต  ดังนั้น การกระทำของสื่อที่เกิดขึ้น ถือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี

ส่วนกรณีที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมสื่อต่างชาติถึงทำได้ มองว่าเป็นเพียงส่วนน้อยที่กระทำไม่เหมาะสม สื่อไทยควรมีจุดยืนในการทำข่าวอย่างสร้างสรรค์ ควรปล่อยให้เด็กๆ ได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติ เพื่อคืนความเข้มแข็งให้กับพวกเขา ขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรทำความเข้าใจกับผู้ปกครองถึงผลกระทบที่จะตามมา หากปล่อยให้สื่อเข้ามาสัมภาษณ์บุตร-หลานของตัวเองซ้ำๆ จะยิ่งทำให้พวกเขาปรับตัวได้ยาก อาจนำไปสู่ภาวะบาดแผลทางใจ เนื่องจากสภาพจิตใจกว่าจะปรับตัวและใช้ชีวิตปกติได้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 เดือน ถึง 1 ปี  

นพ.ยงยุทธ กล่าวด้วยว่าการที่สังคมโซเชียลมีอคติกับสื่อไทยนั้น อาจเป็นเพราะในอดีตที่ผ่านมา สื่อไทยมีภาพลักษณ์ในการนำเสนอข่าวที่ไม่เหมาะสม ซึ่งปรากฎการณ์ที่สื่อไทยถูกจับตามองในครั้งนี้ ถือว่าเป็นสร้างบรรทัดฐานที่สำคัญ ยกระดับการทำงานอย่างมืออาชีพและเป็นที่น่าดีใจที่สื่อไทยให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี พร้อมแนะนำในระยะเวลา 1 เดือนนี้ สื่อควรนำเสนอความมีน้ำใจของบุคคลต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือ การเอาชนะอุปสรรค ความยากลำบาก ตลอดจนความเสียสละของบุคคลธรรมดาที่เรียกว่า "ปิดทองหลังพระ" สิ่งเหล่านี้จะยิ่งสร้างคุณค่าให้กับสื่อไทย

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

'แรมโบ้อีสาน' ระบุไม่เป็น 'นปช.' ก็รักประชาธิปไตยได้

Posted: 21 Jul 2018 03:38 AM PDT

'สุภรณ์ อัตถาวงศ์' หรือ 'แรมโบ้อีสาน' อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง อดีต ส.ส. พรรคไทยรักไทย และอดีตแกนนำ นปช. (แฟ้มภาพสำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์)

21 ก.ค. 2561 เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่านายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ให้สัมภาษณ์ในรายการเจาะข่าวร้อนเนชั่น ถึงบทบาทใน นปช. ว่าเรื่อง นปช. เขาประกาศว่าตนไม่ใช่ นปช. มาตั้งแต่ที่ตนไม่ได้เข้าร่วมที่ถนนอักษะแล้วโดยเฉพาะนางธิดา ถาวรเศรษฐ พูดบ่อยมากว่าตนไม่ใช่ นปช. แต่นางธิดามาที่หลังตนด้วยซ้ำไป

นายสุภรณ์ กล่าวว่าก่อนหน้านี้ตั้งแต่นางธิดาขึ้นมาเป็นประธาน นปช. ตนก็ไม่ไปร่วมกิจกรรมกับ นปช. อีก เพราะตอนที่ตนเป็นกรรมการ นปช. ก็ตั้งแต่นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ เป็นประธาน แต่หลังจากนางธิดาขึ้นมาความเห็นกับนางธิดาไม่ค่อยลงรอยกันไม่ค่อยตรงกันก็เลยแยกตัวออกมา 

เขากล่าวว่า นปช. มันไม่ใช่ว่าใครเป็น นปช.แล้วต้องรักประชาธิปไตย ตนจะเป็นประชาชนจะเป็นแนวร่วมอะไรก็รักประชาธิปไตยเหมือนกัน ไม่ได้มีอะไรเลยที่จะมาทำลายความรู้สึกความเป็นประชาธิปไตย ทำลายความรู้สึกรักบ้านเมืองรักประชาชน เทิดทูนสถาบัน ตนไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงความเป็นแรมโบ้ แนวร่วมประชาธิปไตยยังเป็นเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

"วันนี้ต้องเลิก พูดเรื่องสี หยุดได้แล้ว บ้านเมืองต้องการความสามัคคี ต้องการความสงบสุข ปรองดอง ต้องหาทางออก วันนี้ถ้าคิดว่าคุณคือประชาธิปไตยฝ่ายเดียว คือสีเสื้อ นปช. อย่างโน้นอย่างนี้ บ้านเมืองไม่มีจบ ผมอยากเห็นทางออกของบ้านเมืองที่กลับมาสงบสุข ประชาชนคนไทยจะกลับมารักสามัคคีกัน ร่วมมือร่วมแรงกัน ร่วมใจกัน อย่างนี้ถึงจะเรียกว่ารักบ้านเมืองประเทศชาติ รักประชาธิปไตย" นายสุภรณ์ กล่าว

ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา ไทยรัฐออนไลน์ได้เผยแพร่บทสัมภาษณ์นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ถึงการตัดสินใจอยากจะเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (อ่านเพิ่มเติม เปิดใจครั้งแรกหลังรัฐประหาร! ลือสะพัด 'แรมโบ้อีสาน' ซบอก พลังประชารัฐ, ไทยรัฐออนไลน์, 17/7/2561)

 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ตั้ง 'แพนเค้ก เขมนิจ' เป็นโฆษกพิเศษกองทัพเรือ

Posted: 21 Jul 2018 02:48 AM PDT

มีคำสั่งแต่งตั้ง น.ส.เขมนิจ จามิกรณ์ หรือแพนเค้ก นักแสดงชื่อดัง เป็นโฆษกพิเศษกองทัพเรือ ที่มาภาพ: เพจกองทัพเรือ Royal Thai Navy

21 ก.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่าเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2561 ที่ผ่านมา พล.ร.ต.เชษฐา ใจเปี่ยม โฆษกกองทัพเรือ เปิดเผยว่า พล.ร.อ.นริส ประทุมสุวรรณ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้ลงนามในคำสั่งกองทัพเรือ (เฉพาะ) ที่ 561/2561 ลงวันที่ 12 ก.ค. 2561 เรื่องแต่งตั้งโฆษกพิเศษกองทัพเรือ เพื่อให้การปฎิบัติการข่าวสารกองทัพเรือเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพจึงมีคำสั่งให้ น.ส.เขมนิจ จามิกรณ์ หรือแพนเค้ก นักแสดงชื่อดังเป็นโฆษกพิเศษกองทัพเรือโดยมีหน้าที่ความรับผิดชอบดังนี้ 1.ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารกองทัพเรือตามที่คณะโฆษกกองทัพเรือมอบหมาย 2.ร่วมเป็นพิธีกรและร่วมกิจกรรมต่างๆของกองทัพเรือตามที่คณะโฆษกกองทัพเรือมอบหมาย 

3.ให้ข้อมูลและคำแนะนำที่เป็นประโยชน์ต่อการปฎิบัติการข่าวสารกองทัพเรือและ 4.ปฎิบัติหน้าที่อื่นๆตามที่โฆษกกองทัพเรือมอบหมาย โดยโฆษกพิเศษกองทัพเรือจะพ้นหน้าที่เมื่อกองทัพเรือมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตามการมาทำหน้าที่ของ น.ส.เขมนิจครั้งนี้เป็นการอาสามาช่วยงานการประชาสัมพันธ์งานของกองทัพเรือโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
 

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น