โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

(คลิป)ทหารชูนิ้วกลางให้กลุ่มเดินมิตรภาพ ขณะยื่นหนังสือผู้ว่าฯ พะเยา

Posted: 06 Mar 2018 11:41 AM PST

ทหารหัวร้อนชูนิ้วกลางใส่กลุ่มเดินมิตรภาพ พร้อมระบุพวกนี้มันบิดเบือน ขณะเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เรื่องขอยุติการดำเนินคดีกับชาวบ้านดอยเทวดา หลังทหารเเจ้งความผิด 3/58

 

เมื่อวันที่ 6 มี.ค. 2561 ที่ศาลากลางจังหวัดพะเยา ตัวแทนเครือข่าย People Go Network ได้เดินทางเพื่อเข้ายื่นหนังสือต่อผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เรื่องขอยุติการดำเนินคดี กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา ตำบลสบบง อำเภอภูซาง จังพะเยา หลังจากจัดกิจกรรมสนับสนุนกลุ่มเดินมิตรภาพ จนถูกเจ้าหน้าที่ทหารแจ้งความดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 เรื่องห้ามชุมนุมทางการเมืองเกิน 5 คน พร้อมให้กำลังใจกับกลุ่มชาวบ้านทั้งหมดที่ถูกดำเนินคดี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลาประมาณ 12.45 น. ขณะที่ทางกลุ่มได้เดินไปยังศาลากลาง ได้มีเจ้าหน้าที่ทหารคือ พันเอกทินชาติ สุทธิรักษ์ มายืนรอบริเวณด้านหน้าศาลากลางพร้อมพูดเสียงดังว่า "พวกนี้มันบิดเบื้อน พวกคุณจะมายื่นอะไรผมยังไม่ได้ดำเนินคดี 3/2558 สักคนเลย ผมบอกลุงไปหลายรอบแล้วว่า 3/2558 ไม่เอาเป็นคดีแล้ว ก็ยังไม่ได้ทำคดีเลย คดียังไม่ถึงไหน แต่พวกคุณเขียนลงเฟซบุ๊กไปว่า ไปดำเนินคดี 3/2558 พวกคุณตรัสรู้ได้อย่างไร" พร้อมกับชูนิ้วกลางขึ้น แล้วเดินหลบไป เมื่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตอบโต้กับว่าเห็นไหมทหารชูนิ้วกลางใส่ เจ้าหน้าที่ทหารคนเดิมพูดต่อว่า "แล้วแต่สิ พวกนี้มันนักบิดเบือนคดียังไม่ทันทำอะไรเลย เอาผมไปประจานเอาผมไปใส่ร้าย"

หลังจากนั้นได้มีการโต้เถียงกันต่อ เมื่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ระบุว่า แต่ล่าสุดมีการขออำนาจศาลเพื่อฝากขังชาวบ้านที่ถูกดำเนินคดีทั้งหมด แต่ยังพูดไม่ทันขาดคำเจ้าหน้าที่ทหารรายดังกล่าวตอบกลับว่า "อ่ะผมจะพูดให้ฟังว่ากลุ่มนี้บิดเบือนยังไง วันที่อยู่โรงพักไม่มีใครควบคุมตัวพวกคุณเข้าห้องขังเลยก็บิดเบือนว่า ถูกจับเข้าห้องขังทั้งคืน โทรศัทพ์ก็ใช้ได้ อยู่โรงพักแต่ยังถ่ายเซฟฟี่ได้ ใครบอกจำกัดสิทธิ" ทั้งนี้หนึ่งในผู้ที่ถูกดำเนินคดีโต้ตอบว่าไม่ได้จับเข้าห้องขังจริง แต่ไม่สามารถออกไปไหนได้ ก็ถือเป็นการควบคุมตัว และเป็นการจำกัดสิทธิ เจ้าหน้าที่ทหารคนเดิมจึงพูดขึ้นกับตัวแทนของจังหวัดว่า "ก็แล้ว ใครอยากจะรับหนังสือก็รับ"

หลังจากนั้นตัวแทนชาวบ้านได้เข้ายื่นหนังสือกับตัวแทนจังหวัด พร้อมกับกล่าวด้วยว่า มาวันนี้เพียงแค่ต้องการมายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมไม่ได้มากดดันอะไร ที่มากันเยอะเพราะมีคนต้องการมาให้กำลังใจ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ทหารคนเดิมได้ชี้แจงต่อว่าได้มีการพูดกับชาวบ้านแล้วว่าไม่มีการดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 3/2558 แล้ว แต่กระบวนการที่จะถอนคดียังไม่แล้วเสร็จ พร้อมยืนยันว่าไม่มีกรณี 3/2558 แน่นอน แต่อาจจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ

กรณีดังกล่าวสืบเนื่องจากการที่กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดา ตำบลสบบง อำเภอภูซาง จังหวัดพะเยา และนักศึกษา รวม 14 คน จัดกิจรรมเดินมิตรภาพเพื่อสนับสนุนและให้กำลังใจกลุ่ม People Go Network เมื่อวันที่ 5 ก.พ. จนเป็นเหตุทำให้ถูกเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจเรียกตัวไปสอบสวนช่วงดึกของวันที่ 5 ก.พ. จนถึงรุ่งเช้าของวันที่ 6 ก.พ. (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง: ทหาร-ตำรวจเรียกสอบกลางดึก หลังชาวบ้านภูซางหนุนเดินมิตรภาพ)

ต่อมาเจ้าหน้าที่ทหารมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อชาวบ้านและนักศึกษา รวมทั้งหมด 14 ราย ในข้อหาฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 โดยในช่วงสายของวันที่ 6 ก.พ. พนักงานสอบสวนได้นำตัวชาวบ้านทั้ง 10 คนซึ่งได้สอบปากคำเรียบร้อยแล้วได้ขออำนาจศาลจังหวัดเชียงคำฝากขัง โดยศาลอนุญาตฝากขัง แต่ชาวบ้านทั้งหมดได้ยื่นขอประกันตัว ศาลอนุญาตให้ประกันตัว โดยให้ยื่นหลักทรัพย์รายละ 5,000 บาท เนื่องจากเห็นว่าเป็นคดีเกี่ยวกับความมั่นคง จึงขอให้มีหลักทรัพย์ในการประกันตัวเอาไว้ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 50,000 บาท สำหรับผู้ต้องหาทั้งหมด 

สำหรับกิจกรรมที่ชาวบ้านได้จัดนั้น เป็นการถือป้ายข้อความและอ่านแถลงการณ์สนับสนุนกิจกรรม "We Walk เดินมิตรภาพ" ของเครือข่าย People Go พร้อมกับเรียกร้องเรื่องกฎหมายสำหรับคนจน 4 ฉบับ ได้แก่ ธนาคารที่ดิน ภาษีในอัตราก้าวหน้า สิทธิชุมชน และกองทุนยุติธรรม โดยมีการเดินเป็นระยะทางประมาณ 500 เมตร ในหมู่บ้าน

ขณะที่เมื่อวันที่ 27 ก.พ. ชาวบ้านดอยเทวดา กลุ่มที่ถูกดำเนินคดีได้เดินทางมายื่นหนังสือครั้งแรกที่ศาลากลางจังหวัดพะเยา แต่ก่อนหน้าที่จะได้ทำการยื่นหนังสือร้องเรียนดังกล่าว ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ทหารทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้ามาเจรจาต่อรองไม่ให้ยื่นหนังสือดังกล่าว ทั้งยังมีการพยายามเชิญให้กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดาและนักศึกษาไปพูดคุยที่มณฑลทหารบกที่ 34 ค่ายขุนเจืองธรรมิกราช โดยระบุว่าเป็นการไปพูดคุยหาทางออก แต่กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดาและนักศึกษาปฏิเสธไม่ขอร่วมพูดคุยภายในค่ายทหาร เจ้าหน้าที่ทหารจึงทำการเจรจากับชาวบ้านที่โรงอาหารด้านหน้าศูนย์ราชการจังหวัดพะเยา ใช้เวลาพูดคุยกันเกือบ 3 ชั่วโมง ก่อนที่กลุ่มเกษตรกรบ้านดอยเทวดาและนักศึกษาจะแยกย้ายกันกลับ โดยยังไม่ได้ยื่นหนังสือใดๆ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กฤษณา โฆหะลี หญิงวรรณะดาลิต-แต่ฝ่าฟันจนได้เป็นวุฒิสมาชิกปากีสถาน

Posted: 06 Mar 2018 11:29 AM PST

ถึงแม้ว่าในอินเดียและปากีสถานจะมีชาววรรณะ "ดาลิต" หรือ "จัณฑาล" ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับล่างสุดของสังคมฮินดู แต่ล่าสุดในปากีสถานมีหญิงจากวรรณะดาลิตที่ได้รับเลือกเป็นวุฒิสมาชิกได้เป็นครั้งแรก

กฤษณา กุมารี โฆหะลี วุฒิสมาชิกหญิงคนแรกของปากีสถานที่มาจากวรรณะดาลิต (ที่มา: Atimes/Twitter)

6 มี.ค. 2561 กฤษณา กุมารี โฆหะลี เป็นหญิงจากกลุ่มคนที่เป็นชายขอบในสังคมปากีสถานคือชาววรรณะ "ดาลิต" หรือที่มักจะถูกเรียกว่า "จัณฑาล" ซึ่งเป็นวรรณะของศาสนาฮินดูในประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นส่วนใหญ่ (โดยมีชาวฮินดูอยู่เพียงร้อยละ 2 ในปากีสถาน) อย่างไรก็ตามเธอก็กลายเป็นชาววรรณะดาลิตคนแรกที่ได้รับเลือกให้เป็นวุฒิสมาชิก

โฆหะลีเป็นตัวแทนจากพรรคปากีสถานพีเพิลปาร์ตี (PPP) เธอเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการลงมติจากรัฐสภาและสภาท้องถิ่น 4 แคว้นให้ดำรงตำแหน่งวุฒิสภาเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ที่ผ่านมา จากคนที่เคยทำงานช่วยพ่อแม่ในไร่นามาในสมัยเด็ก โฆหะลีบอกว่าเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะสามารถไปถึงจุดที่ได้เป็น ส.ว. มันทำให้เธอรู้สึกยินดี

โฆหะลีบอกว่าความสำเร็จของเธอเป็นเพราะพ่อแม่ที่สนับสนุนให้เธอได้รับการศึกษาและช่วยเหลือทำให้เธอเรียนจบมหาวิทยาลัยได้ หลังจากนั้นเธอก็เข้าทำงานกับองค์กรเอ็นจีโอ ก่อนที่จะเข้าสู่พรรคการเมืองพีเพิลปาร์ตี ซึ่งเป็นพรรคการเมืองของอดีตนายกรัฐมนตรีเบนาซี บุตโต ผู้เคยถูกลอบสังหาร

ในฐานะที่เธอได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงเก้าอี้ ส.ว. สำหรับชนกลุ่มน้อยจากแคว้นสินธุ โฆหะลีบอกว่าเธอจะทำงานเพื่อสิทธิของคนที่ถูกกดขี่ โดยจะเน้นเสริมพลังให้ผู้หญิงทั้งในด้านสาธารณสุขและในด้านการศึกษา

เรื่องนี้ยังส่งผลให้มีผู้คนชื่นชมและแสดงความยินดีกับชาวดาลิตคนแรกที่ได้เป็น ส.ว. ซึ่งน้อยครั้งที่ผู้หญิงจากวรรณะต่ำสุดของฮินดูจะได้รับตำแหน่งเช่นนี้ มีนักสิทธิมนุษยชนทวีตข้อความชื่นชมการตัดสินใจของพรรค PPP ที่เลือกโฆหะลีมาดำรงตำแหน่ง โดยระบุว่ารัฐสภาของปากีสถานควรจะมีตัวแทนจากหลากหลายศาสนา ชนชั้นวรรณะและเพศสภาพ เพื่อนำทางไปสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

เรียบเรียงจาก

Krishna Kholi: Pakistan's first Hindu Dalit senator, Aljazeera, 04-03-2018

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อาจารย์วิทยาศาสตร์ในบังกลาเทศผู้วิจารณ์พรรคอิสลามสายสุดขั้วถูกแทงบาดเจ็บ

Posted: 06 Mar 2018 11:15 AM PST

ในบังกลาเทศ เกิดเหตุผู้ใช้ของมีคมแทงศาตราจารย์และนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่เคยวิพากษ์วิจารณ์พรรคการเมืองอิสลามสายหัวรุนแรงที่เคยถูกแบนจากการเลือกตั้ง ถึงแม้ว่าทางการจะสามารถระบุตัวคนร้ายได้แล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาก่อเหตุด้วยตัวคนเดียวไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มองค์กรใดๆ จริงหรือไม่

เหตุทำร้ายดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อช่วงปลายสัปดาห์ โดยศาสตราจารย์ ซาฟาร์ อิคบัล ถูกชายอายุ 25 ปี ใช้มีดแทงเขา ที่มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชาห์จาลัล เมืองซิลเฮต ทำให้อิคบัลถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และต่อมาแพทย์แถลงว่าเขาได้รับการผ่าตัดจนพ้นขีดอันตรายแล้ว ขณะที่ผู้ต้องหาก่อเหตุคือ ฟอยซูร์ รอห์มาน ถูกจับกุมตัวในที่เกิดเหตุ

อิคบัลเป็นคนแต่งนิยายวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงในบังกลาเทศ เขาถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 3 มี.ค. ขณะเข้าร่วมงานที่จัดโดยภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกของมหาวิทยาลัย เขาได้รับบาดเจ็บสามแผลที่ศีรษะและหนึ่งแผล ที่มือซ้ายหลังถูกโจมตี ส่วนผู้ก่อเหตุถูกจัมกุมตัวได้ในที่เกิดเหตุซึ่งมีคนทุบตีคนร้ายจนต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลเช่นกัน

ในเวลาต่อมามีการระบุตัวผู้ต้องหาคือฟอยซูร์ รอห์มาน นักเรียนมัดดารอซะฮ์ อายุ 25 ปี รอห์มานให้การว่าเขาโจมตีอิคบัลในฐานะ "ศัตรูของอิสลาม" และบอกว่าเขาก่อเหตุจากการตัดสินใจเองคนเดียวแต่เจ้าหน้าที่ทางการบังกลาเทศไม่เชื่อคำให้การของเขา

อิคบัลเป็นคนที่มีจุดยืนวิพากษ์วิจารณ์ต่อต้านเหล่าผู้นำพรรคการเมืองจามาต อี อิสลามี มาโดยตลอด ซึ่งพรรคการเมืองนี้เป็นกลุ่มหัวรุนแรงขวาจัดศาสนาอิสลามที่หลายคนกำลังถูกดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศจากบทบาทในสงครามปลดปล่อยบังกลาเทศจากปากีสถานเมื่อปี 2514 ที่ผู้นำจามาตมีบทบาทในการช่วยเหลือเผด็จการปากีสถานในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และข่มขืนชาวบังกลาเทศจำนวนมาก นอกจากนี้พ่อของอิคบัลยังอาจจะถูกสังหารโดยหนึ่งในผู้นำของจามาตด้วย

อิคบัลเป็นคนที่เคยทำงานเป็นนักวิจัยในสถาบันวิจัยแคลิฟอร์เนียก่อนจะกลับมาเป็นอาจารย์ที่บังกลาเทศ เขาเคยเป็นรองประธานกรรมการคณิตศาสตร์โอลิมปิกของบังกลาเทศที่เป็นผู้ทำให้เยาวชนชาวบังกลาเทศหันมาสนใจคณิตศาสตร์

นูรูล อิสลาม นาฮิด รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของบังกลาเทศกล่าวว่าทางรัฐบาลรู้สึกเจ็บปวดที่อิคบัลถูกโจมตี จากการที่อิดบัลเป็นบุคคลที่มีความสำคัญและเหตุบุกโจมตีเขาก็ถือเป็นเรื่องน่าเป็นห่วงมากและจะมีการสืบสวนอย่างถึงที่สุด

ก่อนหน้านี้ในช่วงต้นปี 2557 อิคบัลเคยวิจารณ์การพยายามยับยั้งหรือเลื่อนการเลือกตั้งลังจากเกิดเหตุรุนแรงโดยเรียกร้องให้มีการเจรจาหารือระหว่างพรรคการเมืองที่มีความขัดแย้งเพื่อยุติความรุนแรงแทนการยกเลิกการเลือกตั้ง รวมถึงไม่เห็นด้วยถ้าหากจะเลื่อนการเลือกตั้งเพื่อให้พรรคจามาตเข้าร่วมด้วย ในการเลือกตั้งครั้งนั้นพรรคจามาตถูกตัดสินว่าลงทะเบียนอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายและไม่อนุญาตให้เข้าร่วมการเลือกตั้ง

เรียบเรียงจาก

Renowned writer Zafar Iqbal stabbed in Sylhet, being taken to Dhaka CMH, THe Daily Star, 03-03-2018

Who is the attacker of Bangladesh renowned writer Zafar Iqbal?, The Daily Star, 04-03-2018

Zafar Iqbal slams media, The Daily Star, 05-01-2014

ข้อมูลเพิ่มเติมจาก

https://en.wikipedia.org/wiki/Muhammed_Zafar_Iqbal

https://en.wikipedia.org/wiki/Bangladesh_Jamaat-e-Islami

https://en.wikipedia.org/wiki/Bangladesh_Liberation_War

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ พอใจแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้น ย้ำอย่าใจร้อนกันมากนัก

Posted: 06 Mar 2018 09:58 AM PST

พล.อ.ประยุทธ์ พอใจแนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดัชนีเชื่อมั่นของผู้บริโภคสูงสุดในรอบ 35 เดือน

6 มี.ค. 2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เมื่อเวลา 13.00 น. ณ บริเวณหน้าห้องประชุมรอยัล ดุสิต บอลรูม เอ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รายงานภาวะเศรษฐกิจไทยประจำเดือนมกราคม 2561 ต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี ซึ่งโดยภาพรวมดีขึ้นในทุกด้าน และต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ส่วนทางสมาคมผู้ค้าปลีกไทย คาดการณ์จีดีพี ประจำปี 2561 ว่าจะขยายตัว 3.8 - 4.0 % ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากปัจจัยการใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ การขยายตัวของการบริโภค นอกจากนี้สมาคมขนส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย ได้คาดการณ์ว่า การส่งออกของประเทศไทยในปี 2561 จะขยายตัวได้ 5.5% ส่วนด้านธุรกิจออนไลน์ แนวโน้มน่าจะขยายตัวได้ถึง 22 %

"ทุกอย่างมีการขยายอย่างต่อเนื่อง พอเริ่มต้น พอปลดล็อค พอทำกฎหมายก็ค่อย ๆ ทำเดินหน้ามา มันก็จะดีขึ้น อย่าใจร้อนกันมากนัก มันทำให้เกิดปัญหา ในเรื่องค่าเงินบาทตอนนี้ก็อ่อนตัวลง ก็มีผลจากต่างประเทศด้วยตลาดหลักทรัพย์ก็อยู่ในเกณฑ์สูงกว่า 1,800 จุดเพิ่มขึ้น 0.22 ผมบอกแล้วไม่ใช่ดีกับผู้เล่นหุ้น แต่บริษัทเขามีผลประกอบการดี รายจ่ายพนักงานลูกจ้าง โบนัส เมื่อจ่ายลงไปข้างล่างก็มีการใช้จ่ายในภาคธุรกิจ ผมถึงบอกว่าเราต้องไปดูแลในภาคเกษตร ประมง ด้วยการเอาโครงการไทยนิยมไปเสริมในเรื่องเหล่านี้ เพื่อสร้างความเข้มแข็ง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

หัวหน้า คสช. กล่าวย้ำอีกว่า โดยส่วนตัวแล้วมีความพึงพอใจในแนวโน้มเศรษฐกิจและค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปี 2561 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยรัฐบาลมีความพยายามในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้ดีขึ้นตามลำดับ ทั้งนี้ ต้องอาศัยปัจจัยหลายๆด้านประกอบกัน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังคงดูแลและให้ความสำคัญกับภาคการเกษตรและกลุ่มประชาชนผู้มีรายได้น้อย จึงได้นำโครงการไทยนิยมยั่งยืนไปส่งเสริมและพัฒนาด้านการประกอบอาชีพให้แก่ประชาชนมากขึ้น

 

ที่มา เว็บไซต์ทเนียบรัฐบาลและคมชัดลึกออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บังคับใช้เป็นกฎหมายแล้ว พ.ร.ป.ศาลรัฐธรรมนูญฉบับ 'ห้ามวิจารณ์คำสั่งศาล'

Posted: 06 Mar 2018 09:44 AM PST

6 มี.ค. 2561 จากเมื่อวันที่ 23 พ.ย. 60 การประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้พิจารณาร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ วาระที่ 2 และ 3 โดยที่ประชุม สนช. มีมติเอกฉันท์เห็นชอบร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาศาลรัฐธรรมนูญ วาระ 3 ด้วยคะแนน 188 เสียง งดออกเสียง 5 เสียง เพื่อประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไปนั้น

ล่าสุด iLaw รายงานว่า เมื่อวันที่ 2 มี.ค.ที่ผ่านมา ราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้ พ.ร.ป.ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 เป็นกฎหมายแล้ว

iLaw ได้สรุปด้วยว่า กฎหมายฉบับนี้ มีหลักการสำคัญอย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ 

1) ห้ามละเมิดอำนาจศาล

การห้ามละเมิดอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ใน มาตรา 38 กำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจรักษาความสงบเรียบร้อยของการพิจารณาคดี ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการห้ามละเมิดอำนาจศาลของศาลทั่วไป 

นอกจากนั้น ยังกำหนดไม่ให้ "วิจารณ์คำสั่งหรือวินิจฉัยคดีศาลรัฐธรรมนูญ" ที่กระทำด้วยความไม่สุจริต และใช้ถ้อยคำหรือความหมายที่หยาบคาย เสียดสี อาฆาตมาดร้าย ให้เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลด้วย 

บทลงโทษมีตั้งเเต่ การตักเตือนและการไล่ออกจากบริเวณศาล ไปจนถึงการลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือ ปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โดยการสั่งลงโทษนั้นต้องมีมติสองในสามจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเท่ากับตุลาการฯ 6 คน จากทั้งหมด 9 คน

2) อำนาจให้คำปรึกษาข้อพิพาทองค์กรการเมือง 

อำนาจให้คำปรึกษาข้อพิพาทองค์กรการเมือง บัญญัติไว้ในมาตรา 44 ศาลรัฐธรรมนูญมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของสภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา รัฐสภา คณะรัฐมนตรีหรือองค์กรอิสระ ที่อาจขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยให้องค์กรที่มีปัญหาโต้แย้งระหว่างกันอยู่มีสิทธิยื่นร้องต่อศาลได้

3) สิทธิประชาชนในการฟ้องตรงต่อศาล 

สิทธิประชาชนในการฟ้องตรงต่อศาล แบ่งเป็น 2 กรณี 

กรณีแรก หากรัฐไม่ปฏิบัติตามหมวด 5 ของรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับหน้าที่ของรัฐ ประชาชนหรือชุมชนสามารถยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ ตามมาตรา 45

โดยมีขั้นตอน คือ เมื่อได้ร้องขอต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องแล้วถูกปฏิเสธ หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ดำเนินการภายใน 90 วัน ให้ผู้ฟ้องยื่นหนังสือโต้แย้งต่อหน่วยงานนั้นภายใน 30 วัน จากนั้นให้ยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินภายใน 30 วัน หากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นชอบให้ยื่นต่อคณะรัฐมนตรี หากผู้ร้องเห็นว่าคำสั่งของคณะรัฐมนตรีไม่ถูกต้อง จึงยื่นต่อศาลได้ภายใน 30 วัน ฉะนั้น อาจใช้เวลามากสุดกว่า 150 วันหรือ 5 เดือนกว่าจะยื่นตรงต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

กรณีที่สอง ประชาชนถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพ โดยมาตรา 47 กำหนดว่า การละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพนั้นต้องเป็นการละเมิดสิทธิอันเกิดจากการกระทำของหน่วยงานของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ และหน่วยงานซึ่งใช้อำนาจของรัฐ แต่มีข้อยกเว้นว่า ต้องไม่ใช่การกระทำของรัฐบาล และต้องไม่อยู่ภายใต้อำนาจการวินิจฉัยของศาลอื่น และหากรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายอื่นได้กำหนดกระบวนการ ขั้นตอนหรือวิธีการร้องไว้แล้ว ต้องดำเนินการตามนั้นให้ครบถ้วนเสียก่อน

โดยมาตรา 46 และ 48 กำหนดขั้นตอนให้ประชาชนผู้ถูกละเมิดฯ ยื่นคำร้องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินภายใน 90 วันนับแต่วันที่รู้ว่าถูกละเมิดสิทธิและให้ผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายใน 60 วัน โดยให้แจ้งผลให้ผู้ร้องทราบภายใน 10 วันหลังครบกำหนดเวลาดังกล่าว ดังนั้น ผู้ร้องจะต้องทราบผลภายใน 70 วัน แต่ถ้าผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ยื่นคำร้องหรือไม่ทำตามเวลาที่กำหนด ผู้ละเมิดมีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลได้โดยตรง

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: พรรคทหารอยู่ตรงไหน

Posted: 06 Mar 2018 08:48 AM PST

 

แค่วันแรก ก็มีพรรคการเมืองใหม่ไปจดแจ้งกับ กกต.มากถึง 42 พรรค ยังไม่นับพรรค กปปส.และพรรคประชาธิปไตยทางเลือกใหม่ ปรากฏการณ์ที่สื่อและสังคมให้ความสนใจ ถกเถียงกันว่าแต่ละพรรคจะมีที่ยืนตรงไหน การเลือกตั้งจะเปลี่ยนไปอย่างไร ฯลฯ ในมุมกลับ ก็เหมือนปี่พาทย์โหมโรง ปลุกบรรยากาศคึกคัก นับถอยหลังสู่เลือกตั้ง จนใครที่คิดจะเลื่อนอีกครั้ง คงทำได้ยากแล้วล่ะ

"ไม่เกินเดือน ก.พ. 2562" ไม่ว่าจะจริงใจอยากให้คำมั่นหรือไม่ก็ตาม กระแสมันไปแล้วล่ะ ต้องขอบคุณม็อบอยากเลือกตั้ง ที่กดดันจนต้องให้คำมั่นอีกครั้ง แถมวิษณุ เครืองาม ยังพยายามผ่อนคลายว่าอาจได้เลือกตั้งเร็วขึ้นตั้งแต่ ก.ย. 2561 เป็นต้นไป

เมื่อดูโฉมหน้าพรรคใหม่ ข้อชวนสงสัยที่สุดคือ "พรรคทหาร" อยู่ตรงไหน พรรคทหารที่ว่าจะหนุนลุงตู่เป็นนายกฯ คนนอก อ้าว ไม่ใช่พรรค กปปส.หรือ ไม่ใช่แล้วครับ หลังจากเปิดพรรคมีแต่น้องชายสุเทพ เทือกสุบรรณ ขุนพลนกหวีดคนสำคัญๆ "ไอ้เสือถอย" กลับรังแมลงสาบหมด

ในทางการเมือง คิดง่ายๆ นะ คนนอกที่ไหนจะอยากสังฆกรรมกับพรรคปิดเมืองขัดขวางเลือกตั้ง (ยิ่งถูกกล่าวหาว่า conspiracy กัน) ข้าราชการ นักการเมืองที่ไหนจะอยากสมัครในนามพรรคนกหวีด เว้นแต่คนที่ยึดสถานที่ราชการมาด้วยกัน คนอื่นๆ ทำไมต้องแบกหม้อก้นดำ ข่าวที่ว่าจะกวาดต้อนคนนั้นคนนี้มาร่วมพรรคจึงเป็นไปได้ยาก

เป่านกหวีดปิดเมืองก็ผิดหนักอยู่แล้ว ยังจะชูลุงตู่คะแนนตก เตี้ยอุ้มค่อมชัดๆ

จะว่าพรรคไพบูลย์ นิติตะวัน ก็ไม่น่าใช่พรรคทหารเหมือนกัน แค่เริ่มต้นก็รบกับพระ เป็นได้แค่พรรคเฉพาะทาง ไม่ใช่พรรคที่คิดการใหญ่

พรรคทหารในฝันควรเป็นเช่นไร ก็ควรเป็นพรรคตาม 4 คำถาม 6 คำถาม ควรจะมีผู้นำเป็นคนดีเด่นดัง ที่อยู่ในทีมรัฐบาล จะให้ดีก็ควรเป็นทีมเศรษฐกิจ เป็นคนที่เรียกความเชื่อมั่นคนชั้นกลางในเมือง นำทีมอดีตผู้ว่าฯ อดีตแม่ทัพ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ ให้ภาพงามๆ ที่เหลือค่อยกวาดต้อนนักการเมืองอย่าให้ดูเป็นพรรคสามัคคีธรรม หาเสียงตามผลงานรัฐบาล โครงการประชารัฐ ไทยนิยม ที่คุยว่ามีคนเข้าร่วม 3.2 ล้าน สั่งมณฑลทหารบก รด.เข้าร่วมโครงการ

ไม่ต้องชนะล้นหลาม แค่ได้ ส.ส.ซักร้อย ส.ว. 250 ดึงพรรคกลางพรรคเล็กมาตั้งนายกฯ คนนอก

แต่วันนี้เรายังไม่เห็นพรรคทหาร แม้อาจซุ่มอยู่ใน 42 พรรค ก็เงียบมากไม่มีวี่แวว หรือจะเก็บความลับได้ยอดเยี่ยม คงต้องรอดู 1-2 เดือน เผื่อจะเห็นไก่อูลาออกมารับเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง (ฮา)

ถ้าไม่มีพรรคทหาร หรือมีแต่ไม่เป็นไปตามความฝัน ไม่สามารถเป็นฐานจัดตั้งรัฐบาล มองข้ามช็อตจะเกิดอะไร สภาก็จะยังเป็นของ 2 พรรคใหญ่ (แม้พรรคขนาดกลางอาจได้ส่วนแบ่งมากขึ้น) แต่พรรคใหญ่ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลได้ เพราะมี ส.ว.แต่งตั้งขวางคลอง 250 คน

แล้วถ้า 2 พรรคใหญ่ไม่ยอมรับนายกฯ คนนอกจะเป็นอย่างไร (อย่าลืมว่าไปถึงตอนนั้น ลุงตู่จะยิ่งขาลงๆๆ) พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นนายกฯ แหง พรรคประชาธิปัตย์เป็นก็ซ้ำรอยเดิม เผลอๆ จะตันตั้งแต่เริ่มหรือต้องคิดสูตรการเมืองใหม่

สำหรับประชาชน ก่อนเลือกตั้ง ก็ถามย้ำทุกพรรคไว้แล้วกัน เอา-ไม่เอา นายกฯ คนนอก ถ้าตอบว่าพร้อมทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมือง ก็ส่อสันดาน

 

ที่มา: www.kaohoon.com

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'เชฟโรเลต' แจงเปลี่ยนสถานที่ให้คนงานรายงานตัว จาก 'ค่ายทหาร' เป็น 'สนามกอล์ฟ'

Posted: 06 Mar 2018 08:06 AM PST

เชฟโรเลต แจงเปลี่ยนสถานที่ให้คนงานรายงานตัว จาก 'ค่ายทหาร' เป็น 'สนามกอล์ฟ' ยันเพื่อต้อนรับพนักงานที่กลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง ย้ำการเปลี่ยนแปลงเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานที่เดินทางมารายงานตัวและทางบริษัทฯ

แฟ้มภาพ

6 มี.ค.2561 จากกรณีที่กองเลขานุการสมัชชาคนจนได้รับรายงานว่า ในวันที่ 2 มี.ค. ที่ผ่านมา ลูกจ้าง บริษัทเจนเนอรัลมอเตอร์ส (ประเทศไทย) หลายรายได้รับข้อความ SMS ซึ่งในข้อความระบุว่า "ขอให้ท่านรายงานตัวเพื่อกลับเข้าทำงานในวันที่ 6 มีนาคม 2561 ณ กองพันทหารปืนใหญ่ ที่ 21 ค่ายนวมินทร์ ชลบุรี เวลา 8.00 น. กรุณาติดต่อกลับที่เบอร์ 084-947-8668 และข้อความที่ 2 ระบุว่า "ให้ท่านสวมใส่ชุดพนักงานและเตรียมเอกสารมารายงานตัวในวันที่ 6 มีค. 61 ดังนี้ 1.บัตรพนักงาน 2.บัตรเจนเนอรัลลี่ของตัวท่านและครอบครัว (ถ้ามี) 3.บัตรประชาชนและสำเนา 5 ชุด 4.สำเนาหน้าสมุดบัญชี ธ.ยูโอบี ที่ยังคงมีการเดินบัญชี 5.เอกสารการเปลี่ยนชื่อ 2 ชุด (ถ้ามี) โดยทั้งนี้ให้ท่านเดินทางมารายงานตัวด้วยตนเอง" โดยมีคนงานที่กังวลว่าจะถูกบีบให้ลาออกนั้น

ล่าสุดวันนี้ ประชาไท ได้รับแจ้งจาก เชฟโรเลต เซลส์ ประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของเจนเนอรัล มอเตอร์ส ส่งหนังสือชี้แจงกรณีดังกล่าว โดยระบุว่า

"จากกรณีที่บริษัทฯ เลือกค่ายนวมินทร์เพื่อเป็นสถานที่สำหรับการรายงานตัวกลับเข้าทำงานของพนักงานเนื่องด้วยค่ายนวมินทร์ (ร.21 รอ.) ชลบุรีมีพื้นที่สาธารณะที่เพียงพอต่อการจัดกิจกรรมสันทนาการและการประชุมสัมมนาพร้อมกับมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะสมสำหรับรองรับกลุ่มบุคคลขนาดใหญ่ซึ่งก็มีหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนที่ใช้ค่ายฯดังกล่าวเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ อย่างไรก็ตามเพื่อให้พนักงานของเราได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น บริษัทฯ จึงได้เปลี่ยนแปลงสถานที่รับรายงานตัวของพนักงานไปเป็นพัฒนา กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท"

"กลุ่มบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ในประเทศไทย ได้เปลี่ยนแปลงวันและสถานที่รับรายงานตัวของพนักงานที่บริษัทฯ รับกลับเข้าทำงาน จากวันอังคารที่ 6 มีนาคม 2561 ที่ ค่ายนวมินทร์ (ร.21 รอ.) ชลบุรี ตามที่แจ้งให้ทราบไปก่อนหน้านี้ไปเป็นวันพุธที่ 7 มีนาคม 2561 ที่ พัฒนา กอล์ฟ คลับ แอนด์ รีสอร์ท ชลบุรี เพื่อต้อนรับพนักงานของเราที่กลับเข้ามาทำงานอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่พนักงานที่เดินทางมารายงานตัวและทางบริษัทฯ ได้จัดเตรียมรถบริษัทรับ-ส่งพนักงานเพื่ออำนวยความสะดวกในการเดินทางของพนักงานตามจุดรับส่งดังต่อไปนี้ หน้าศรีราชาเฮาส์ 06.30 น. ศาลาปากทางเข้าบางแสน 06.00 น.หน้าไปรษณีย์ชลบุรี 05.50 น. หน้าโลตัสตลาดบ้านบึง 06.20 น. บ้านบางเสร่ 06.00 น.แยกเกษมพล 06.15 น. แยกโปร่งสะเก็ด 06.30 น. หน้าวัดห้วยปราบ 06.50 น. หน้าแหลมทองระยอง 06.00 น. ป้อมนิคมพัฒนา กม. 12 06.30 น. และตรงข้าม CK ปลวกแดง 07.00 น."
 

เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา ประชาไท รายงานว่า กรณีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจาก นฤพนธ์ มีเหมือน ได้ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) กล่าวหาว่าบริษัทเจนเนอรัล มอเตอร์ส ประเทศไทย จำกัด ไม่จ่ายค่าจ้าง ไม่ให้ทำงาน และไม่มอบหมายงานแก่ลูกจ้าง จำนวน 66 คน แม้ว่าลูกจ้างจะยินยอมตามข้อเรียกร้องของบริษัทแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งเนื่องจากเป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน ที่ได้ร่วมยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัท ตลอดจนการเข้าร่วมการชุมนุม ถือเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ตามมาตรา 121 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 โดยผู้ร้องได้ขอให้นายจ้างรับลูกจ้างกลับเข้าทำงาน และจ่ายค่าเสียหายรวมถึงสวัสดิการต่างๆ จนถึงวันรับกลับเข้าทำงานพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี และจ่ายโบนัสปี 2559 และปี 2560

กระทั่งเมื่อวันที่ 7 ก.พ. ที่ผ่านมา ครส. มีคำสั่งที่ 27 – 92/2561 สั่งให้ผู้แทนบริษัท เจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทยจำกัด รับลูกจ้าง จำนวน 66 คน กลับเข้าทำงานและจ่ายค่าเสียหายเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายนับแต่วันที่ 8 พฤศจิกายน 2560 จนถึงวันรับกลับเข้าทำงาน โดยให้บริษัทปฏิบัติตามคำสั่งภายใน 10 วัน นับแต่วันรับทราบคำสั่ง

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

TDRI: 3 ทศวรรษ ของการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงานไทย

Posted: 06 Mar 2018 07:53 AM PST



ใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างในตลาดแรงงานไทย โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงในด้านการมีงานทำ การว่างงาน และความไม่เท่าเทียมกันระหว่างรายได้ของเพศหญิงและชาย

การเปลี่ยนแปลงของแรงงานเกิดขึ้นพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของประชากรไทย โดยประชากรไทยเพิ่มจาก 53.7 ล้านคนในปี 2530 เป็น 67.7 ล้านคนในปี 2560 และคาดการณ์ว่าในอนาคตอันใกล้จำนวนประชากรไทยจะค่อย ๆ ลดลง ซึ่งคาดได้เช่นกันว่าจำนวนแรงงานไทยจะลดลงด้วย


ผู้ชายเกิดมากกว่าแต่อายุสั้นกว่าหญิง

จำนวนเด็กเกิดใหม่มักมีเพศชายมากกว่าเพศหญิง แต่อัตราการตายของเด็กชายสูงกว่าหญิง โดยที่ในปี 2530 ไทยมีประชากรชายอายุต่ำกว่า 15 ปี มากกว่าหญิงเกือบสามแสนคน แต่พอถึงปี 2560 พบว่าผู้ชายจำนวนมากตายเร็วกว่าผู้หญิง ทำให้ประชากรวัย 30-49 ปี ในปี 2560 นั้นเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4 แสนกว่าคน ความแตกต่างของจำนวนประชากรชายหญิงเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุที่สูงขึ้น ปัจจุบันประชากรวัย 50-59 ปี มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเกือบ 5 แสนคน และเมื่อถึงวัยเกษียณอายุ มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ หนึ่งล้านคน


ผู้ชายทำงานนอกบ้านมากกว่าผู้หญิง

อัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานของเพศชายสูงกว่าเพศหญิงในทุกกลุ่มอายุ ความหมายคือ ชายทำงานนอกบ้านที่มีรายได้เป็นตัวเงินมากกว่าหญิง ความแตกต่างนี้มีสูงขึ้นสำหรับประชากรวัยต่ำกว่า 24 ปี

ประชากรวัย 15-19 ปีที่เป็นเพศชายมีอัตราการเข้าสู่ตลาดแรงงานร้อยละ 62 และหญิงร้อยละ 61 ในปี 2530-2539 แต่ถึงปี 2559 ชายวัย 15-19 ปีเพียงร้อยละ 26 เข้าสู่ตลาดแรงงาน และหญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานเพียงร้อยละ 13 ซึ่งช่วงอายุ 18-19 ปีนั้นเป็นช่วงที่เด็กเริ่มต้นชีวิตเรียนระดับมหาวิทยาลัย  ใน 3 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ ประชากรหญิงอายุ 20-24 ปี เคยเข้าสู่ตลาดแรงงานร้อยละ 79 กลับลดลงเหลือร้อยละ 24 และชายวัย 20-24 ปี เคยเข้าสู่ตลาดแรงงานร้อยละ 90 ลดลงเหลือร้อยละ 74 ผู้หญิงมีสัดส่วนการใช้ชีวิตในการหารายได้นอกบ้านน้อยกว่าชายมาก เหตุผลหลักของการลดลงของการเข้าสู่ตลาดแรงงานในยุคปัจจุบัน คือ การอยู่ในระบบการเรียนการศึกษาที่ยาวนานขึ้นนั่นเอง

อย่างไรก็ดี แม้หญิงจะทำงานนอกบ้านน้อยกว่าชาย แต่จำนวนและสัดส่วนหญิงที่ทำงานในบ้านนั้นมากกว่าชายตลอดช่วง 3 ทศวรรษ การทำงานบ้านถูกตีตราในสังคมไทยว่าต้องเป็นผู้หญิงทำ สัดส่วนของชายที่ไม่เข้าสู่ตลาดแรงงานเพราะทำงานในบ้านมีน้อยกว่าร้อยละ 1 ตลอดช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนประชากรหญิงร้อยละ 8 ทำงานประจำในบ้านในช่วง 2530-2539 กลับเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 14 ในปี 2560 หญิงวัย 15-29 ปีมีสัดส่วนการเพิ่มของการทำงานดูแลบ้านและครอบครัวมากกว่ากลุ่มอายุอื่น ๆ

ข้อสังเกต อีกประการหนึ่งของการทำงานในตลาดแรงงานไทย คือ แรงงานไทยรุ่นใหม่ ๆ เริ่มต้นชีวิตการทำงานช้าลง ในขณะเดียวกันแรงงานรุ่นเก่า ๆ หยุดทำงานในวัยที่อายุไม่สูงมากนัก นั่นคือ ตลอดช่วงอายุขัย แรงงานไทยมีระยะเวลาการทำงานที่สั้นลง

ในปี 2559 ประมาณร้อยละ 50 ของชายในวัย 60 ขึ้นไปยังคงทำงานนอกบ้านทั้งที่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว (ตอนที่คนกลุ่มนี้อายุ 30-49 ปี ในช่วงปี 2530-2539) ประมาณร้อยละ 98 ของชายกลุ่มนี้เคยทำงานมาก่อน และร้อยละ 28 ของหญิงวัย 60 ปีขึ้นไปเท่านั้นที่ยังคงทำงาน ทั้งที่เมื่อ 30 ปีที่แล้ว (ตอนที่อายุ 30-49 ปี) ประมาณร้อยละ 85 ของหญิงกลุ่มนี้เคยทำงานมาก่อน

ทั้ง ๆ ที่คนไทยอายุยืนขึ้นเรื่อยๆ รูปแบบการเกษียณอายุจากการทำงานแทบจะไม่เปลี่ยนแปลงเลยในสามทศวรรษที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2530 ถึง 2559 อัตราการอยู่ในกำลังแรงงานของคนไทยวัย 60 ปีขึ้นไปยังคงต่ำ ไม่ถึงร้อยละ 50 สำหรับชาย และไม่ถึงร้อยละ 30 สำหรับหญิง เป็นที่น่าคิดว่า หากคนไทยอีกไม่นานคาดจะมีอายุเฉลี่ยถึง 90 ปี เราจะยังคงเกษียณอายุเร็วเช่นนี้อีกหรือ

ประชากรไทยวัยหนุ่มสาวที่อายุ 15-29 ปีจำนวน 8 แสนคน ไม่อยู่ในกำลังแรงงาน ไม่เรียนหนังสือ และไม่ทำงานที่บ้าน ทำไมคนวัยหนุ่มสาวเหล่านี้ไม่ทำอะไร ไม่มีใครทราบ


แรงงานหญิงมีการศึกษาสูงกว่าชาย

ชายที่ทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้นั้นมีมากกว่าหญิง แต่หญิงที่ทำงานนอกบ้านโดยเฉลี่ยนั้นมีการศึกษาสูงกว่าชาย ในปี 2560 กำลังแรงงานชายที่มีการศึกษาต่ำกว่าปริญญาตรี มีจำนวนมากกว่าหญิง กว่า 4 ล้านคน แต่กำลังแรงงานที่จบปริญญาตรีขึ้นไปเป็นหญิงมากกว่าชาย 9 แสนคน

ประเทศไทยมีกำลังแรงงานในระดับปริญญาตรีเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพิ่มทีละสองเท่าตัวในแต่ละทศวรรษจากเฉลี่ย 1.1 ล้านคนในช่วงปี 2530-2539 เป็นกว่า 6 ล้านคนในปี 2560 ในอนาคตจะมีจำนวนกำลังแรงงานหญิงมีการศึกษาสูงมากกว่าชายยิ่งขึ้นอีก เนื่องจากปี 2560 มีผู้หญิงกำลังเรียนระดับมัธยม อาชีวศึกษา และปริญญาตรีขึ้นไป มากกว่าผู้ชายเกือบ 3 แสนคน


หญิงว่างงานมากกว่าชาย

การเพิ่มขึ้นของกำลังแรงงานที่มีการศึกษาสูงได้ทำให้โอกาสในการหางานทำยากขึ้นด้วย โดยปกติเรามักเข้าใจกันว่าอัตราการว่างงานของไทยค่อนข้างต่ำ แต่ถ้าดูอัตราการว่างงานตามระดับการศึกษาของชายและหญิงแล้วจะพบว่ากำลังแรงงานที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีมีอัตราการว่างงานสูงที่สุด ประมาณร้อยละ 2.1 ในปี 2530-2539 เป็นร้อยละ 2.0 ในปี 2550-2559 สำหรับชาย และจากร้อยละ 3.1 เป็นร้อยละ 2.2 สำหรับหญิงในช่วงเวลาเดียวกัน

ตลาดแรงงานของไทยมีความต้องการแรงงานไร้ฝีมือจำนวนมาก ทำให้อัตราการว่างงานของแรงงานที่มีการศึกษามัธยมหรือต่ำกว่าค่อนข้างต่ำ ถ้าสังเกตให้ดีเราจะเห็นป้ายประกาศรับคนทำงานที่มีการศึกษาน้อยนี้มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทย

 



อัตราการว่างงานของกำลังแรงงานวัย 15-29 ปี สูงกว่ากำลังแรงงานวัยอื่น ๆ หญิงในวัย 15-29 ปีมีอัตราการว่างงานร้อยละ 4.6 ในปี 2560 และชายวัยเดียวกันมีอัตราการว่างงานร้อยละ  3.7

ตลาดแรงงานไทยมีการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมกับแรงงานหญิง มองว่าการตั้งครรภ์ของแรงงานเพิ่มต้นทุนให้แก่สถานประกอบการ ในปัจจุบัน เรายังพบว่า ในใบสมัครงานของบางบริษัทมีคำถามแก่ผู้สมัครงานหญิงว่าตั้งครรภ์อยู่หรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายนั้น หญิงสามารถลาคลอดได้เป็นเวลา 3 เดือนโดยที่นายจ้างยังต้องจ่ายค่าจ้างให้ด้วย

ถ้าสังคมไทยยังเห็นความสำคัญของการเพิ่มประชากร สมควรที่จะมีนโยบายสนับสนุนแรงงานหญิงที่ทำงานนอกบ้านให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

ให้โอกาสในการทำงานครึ่งเวลาระหว่างการเลี้ยงดูบุตรในช่วง 1 ปีแรกหลังคลอด หรือเพิ่มแรงจูงใจทางการเงินแก่หญิงที่มีรายได้สูง เช่น การหักค่าลดหย่อนภาษีสำหรับหญิงที่มีบุตรให้เท่า ๆ กับการหักค่าลดหย่อนในการลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ


ชายได้รับค่าจ้างสูงกว่าหญิง

แม้ว่าผู้หญิงจะมีโอกาสทางการศึกษาในระดับสูงและได้ทำงานนอกบ้านมากขึ้น แต่ค่าจ้างของหญิงมักต่ำกว่าชายตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมา มีงานวิจัยมากมายช่วยยืนยันอีกว่า แม้ว่าหญิงจะมีการลงทุนเพื่อการศึกษาและมีประสบการณ์ในการทำงานที่ดีขึ้นแล้วก็ตาม หญิงโดยเฉลี่ยก็ยังคงได้รับค่าจ้างต่ำกว่าชาย คำถามที่จะต้องค้นหาต่อ คือ หญิงมีคุณสมบัติในการทำงานด้อยกว่าชายหรือ ? หญิงทำงานคนละตลาดแรงงานกับชายหรือ ? หรือมันคือการกดค่าจ้างเพราะว่าเป็นหญิง ?จากรูปเป็นค่าเฉลี่ยของส่วนต่างของค่าจ้างชายที่มากกว่าหญิงและร้อยละของความแตกต่าง จะเห็นว่า ยิ่งการศึกษาสูงขึ้น ความแตกต่างของค่าจ้างของหญิงชายยิ่งสูงขึ้น แต่ช่องว่างระหว่างค่าจ้างหญิงชายเทียบเป็นสัดส่วนกับค่าจ้างของหญิงไม่ได้ขึ้นกับระดับการศึกษา



กล่าวคือ ไม่ว่าจะระดับการศึกษาใด ๆ ลูกจ้างเอกชนชายมีค่าจ้างสูงกว่าหญิงร้อยละ 22-57 ในปี 2530-2539 ร้อยละ 12-50 ในปี 2540-2549 และร้อยละ 11-32 ในปี 2550-2559 สถานการณ์ดีขึ้นสำหรับแรงงานไร้ฝีมือ แต่กลับแย่ลงสำหรับแรงงานที่จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรี

ถ้าพูดเป็นมูลค่าของความแตกต่างในปี 2560 แล้ว กล่าวได้ว่าหญิงที่มีการศึกษาระดับปริญญาตรีเสียเปรียบชายในระดับการศึกษาเดียวกันเดือนละ 5,000 บาทหรือคิดเป็นร้อยละ 28 ของค่าจ้างของหญิง

ทั้งที่การจ้างงานในระดับการศึกษาที่สูงนั้นไม่ได้ต้องการกำลังแรงกายที่มักเป็นข้ออ้างในความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของแรงงานชาย ในขณะที่งานที่ต้องใช้กำลังแรงกายมากกว่ากลับมีความแตกต่างของค่าจ้างลดลง สัดส่วนความแตกต่างของค่าจ้างของแรงงานหญิงชายที่มีการศึกษาประถมหรือต่ำกว่าลดลงประมาณครึ่งหนึ่งในสามทศวรรษที่ผ่านมา

โดยสรุป ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา จำนวนประชากรหญิงมีมากกว่าชายเมื่อก้าวเข้าสู่ช่วงอายุที่สูงมากขึ้น หญิงทำงานนอกบ้านเพื่อหารายได้น้อยกว่าชาย หญิงที่ทำงานนอกบ้านมีการศึกษาสูงกว่าชาย หรือแม้ว่าหญิงจะมีการศึกษาระดับเดียวกันกับชายก็ตาม หญิงมักได้รับค่าจ้างต่ำกว่าชาย หญิงในวัยเจริญพันธุ์มีอัตราการว่างงานสูงกว่าชายอย่างชัดเจน ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างหญิงชายในตลาดแรงงานไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างเชื่องช้ามาก

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

บทสะท้อนต่อแถลงการณ์ลวงโลก ของ กอ.รมน. ภาค 4 สน.

Posted: 06 Mar 2018 07:36 AM PST

 

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน. ภาค 4 สน.) น่าจะอธิบายถึงการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ดีกว่านี้แทนการออกแถลงการณ์ที่ให้ชื่อว่า "แถลงการณ์ลวงโลก" "ยุติหลอกลวงประชาชน"

ในฐานะที่เป็นองค์กรของรัฐที่มีภารกิจทำงานเพื่อประชาชน การตอบข้อสงสัยด้วยเหตุด้วยผลและข้อเท็จจริงมีตัวชี้วัดหรือตัวเลขทางสถิติสนับสนุนคำอธิบายดังกล่าวแทนการใช้ถ้อยคำที่รุนแรงหรือสำนวนตอบโต้คำแถลงการณ์ของ "เครือข่ายเฉพาะกิจเพื่อปกป้องพลเรือนและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น" น่าจะก่อให้เกิดบบรรยากาศที่สร้างสรรค์มากกว่า (โปรดดูคำแถลงการณ์ของ กอ.รมน. ภาค 4 สน.และเครือข่าย http://www.thaipost.net/main/detail/4202)

คำแถลงการณ์ของเครือข่ายฯ มีเนื้อหาหลักในการเรียกร้องให้ทางการใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติงานเพื่อไม่ให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน เพราะเมื่อประชาชนถูกละเมิดจากการใช้กฎหมายพิเศษ บาดแผลจากการกระทำของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ย่อมไม่ง่ายที่จะรักษา และยิ่งไปกว่านั้นปัจจัยที่มีอยู่เดิมและปัจจัยแทรกซ้อนต่างๆ จะยิ่งทำให้บาดแผลนั้นลุกลามและขยายไปเป็นความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับรัฐอันเป็นสาเหตุให้เกิดการต่อสู้เป็นวงจรไม่สิ้นสุด

หากพิจารนาถ้อยแถลงของ เครือข่ายเฉพาะกิจเพื่อปกป้องพลเรือนและเสรีภาพฯ อย่างใคร่ครวญด้วยใจที่เปิดกว้าง จะเห็นว่า เครือข่ายฯมีความระมัดระวังอย่างยิ่งต่อการตกเป็นเครื่องมือของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในความขัดแย้งนี้ โดยเห็นได้จากข้อเรียกร้องที่ให้ฝ่ายที่ต่อสู้กับรัฐยุติความรุนแรงต่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ทุกชาติพันธุ์และศาสนาโดยทันที ส่วนการเรียกร้องให้กอ.รมน.ภาค 4 สน. ยุติการดำเนินคดีกับสื่อมวลชนนั้นก็เพื่อปกป้องเสรีภาพของสื่อมวลชนในการนำเสนอข้อมูลให้กับประชาชนในมิติที่แตกต่างไปจากรัฐ และในสังคมที่มีวุฒิภาวะ (Maturity) สื่อมวลชนย่อมมีสิทธิอย่างสมบูรณ์ที่จะตั้งคำถามกับการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ ถ้ากอ.รมน.ภาค4 สน. เห็นว่าข้อมูลที่นำเสนอโดยสื่อมวลชนมีความคลาดเคลื่อนไปจากข้อเท็จจริง กอ.รมน. ควรเลือกแนวทางการใช้ทรัพยากรและกลไกต่างๆรวมทั้งช่องทางการสื่อสารที่มีอยู่อย่างพร้อมสรรพชี้แจงทำความเข้าใจมากกว่าการฟ้องร้องดำเนินคดี นี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงท่าที่บริสุทธิ์ใจ เป็นมิตรและเปิดกว้าง (in good faith) แต่เมื่อกอ.รมน.เลือกแนวทางฟ้องร้องดำเนินคดีสื่อมวลชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน จึงถูกมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเป็นการบังคับใช้กฎหมายเพื่อมิให้เกิดการตรวจสอบและถ่วงดุลการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่หรือที่เรียกว่า SLAPPs (Strategic Lawsuit against Public Participations)

เจ้าหน้าที่มีอำนาจ ทรัพยากร และมีกฎหมายพิเศษคุ้มครองการปฏิบัติงานอยู่แล้วไม่มีความจำเป็นใดๆที่จะต้องดำเนินการทางกฎหมายต่อชาวบ้านอีกโดยเฉพาะเมื่อการดำเนินการดังกล่าวนำไปสู่การเป็นปฏิปักษ์ต่อกันมากยิ่งขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย เมื่อเจ้าหน้าที่ไม่อาจเป็นที่พึ่งพิงของชาวบ้านได้เพราะมีความรู้สึกที่ขาดความเชื่อมั่นต่อกันเสียแล้ว ฝ่ายหลังจึงต้องหันไปพึ่งพิงองค์กรภาคประชาสังคม นักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และคนทำงานในพื้นที่ที่พวกเขาไว้วางใจ

จากการสำรวจความเชื่อมั่นไว้วางใจของหน่วยงานหรือกลุ่มคนในการทำงานเกี่ยวกับด้านความปลอดภัยและการสร้างสันติภาพโดยสถานีวิจัยความขัดแย้งและความหลากหลายทางวัฒนธรรมภาคใต้ (CSCD) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์วิทยาเขตปัตตานี พบว่าเจ้าหน้าที่ทหารได้รับความเชื่อมั่นไว้วางใจจากประชาชน (3.08 คะแนน) น้อยกว่าภาคประชาสังคม และองค์กรสิทธิมนุษยชน (3.19 และ 3.12 คะแนนตามลำดับ) (โปรดดู https://www.deepsouthwatch.org/node/4147)

เป็นที่น่าสังเกตว่านโยบายการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ. 2560-2562  ซึ่งจัดทำโดยสภาความมั่นคงแห่งชาติที่มีกรอบคิด หลัก (ข้อ 3)  คือ (3.1) การแก้ปัญหาความขัดแย้งด้วยแนวทางสันติวิธี (3.2) การใช้กระบวนการการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนอย่างแท้จริง (3.3) การบริหารจัดการบนพื้นฐานของสังคมพหุวัฒนธรรมและ (3.4) การยึดมั่นในหลักสิทธิมนุษยชน (โปรดดูhttps://www.deepsouthwatch.org/node/9823) ล้วนต้องการภาคประชาสังคมในการบรรลุถึงเป้าหมาย การมองภาคประชาสังคมว่าเป็นหุ้นส่วนของสันติภาพแทนการมองว่าเป็นศัตรูที่จ้องทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐ น่าจะสอดคล้องกับนโยบายที่รัฐเขียนขึ้นมาเองกับมือมากกว่า

เนื้อหาและชื่อแถลงการณ์ กอ.รมน. ภาค 4 สน.ที่ตั้งชื่อแถลงการณ์ของตัวเองว่า "แถลงการณ์ลวงโลก "ยุติหลอกลวงประชาชน" ก็ไม่น่าสร้างภาพพจน์ที่ดีแก่องค์กรเช่นเดียวกัน

     
 
 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วังแถลง พระราชินี เสด็จฯ ประทับ รพ.จุฬาฯ รับการตรวจพระกรรณ

Posted: 06 Mar 2018 07:35 AM PST

สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เพื่อเข้ารับการตรวจพระกรรณ (หู) 

6 มี.ค.2561 สำนักพระราชวังออกแถลงการณ์ เรื่องสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เสด็จฯ ไปประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 ได้รายงานว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะเสด็จพระราชดำเนินไปเข้ารับการตรวจพระกรรณ (หู) และจะประทับ ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ระหว่างวันที่ 6-8 มีนาคม  2561

จึงประกาศมาให้ทราบโดยทั่วกัน

สำนักพระราชวัง

6 มีนาคม 2561

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กรีนพีซโกหกเรื่องโรงไฟฟ้ากระบี่?

Posted: 06 Mar 2018 07:18 AM PST



กรีนพีซพยายามบอกว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ไม่ปลอดภัย ไม่ควรสร้าง แต่ความจริงมาเลเซียสร้าง 4 โรงได้อย่างปลอดภัย รวมทั้งในประเทศอื่น ๆ อย่าให้ใครหลอกเรา ถ่วงความเจริญชาติด้วยความกลัวที่ไม่เป็นจริง

หลายคนตั้งคำถามว่ากรีนพีซพูดความจริงหรือไม่ การเคลื่อนไหวของพวกเขาดูผิดปกติ แต่พวกเขาดูเป็นมืออาชีพในการใช้อารมณ์และความน่าสงสารในการเอาชนะใจของคนอื่นให้คล้อยตามความเคลื่อนไหวของพวกเขาเน้น "ดราม่า" และใช้ม็อบแบบ "กฎหมู่" เราควรมาพูดความจริงกันดีกว่า

ผมได้สังเกตดูความเคลื่อนไหวของกรีนพีซเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ และเชื่อว่าความเคลื่อนไหวเหล่านี้ขาดข้อมูลประกอบที่เชื่อถือและเป็นความเห็นที่ไม่สอดคล้องกับความจริง ผมไม่มีวาระซ่อนเร้นหรือมุ่งหวังผลประโยชน์ใดๆ ผม "เอาพิมเสนมาแลกเกลือ" เพื่อประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ

กรีนพีซระบุว่ามีคนตายถึง 360 คนจากโรงไฟฟ้าถ่านหินระยองทุกปี กรีนพีซกำลังโกหกหรือไม่ การนำเสนอของกรีนพีซไม่มีเอกสารประกอบใด ๆ เลย  ผมทำการวิจัยพบว่าในปี 2546 เปอร์เซ็นต์ของคนไข้ในทั่วประเทศที่เป็นมะเร็ง ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและโรคระบบทางเดินหายใจ มี 20% และเพิ่มเป็น 21% ในปี 2556 ในขณะนี้มีเพียง 18% ในจังหวัดระยองในปี 2546 และลดลงเล็กน้อยเหลือ 17% ในปี 2556

ยิ่งกว่านั้นในปี 2557 เปอร์เซ็นต์ของผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โรงความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและโรคระบบทางเดินหายใจ มีเพียง 31% ในจังหวัดระยอง ซึ่งต่ำกว่าสถิติทั่วประเทศที่เฉลี่ยที่ 35%  จากผลการสำรวจภาคสนามกับประชาชนในมาบตาพุด ในปี 2555 พบว่ามีเพียง 8 คนที่เสียชีวิตจากมลพิษโดยตรงในพื้นที่  ตัวเลขของกรีนพีซจึงพูดเกินเลยความจริงเป็นอย่างยิ่ง

ในเอกสาร 'โฆษณาชวนเชื่อ' ของกรีนพีซ ระบุว่าถ่านหินไร้อนาคต อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาขนานใหญ่

ด้วยระบบสหศาสตร์โดยสถาบัน MIT อนาคตที่สดใสของถ่านหินได้รับการยืนยันแน่ชัด การใช้ถ่านหินจะเพิ่มขึ้นจากผลการคาดการณ์ทั้งมวล เพราะเป็นพลังงานที่มีราคาถูกและมีถ่านหินอยู่มหาศาลทั่วโลก ในปัจจุบัน เขามุ่งใช้ถ่านหินบิทูมินัส ไม่ใช่ถ่านหินลิกไนต์อีกต่อไป มลพิษจึงจะยิ่งลดลงในอนาคต

โรงไฟฟ้าถ่านหินกระบี่ตั้งอยู่ทางใต้ของประเทศไทย ในพื้นที่นี้ยังมีโรงไฟฟ้าถ่านหินอีก 4 แห่งของมาเลเซียตั้งอยู่

1. โรงไฟฟ้าแมนจุงตั้งอยู่ใกล้กับรีสอร์ตหรูและชุมชน ตั้งอยู่ติดชายทะเล และห่างจากโรงไฟฟ้ากระบี่เพียง 455 กิโลเมตร

2. โรงไฟฟ้าจิมาห์ก็ตั้งอยู่ติดทะเล ในขณะที่โรงไฟฟ้ากระบี่ห่างจากทะเลถึงราว 10 กิโลเมตร โรงไฟฟ้านี้ตั้งอยู่ใกล้เขตเมืองและมีรีสอร์ตหรูและโรงแรมตั้งอยู่ใกล้ๆ จำนวนมากมาย ยกตัวอย่างเช่นโรงแรมอะวานีเซปังโกลด์โคสต์ก็ตั้งอยู่ในระยะไม่กี่กิโลเมตรจากโรงไฟฟ้าแห่งนี้ แต่มลพิษกลับไม่เป็นปัญหา จากความเห็นของแขกที่เข้าพัก ไม่มีการบ่นว่าเกี่ยวกับการตั้งอยู่ใกล้โรงไฟฟ้าถ่านหินแต่อย่างใด

ในปี 2552 ประชาชนในท้องที่ก็แสดงความห่วงใยเรื่องความปลอดภัย แต่ในปัจจุบันประชาชนมั่นใจในความปลอดภัยของโรงงาน ส่วนโรงไฟฟ้ากระบี่นั้น ใช้ถ่านหินบิทูมินัสและเทคโนโลยีที่ดีกว่า ย่อมให้ความปลอดภัยแก่สาธารณชน และด้วยเหตุนี้เอง เสียงต่อต้านจึงแทบไม่ได้ยินในวันนี้

3. โรงไฟฟ้า เคพีเออาร์ เป็นตัวอย่างที่ 3 โรงนี้ตั้งอยู่ห่างจากกรุงกัวลาลัมเปอร์เพียง 56 กิโลเมตร ถ้าไม่ปลอดภัยจามลพิษ โรงไฟฟ้านี้คงไม่สามารถตั้งอยู่ได้

4. โรงไฟฟ้าตันจุงบิน ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากสิงคโปร์เพียง 9 กิโลเมตร โรงไฟฟ้านี้และท่าเรือขนาดยักษ์ตั้งอยู่บนพื้นที่ชุ่มน้ำเสียด้วย แต่ในกรณีไทย คนไทยกลับถูกหลอกให้เชื่อว่า พื้นที่ชุมน้ำเป็นเสมือน "สิ่งศักดิ์สิทธิ์" ที่แตะต้องมิได้

ยิ่งกว่านั้นสิงคโปร์ก็มีโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งแรกแล้ว ถ้าเทคโนโลยีไม่อาจเชื่อถือได้เพียงพอ สิงคโปร์และมาเลเซียคงไม่ยินดีต้อนรับโรงไฟฟ้าถ่านหิน มีผลการศึกษาของอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมาเลเซียและคณะ กล่าวว่าโรงงานไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ได้มีผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน

ยิ่งกว่านั้น ยังมีตัวอย่างในประเทศตะวันตกคือ โรงงาน จีเคเอ็มแมนเฮมในเยอรมนีที่ตั้งอยู่อย่างปลอดภัยริมฝั่งแม่น้ำไรน์และรายล้อมด้วยชุมชน ในทางตรงกันข้าม แม้แต่ในกัมพูชา ยังมีโรงไฟฟ้าถ่านหิน 2 โรงอยู่ติดกับชายหาดในนครสีหนุวิลล์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของกัมพูชา

ในกรณีโรงไฟฟ้ากระบี่ ได้เปิดดำเนินการในช่วงปี 2507 ถึง 2538 โดยใช้ถ่านหินลิกไนต์ที่มีคุณภาพต่ำกว่าถ่านหินบิทูมินัส อย่างไรก็ตามจำนวนรีสอร์ตหรูกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นี่แสดงว่าโรงไฟฟ้าถ่านหินไมได้มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม

ในการถกเถียงออกทีวีครั้งหนึ่ง ผู้อำนวยการกรีนพีซประเทศไทยกล่าวว่า เอกสารต่อต้านโรงไฟฟ้ากระบี่ของกรีนพีซ ได้สำรวจจากชาวบ้านนับพันคน  นี่ไม่ได้มีหลักฐานใดๆ ปรากฏในเอกสาร เป็นเพียงการพูดลอยๆ ไม่ใช่ความจริง ดังนั้นเอกสารชิ้นนี้จึงไม่ใช่งานวิจัย แต่เป็นเอกสาร "โฆษณาชวนเชื่อ" ที่จัดพิมพ์โดยกรีนพีซ

เรามักจะพบเห็นม็อบต่อต้านโรงไฟฟ้ากระบี่ แต่คนเดินขบวนส่วนมากไม่ใช่คนในพื้นที่ และในที่สุดก็มีตัวแทนของประชาชน 5,000 คน ที่มีบ้านอยู่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียงมาสนับสนุนการสร้างโรงไฟฟ้าอย่างล้นหลาม ในสกู๊ฟพิเศษชิ้นหนึ่ง ยังพบว่าคนพื้นที่ส่วนใหญ่เห็นด้วยกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ในระหว่างปี 2507-2538 โรงไฟฟ้านี้ใช้ถ่านหินลิกไนต์ ประชาชนในพื้นที่ก็ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบด้านลบใดๆ โรงไฟฟ้าใหม่จะใช้ถ่านหินบิทูมินัส ซึ่งมีคุณภาพสูงกว่ามาก มลพิษ (ถ้ามี) คงยิ่งน้อยกว่าที่คาดไว้

คำถามสุดท้ายต่อกรีนพีซก็คือความโปร่งใสของกรีนพีซเอง ในรายงานทางการเงินซึ่งปรากฏในรายงานประจำปีของแต่ละปี ระบุว่า ถ้าจะอ่านรายงานการตรวจสอบบัญชีฉบับเต็ม โปรดติดต่อแผนกงานดูแลสนับสนุนของกรีนพีซที่ supporterservices.ph@greenpeace.org ผมเขียนถึงอีเมล์ที่มีอยู่จริงถึงสำนักงานทั้งในไทยและฟิลิปปินส์ แต่ไม่เคยได้รับคำตอบกลับมาดังที่ว่าไว้เลย นี่สะท้อนให้เห็นว่ากรีนพีซไม่น่าเชื่อถือและอาจมีวาระซ่อนเร้น

โดยสรุปแล้วโรงไฟฟ้าถ่านหินสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้ ข้อนี้ได้รับการพิสูจน์มาแล้วทั่วโลก พลังงานจากถ่านหินคือคำตอบสำหรับประชาชนและสิ่งแวดล้อม เพราะว่าปลอดภัย ราคาถูกและมีอยู่มากมาย อย่าให้ใครลวงเราด้วยความกลัวและคำพูดบิดเบือน

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ฝากสื่อมวลชน ทำให้ ปชช.ตระหนักการแบ่งเบาภาระ 'บัตรทอง'

Posted: 06 Mar 2018 06:59 AM PST

โฆษกรัฐบาลเผย ครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอสนับสนุนงบกลาง ปี 61 จำนวน 5 พันล้าน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ระบุ 'ประยุทธ์' ฝากสื่อมวลชน ทำให้ ปชช.ตระหนักถึงการแบ่งเบาภาระด้วย

ที่มาภาพ เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล

6 มี.ค.2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ เวลา 12.55 น. ณ โรงแรมดุสิตธานี หัวหิน อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี ภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)อย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่ 2/2561 ซึ่งมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวว่า ที่ประชุม ครม. มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอขอสนับสนุนงบประมาณงบกลาง ปี 2561 จำนวน 5,186.13 ล้านบาท โดยงบประมาณดังกล่าวที่กระทรวงสาธารณสุขขอสนับสนุนนั้น เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สำหรับดูแลด้านสุขภาพให้แก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมางบประมาณที่ได้รับสนบสนุนไม่เพียงพอ ทั้งในส่วนของงบบริการผู้ป่วยใน และค่าตอบแทนด้านบุคลากรสาธารณสุขของหน่วยบริการต่าง ๆ โดยเฉพาะในชนบทและพื้นที่ห่างไกล

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุด้วยว่า นายกรัฐมนตรี ได้ขอความร่วมมือสื่อมวลชนทุกแขนง สร้างการรับรู้และความเข้าใจกับประชาชน ให้ตระหนักถึงหน้าที่ที่จะร่วมกันรับผิดชอบและแบ่งเบาภาระจากการใช้จ่ายงบประมาณสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวอย่างไร เพื่อให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากงบประมาณที่จะใช้ในการดำเนินการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การจัดเก็บรายได้จากภาษีของรัฐไม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตจะมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องเตรียมงบประมาณสำหรับการดูแลด้วยเช่นกัน จึงขอให้ประชาชนทุกคนได้ตระหนักถึงหน้าที่ของตนเองในการร่วมกันรับผิดชอบ และแบ่งเบาภาระของชาติโดยการเสียภาษีตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อนำเงินที่ได้มาสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าวและพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ แต่ยืนยันว่าขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีแนวคิดที่จะขึ้นภาษีแต่ละประเภทแต่อย่างใด

"จากการตรวจสอบข้อมูลแล้วพบว่าในหลายประเทศที่มีการเพิ่มงบประมาณในเรื่องหลักประกันสุขภาพอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ตอนนี้เจ๊งไปแล้ว หลายประเทศจึงเปลี่ยนแปลงเป็นการสนับสนุนเฉพาะบางกลุ่ม บางโรค นายกฯจึงฝากเป็นข้อมูลให้ทุกคนช่วยกันศึกษา เพราะรายได้ของรัฐไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย อัตราภาษีที่เคยเก็บได้ ทั้งจากบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม แล้วอย่างนี้ประเทศจะมีงบประมาณไปทำอย่างอื่นได้หรือไม่ นายกฯขอให้ทุกคนไปคิดวิธีแบ่งเบาภาระของชาติ เพราะถ้าคิดว่าทุกอย่างต้องได้อย่างสมบูรณ์แบบ เหมือนที่ประเทศอื่นเขาทำ ก็ต้องดูว่าต่างประเทศเขาเก็บภาษีเท่าไหร่กัน ซึ่งขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีนโยบายที่จะขึ้นภาษี" พล.ท.สรรเสริญกล่าว
 
เมื่อถามว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ระบุเช่นนี้ เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงระบบประกันสุขภาพในอนาคตหรือไม่ พล.ท.สรรเสริญกล่าวว่า นายกฯแค่ต้องการฝากให้สื่อมวลชนไปทำความเข้าใจ และให้ความรู้กับประชาชน เพื่อจะตกผลึกร่วมกันในวันข้างหน้า ว่าจะทำอย่างไร อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ นายกฯได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณะสุขไปศึกษาระบบประกันสุขภาพที่เหมาะสม จากต่างประเทศ เพื่อนำมาปรับใช้ในประเทศไทย แต่ขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป จึงต้องศึกษาต่อไป

 

ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาลและมติชนออนไลน์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ชี้โพลตกแสดงว่าเราทำงานได้ผล เหตุต้องแก้ปัญหาและไม่ได้ทำตามใจคนทุกอย่าง

Posted: 06 Mar 2018 06:14 AM PST

ประยุทธ์ ระบุทำงานวันนี้ไม่ได้ทำด้วยโพล ชี้คะแนนนิยมตกแสดงว่าเราทำงานได้ผล เหตุต้องแก้ปัญหาและไม่ได้ทำตามใจคนทุกอย่าง ระบุ 'ธนาธร-ปิยบุตร' ตั้งพรรคการเมือง ตั้งไปเถอะ ขึ้นอยู่ที่ว่าประชาชนจะเลือกหรือไม่ 

พล.อ.ประยุทธ์ ชมทัศนียภาพแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเขาวัง และชมการสาธิตสกุลช่างเมืองเพชร (ที่มา เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล)

 

6 มี.ค. 2561 รายงานข่าวระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมครม.สัญจร จ.เพชรบุรี ถึงกรณีผลสำรวจความนิยมของโพลต่างๆ พบว่าคะแนนนิยมของรัฐบาลลดลง ว่า ก็เห็นลงทุกวัน เดี๋ยวลงเดี๋ยวขึ้น ถ้าไปสนใจตรงนี้มากๆ ก็ไม่ต้องทำงานกันแล้ว ทำตามคะแนนโพลก็แล้วกัน แต่มันไม่ใช่ ถ้าโพลคะแนนนิยมตกแสดงว่าเราทำงานได้ผล เพราะมันจะต้องแก้ไขปัญหา เพราะถ้าทำตามใจคนทุกอย่าง โพลก็จะขึ้นทั้งหมด แต่ถามว่าถ้าตามใจวันนี้แล้วปล่อยปละละเลย ทั้งเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย และเรื่องอื่นๆให้โพลก็จะดีขึ้น แต่บ้านเมืองนั้นแย่ลง ยืนยันว่าจะไม่ทำงานด้วยโพล อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณผู้ที่ให้กำลังใจมาโดยตลอด และขอบคุณผู้ที่มองว่าตนด้อยค่า เพราะเปรียบเสมือนกระจกส่องให้ตน โดยไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นอารมณ์ เพราะบางเรื่องนั้นไม่ใช่สาระและข้อเท็จจริง แล้วจะไปสนใจทำไม เมื่อไม่ได้ทำเช่นนั้น ก็ต้องเชื่อมั่นในตัวเอง 

"การทำงานวันนี้ไม่ได้ทำด้วยโพลหรือคะแนนนิยม แต่ทำด้วยข้อเท็จจริง มีหลักการและเหตุผล ปัญหาและอุปสรรคมีมากมายหลายอย่าง ทั้งเรื่องโครงสร้าง คน ข้าราชการ กฎหมาย จึงต้องแก้ไขกันทั้งหมด ตามดูได้เลยว่าผมทำอะไรไปบ้าง เพราะถ้าไปฟังฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แล้ววิพากษ์วิจารณ์อย่างเดียว จากนั้นมาตัดสินมันไม่ดี ไม่ถูกต้อง" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

สำหรับกรณีคนรุ่นใหม่อย่าง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารไทยซัมมิทกรุ๊ป จะตั้งพรรคการเมืองร่วมกับ ปิยบุตร แสงกนกกุล วิชาการด้านนิติศาสตร์ จากกลุ่มนิติราษฎร์ เพื่อสู้กับกลุ่มการเมืองที่สนับสนุนคสช. นั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คนรุ่นใหม่ตั้งพรรคการเมือง ก็ขอให้ตั้งไปเถอะ ตั้งขึ้นมาแล้วก็อยู่ที่ว่าประชาชนจะเลือกหรือไม่ ขอให้ประชาชนพิจารณาในท่าทีและนโยบาย ว่าน่าเชื่อถือหรือไม่ 

"ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นพรรคเก่าหรือพรรคใหม่ ประชาชนจะเชื่อหรือไม่ก็เป็นเรื่องของประชาชน ส่วนตัวเคยเตือนแล้วว่า ท่านจะต้องเลือกตั้ง ให้ได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า 

ต่อกรณีคำถามที่ว่ามีความเห็นอย่างไรที่กลุ่ม กปปส.ซึ่งเคยประกาศสนับสนุนจะไม่ตั้งพรรคการเมืองแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เคยบอกแล้วว่า ไม่ว่าจะกลุ่มใดที่บอกว่าจะสนับสนุนตนก็ต้องขอบคุณเท่านั้นเอง ทำอย่างอื่นไม่ได้ เรื่องนี้ถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล ที่จะรักใครชอบใครก็แล้วแต่ เหมือนกับพวกเราที่รักใครชอบใครก็เชียร์คนนั้น ส่วนจะได้หรือไม่ ยังไม่รู้

"เพราะผมเองยังไม่ได้พิจารณาในเรื่องนี้เลยว่าจะเป็นอย่างไร ไปอย่างไร ใครจะมาขอ ยังไม่เห็นมีใครมาติดต่อผมเลย เห็นแต่พูดกันผ่านสื่อเท่านั้น แล้วถ้าขอมา ผมจะรับหรือเปล่าก็ไม่รู้ อย่าโจมตีผมมากนักเลย ให้เวลาผมทำงานเถอะ ปัญหามีมากมาย ทั้งนี้ พรรคการเมืองจะเสนอผมได้เพียงพรรคเดียวเท่านั้น วันนี้ยังไม่รู้เลย เพราะไปยังไม่ถึงตรงนั้น ยังปลดล็อคไม่ได้เลย" หัวหน้า คสช. กล่าว

ต่อกรณีคำถามว่าถ้าพรรคการเมืองติดต่อมา จะใช้หลักการอะไรพิจารณาเลือกพรรคการเมืองที่สนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ตอบว่า จะต้องดูนโยบายของแต่ละคน แต่ละพรรคการเมือง โดยต้องคิดแบบประชาชน และประชาชนเองก็ต้องคิดแบบนี้ ต้องดูทั้งนโยบายพรรค คนที่อยู่ในพรรค ว่าเป็นอย่างไร มีความน่าเชื่อถือแค่ไหน มีความบริสุทธิ์ ยุติธรรม รอบรู้แค่ไหน การเป็นรัฐบาลไม่ใช่จะเป็นเพียงแค่ ส.ส. ที่ไปรับฟังเสียงจากชาวบ้าน แล้วยื่นขออนุมัติโครงการจากรัฐบาล แต่ทุกคนจะต้องรู้ระบบงบประมาณของประเทศ ว่าเงินงบประมาณจะมาจากไหน รายรับรายจ่ายของประเทศมาจากไหน ไม่ใช่คิดแต่รายจ่ายอย่างเดียว จะต้องหาเงินด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ปล่อยให้คนทำผิดกฎหมาย และได้เงินจากการทำผิดกฎหมายไปมากพอสมควร

 

ที่มา : คมชัดลึกออนไลน์และไทยโพสต์

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คนทำงาน กุมภาพันธ์ 2561

Posted: 06 Mar 2018 02:16 AM PST

กอ.รมน.มาดนิ่ม กอ.รมน.วัยทีน

Posted: 06 Mar 2018 02:02 AM PST

จาก 'แฟตเฟส' ถึงคอนเสิร์ต 'เดินหน้าประเทศไทย' อ่านภารกิจวัฒนธรรมของ กอ.รมน. ในกระบวนการหล่อหลอมอุดมการณ์หลักของฝ่ายความมั่นคง

ชวนดูจุดกำเนิดและพัฒนาการกระบวนการหล่อหลอมอุดมการณ์ 'ชาติ ศาสน์ กษัตริย์' โดยหน่วยงานความมั่นคงของรัฐไทย ยิ่งภายหลังการบังคับใช้ พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักรปี 2551 หน่วยงานด้านความมั่นคงอย่าง กอ.รมน. ที่มีอำนาจเหนือหน่วยงานพลเรือน ก็รุกคืบงานหล่อหลอมอุดมการณ์ฯ ด้วยเครื่องมือด้านวัฒนธรรม

 

กำเนิดอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่มาพร้อม กอ.รมน.

กระบวนการหล่อหลอมอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เกียวเนื่องกับบริบททางการเมือง หลังการปฏิวัติ 2475 อันเป็นยุคตกต่ำของสถาบันกษัตริย์ ไล่มาถึงยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม และยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สถานปนาอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ได้อย่างมั่นคงในที่สุด

เบนเนดิก แอนเดอร์สัน เคยอธิบายไว้ในหนังสือ 'บ้านเมืองของเราลงแดง' โดยสรุปได้ว่า

ช่วงทศวรรษ 2470-2480 จอมพล ป. พิบูลสงคราม ต้องทำงานอย่างหนักเพื่อจะสร้างความชอบธรรมให้อำนาจของตัวเองด้วยการโฆษณาปลุกระดมลัทธิชาตินิยม ในยุคของผู้นำกองทัพจากคณะราษฎร ชาติกับพระมหากษัตริย์ยังเป็นสองความคิดที่แยกออกจากกันได้ โดยรัฐ (ที่สำคัญคือกองทัพ) เป็นตัวแทนของชาติ และในเวลาเดียวกันก็เป็นผู้พิทักษ์พระมหากษัตริย์กลายๆ แต่เนื่องจากการมีส่วนร่วมในการยึดอำนาจปี 2475 ทำให้ฝ่ายพระราชวงศ์มีความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์ ดังนั้นในสมัยของจอมพล ป. เป็นนายกรัฐมนตรีครั้งที่สอง (2491-2500) เขาก็ยังไม่สามารถใช้สถาบันกษัตริย์เป็นสัญญะสร้างความชอบธรรมเพื่อประโยชน์อย่างที่หวัง อาจด้วยเหตุนี้ ทำให้ในช่วงปลายสมัย จอมพล ป. จึงหันไปหาสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยเพื่อกู้สถานการณ์ความชอบธรรมที่ลดลงในปี 2499

แต่ในการปฏิวัติ 2475 จอมพลสฤษดิ์ยังมียศน้อยเกินกว่าจะมีบทบาทสำคัญ ขณะเดียวกันเขาไม่เคยเสแสร้งว่าสนใจในระบอบรัฐธรรมนูญหรือประชาธิปไตยดังเช่นที่ผู้นำกองทัพจากคณะราษฎรสนใจ เขาจึงสามารถรื้อฟื้นความสัมพันธ์อันดีกับพระราชวงศ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานหลังยึดอำนาจจากจอมพล ป. จอมพลสฤษดิ์เริ่มรณรงค์อย่างเป็นระบบที่จะ "บูรณะ" สถาบันกษัตริย์ขึ้นใหม่โดยการให้เกียรติภูมิใหม่แก่สถาบัน และแน่นอนก็เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับฐานะความชอบธรรมของสฤษดิ์ไปด้วย

ในสมัยจอมพล ป. พระมหากษัตริย์และพระราชินีไม่ค่อยเสด็จไปนอกเมืองหลวง แต่ในยุคของสฤษดิ์ พระมหากษัตริย์และพระราชินีได้เสด็จพระราชดำเนินไปประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อเยี่ยมเยียนปฏิสันถารกับประมุขแห่งรัฐต่างๆ โดยเฉพาะบรรดากษัตริย์ในยุโรป พระราชพิธีต่างๆ ที่ไม่ได้ปฏิบัติหลังจากการสิ้นสุดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ ก็ถูกรื้อฟื้นนำมาปฏิบัติใหม่ ทั้งยังทรงมีความสัมพันธ์ติดต่อใกล้ชิดกับราษฎรไทยบ่อยครั้งมากขึ้น สถาบันกษัตริย์กลายเป็นสิ่ง "ศักดิ์สิทธ์" มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ระบบเผด็จการก็เข้มแข็งมั่นคงมากขึ้นด้วย

นอกจากนี้ สฤษดิ์ยังใช้ประโยชน์จากพุทธศาสนา ยกเลิกองค์กรคณะสงฆ์ซึ่งเป็นระบบกระจายอำนาจและเป็นประชาธิปไตย แทนด้วยระบบรวมศูนย์อำนาจและอำนาจนิยมภายใต้การควบคุมของสมเด็จพระสังฆราช

ทั้งหมดนี้คือจุดเริ่มต้นและการก่อรูปของอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่เกื้อหนุนสร้างความมั่นคงให้กับระบอบเผด็จการของสฤษดิ์และระบอบเผด็จการอื่นๆ ในเวลาต่อมา

ที่สำคัญ ยังเป็นอุดมการณ์ที่ใช้อธิบาย "ภัยความมั่นคง" ซึ่งหมายถึงสิ่งใดก็ตามที่มีแนวโน้มจะเป็นปฏิปักษ์ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตามต่อจากนั้น

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ก็กำเนิดมาเพื่อเป็นกลไกอุดมการณ์นี้ โดย กอ.รมน. ก่อตั้งในปี 2508 สมัยจอมพลถนอม กิตติขจร ชื่อเดิมคือ กองบัญชาการป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ (บก.ปค.) มีวัตถุประสงค์เริ่มต้น คือการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ มีความรับผิดชอบในป้องกันและปราบปรามคอมมิวนิสต์ ซึ่งแน่นอน ถูกจัดว่าเป็น "ภัยความมั่นคง" ต่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์

 

งานวัฒนธรรมหล่อหลอมอุดมการณ์ฯ ปราบภัยคอมมิวนิสต์

การฟื้นฟูประชาธิปไตย หลังการชุมนุมครั้งใหญ่ของประชาชนเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เกิดขึ้นในท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจและปัญหาโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่รัฐบาลเลือกตั้งไม่อาจแก้ไขได้ พร้อมไปกับการเฟื่องฟูของอุดมการณ์สังคมนิยม โดยมีขบวนการต่างๆ เคลื่อนไหวเพื่อการเปลี่ยนแปลงอย่างคึกคัก นั่นหมายความว่า ฝ่ายอนุรักษ์นิยมกำลังถูกท้าทายอย่างหนัก ในที่สุดก็เกิดเหตุล้อมปราบนักศึกษา ประชาชนและรัฐประหารในวันที่  6 ตุลาคม 2519

ในช่วงปี 2517-2519 นี้เอง อุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ได้ผนวกรวมกับการสื่อสารทางวัฒนธรรมของหน่วยความมั่นคง ส่วนใหญ่เป็นไปเพื่อการปลุกระดมให้เกลียดชังคอมมิวนิสต์ว่า เป็นพวกบ่อนทำลายสถาบันหลักของชาติ มีการใส่ร้ายป้ายสี ทั้งทางวิทยุ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ใบปลิวโฆษณา ทางบัตรสนเท่ห์หรือจดหมายขู่เข็ญต่างๆ หรือแม้แต่การอาศัยลมปากด้วยการปล่อยข่าวลือต่างๆ นอกเหนือจากนี้ ยังมีการแต่ง 'เพลงปลุกใจ' เพื่อต่อสู้กับ 'เพลงเพื่อชีวิต' และหลายเพลงก็ได้รับความนิยมอย่างสูง อาทิ "ทหารพระนเรศวร" เพลง "หนักแผ่นดิน" และเพลงพระราชนิพนธ์ "เราสู้" ซึ่งเริ่มถูกนำออกเผยแพร่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2519

 

กอ.รมน. ปี 2517-2519 เน้นปราบปรามคอมมิวนิสต์

อย่างไรก็ตาม ช่วงปี 2517-2519 กอ.รมน. ยังไม่มีบทบาทในงานเชิงวัฒนธรรม หากแต่เด่นชัดในหน้าที่การปราบคอมมิวนิสต์โดยตรง มีการจัดตั้งกลุ่มมวลชนต่างๆ รวมไปถึงเป็นผู้ฝึกอาวุธ นำอาวุธมาให้ใช้ และจ่ายเงินเลี้ยงดูด้วยเงินราชการลับ ไม่ว่าจะกลุ่มนักเรียนอาชีวะเพื่อหักล้างพลังของกลุ่มนักศึกษา เช่น กลุ่มกระทิงแดง หรือกลุ่มประชาชนและข้าราชการ เช่น กลุ่มนวพล เป็นต้น

"การปราบคอมมิวนิสต์ของ กอ.รมน. เป็นวิธีลับ ที่ปราบคอมมิวนิสต์จริงก็คงมี แต่ที่ปราบคนที่ไม่ใช่คอมมิวนิสต์ก็มีมาก ตั้งแต่ก่อน 2516 มาแล้ว เรื่องถังแดงที่พัทลุง เรื่องการรังแกชาวบ้านทุกหนทุกแห่งมีอยู่ตลอด แล้วใส่ความว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จึงทำให้ราษฎรเดือดร้อนทั่วไป และที่ทนความทารุณโหดร้ายต่อไปไม่ได้ก็เข้าป่ากลายเป็นพวกคอมมิวนิสต์ไปก็มากมาย" นี่เป็นสิ่งที่ป๋วย อึ้งภากรณ์ บันทึกไว้ใน 'ความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519'

 

หลัง พ.ร.บ. ปี 51 เดินหน้างานวัฒนธรรม

หลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยสลายบทบาท และสงครามเย็นสิ้นสุด กอ.รมน. ซึ่งมีภารกิจหลักที่การปราบคอมมิวนิสต์กลับไม่ได้ถูกยุบ หากแต่ปรับเปลี่ยนแนวคิดการรับมือกับภัยความมั่นคงไปตามยุคตามสมัย จนกระทั่งปี 2551 พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 ซึ่งอาจเรียกว่าเป็น พ.ร.บ. กอ.รมน. ก็ได้ เพราะมีเนื้อหาที่ว่าด้วย กอ.รมน. ล้วนๆ ก็ได้รับการตราขึ้น มีผลให้ กอ.รมน. กลายเป็นหน่วยงานความมั่นคงถาวรที่มีอำนาจเหนือหน่วยงานพลเรือนทั้งหมดโดยเฉพาะในภาวะฉุกเฉินของประเทศ

แนวคิดเรื่องการปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังคงดำรงอยู่อย่างแข็งแรงจนถึงปัจจุบัน นิยาม 'ภัยความมั่นคง' ไม่ได้มุ่งเป้าหลักที่คอมมิวนิสต์อีกต่อไป หากแต่ระบุไว้อย่างกว้างขวางว่า คือ "บุคคลที่มีบทบาทในสังคมที่มุ่งหวังผลประโยชน์ทางการเมือง โดยอาศัยการบิดเบือนซึ่งทำให้เกิดความเข้าใจผิดในเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"

เมื่อดูในเอกสารยุทธศาสตร์ กอ.รมน. พ.ศ. 2560-2564 ในส่วนของสถานการณ์ความมั่นคง ได้ระบุหัวข้อ "ภัยความมั่นคง" หลักที่ต้องเตรียมพร้อมรับมือถึง 10 หัวข้อ ได้แก่ 1. การล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ 2. ความเห็นต่างและความขัดแย้งทางความคิดของคนภายในชาติ 3. สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ 4. ภัยคุกคามไซเบอร์ 5. ภัยพิบัติทางธรรมชาติ 6. แรงงานต่างด้าวและผู้หลบหนีเข้าเมือง 7. การก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ 8. ปัญหายาเสพติด 9. ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 10. ผลกระทบที่เกิดจากข้อตกลงและพันธกรณีระหว่างประเทศต่อความมั่นคงภายใน

และเพื่อให้เป็นไปตามยุทธสาสตร์ จึงได้กำหนดกลยุทธ์ส่วนหนึ่งไว้ว่า...คือการเสริมสร้างความมั่นคงของสถาบันหลักของชาติ เช่น ส่งเสริมให้ประชาชนมีความตระหนักรู้ มีความภูมิใจ เข้าใจบทบาท ความสำคัญ และคุณค่าของสถาบัน ชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์, ส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ความสำคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์กับประวัติศาสตร์ชาติไทย, ส่งเสริมกิจกรรมสร้างจิตสำนึกและความเข้าใจในความสำคัญของเอกราชของชาติโดยพลังประชารัฐ, ส่งเสริมการเรียนรู้ความสำคัญของประวัติศาสตร์ชาติไทยให้เกิดความรักและหวงแหนในเอกราชของชาติ

กอ.รมน.ใน พศ.นี้ จึงได้เปลี่ยนจากการใช้อำนาจแข็งปราบปรามในยุคคอมมิวนิสต์ มาสู่การใช้อำนาจเชิงวัฒนธรรมมากขึ้นแล้ว

แน่นอนย่อมไม่ได้ทิ้งงานเดิมอย่างงานมวลชน กอ.รมน. ที่มีในทุกจังหวัดยังคงรวบรวม 'มวลชล กอ.รมน.' เช่น ไทยอาสาป้องกันชาติ, สมาคมนักธุรกิจรักษาความมั่นคงแห่งชาติ, ชมรมผู้นำชุมชนมุสลิม, ชมรมไทย-ซิกข์, ชมรมไทย-อินเดีย, ชมรมคาทอลิก, เพชรในตม ฯลฯ เพื่อเข้าถึงประชาชนในทุกภาคส่วน

กอ.รมน.ยังมีบทบาทในแง่การศึกษา โดย กอ.รมน. เข้าไปฝึกอบรมครูตามโรงเรียน จัดรณรงค์ หรือกรณีของนักพูดสร้างแรงบันดาลใจอย่าง เบสต์-อรพิมพ์ รักษาผล ที่ทำให้คนอีสานไม่พอใจก่อนหน้านี้ ก็เป็นการจัดขึ้นเพื่อให้พูดกับนักเรียนกว่า 3,000 คนที่เกณฑ์มาจาก 5 จังหวัด นอกจากนี้ ยังมีโครงการ 'เยาวชนคนดี คนเก่ง' โครงการ 'ทำดีเพื่อพ่อ' มอบทุนการศึกษาแก่เด็กสามจังหวัดชายแดนใต้, โครงการ 'เพชรในตม' รับสมัครนิสิตโครงการเพชรในตม คณะศึกษาศาสตร์ มศว. โดยคัดเลือกจากทายาทเจ้าหน้าที่ กอ.รมน. 32 จังหวัด, โครงการ 'ติวข้น...ค้นฝัน' ติวเพื่อทักษะการทำข้อสอบ ฯลฯ

ส่วนงานในเชิงศิลปวัฒนธรรมพบว่า ในปี 2552 กอ.รมน. ได้เริ่มโครงการโมโซ (MOSO) ซึ่งย่อมาจาก Moderation Society ภายใต้แนวคิด "คิดอย่างยั่งยืนเพื่อปลุกจิตสำนึกให้คนไทยใช้ชีวิตแบบมีเหตุผล เข้าใจคำว่า พอประมาณ และรู้จักสร้างภูมิคุ้มกันให้ตนเองตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง" มีมีพรีเซ็นเตอร์อยู่หลายคน อาทิ คำรณ หว่างหวังศรี พิธีกร, พ.ต.วันชนะ สวัสดี ข้าราชการทหาร, แอ๊ด คาราบาว ศิลปินเพลงเพื่อชีวิต, ธนชัย อุชชิน หรือป๊อด โมเดิร์นด็อก, นุ่น ศิริพันธ์ วัฒนจินดา นักแสดง โดยนิตยสารสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 638 กันยายน 52 ได้นำ MOSO มาเป็นเรื่องหลัก ภายใต้ชื่อ 'สู้เศรษฐกิจด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง Living in Moderation Society' มีทั้งภาพและบทสัมภาษณ์เหล่าพรีเซ็นเตอร์ของโครงการ รวมทั้งนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น คืออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ด้วย

กันยายน 2552 โครงการโมโซโดย กอ.รมน. จัดประกวดภาพยนตร์สั้น "ตามรอยสมเด็จย่า" เพื่อส่งเสริมเยาวชนศึกษาพระราชกรณียกิจและพระราชประวัติที่สำคัญของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี รวมถึงกระตุ้นให้สังคมระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

พฤศจิกายน 2552 โครงการโมโซไซตี้ โดย กอ.รมน. เป็นผู้สนับสนุนหลัก จัดคอนเสิร์ตแฟตเฟสติวัล ครั้งที่ 9 ตอน "อีนี่ fat fest นะจ๊ะ 9 จ๋า" ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกปี โดยปีนั้นได้รวบรวมวงดนตรีวัยรุ่นไทยจากหลายค่าย จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 7-8 พฤศจิกายน 2552 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2 และ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี

มกราคม 2553 กอ.รมน. เป็นผู้สนับสนุนหลักคอนเสิร์ตแฟต เฟสติวัล โชว์เหนือ "ตอน...โชว์เหนือสุดดดดด" วันที่ 30 มกราคม 2553 ที่ลานม่วนใจ๋ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า เชียงใหม่ แอร์พอร์ต

เมษายน 2554 กอ.รมน. ร่วมกับกองทัพบก รณรงค์สร้างกระแสความรักชาติและความจงรักภักดีโดยใช้ดนตรีเป็นสื่อ สนับสนุน จัดแสดงดนตรีในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศตั้งแต่ช่วงปลายเดือนเมษายน 2554 และใช้เครือข่ายวิทยุชุมชนเพื่อความมั่นคง กอ.รมน. กว่า 700 สถานี ออกอากาศผ่านระบบอินเตอร์เน็ตวันละสามเวลา โดยเน้นเรื่องพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อพสกนิกรและสอดแทรกเรื่องการรักชาติและความจงรักภักดี

ปี 2557 กอ.รมน. เดินหน้าจัดคอนเสิร์ต "เดินหน้าประเทศไทย ร่วมใจปฏิรูป" ตามจังหวัดต่างๆ เพื่อประชาสัมพันธ์การทำงานของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในระยะที่ 2 ของ Road Map เพื่อเดินหน้าไปสู่การปฏิรูปประเทศและสร้างความปรองดองสมานฉันท์ คืนความสุขให้ประชาชนตามนโยบายของหัวหน้า คสช. นำโดยศิลปินนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ดาว มยุรี, ไชโย ธนาวัฒน์, ศักดา คำพิมูล, เอ็ม กันตวัจจ์, อาร์ม ชิงช้าสวรรค์, เบียร์ คิมหันต์, โย โสรยา, วงกลม และ เอฟ วรัญญู เป็นต้น ถ่ายทอดสดผ่านช่องเวทีไท และบันทึกเทปโทรทัศน์เพื่อนำออกอากาศผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย หรือ NBT

กรกฎาคม 2558 กอ.รมน. จัดฉายภาพยนตร์ "ละติจูด ที่ 6" ภาพยนตร์เรื่องแรกที่ กอ.รมน. สร้างด้วยความร่วมมือของภาคเอกชน โดยระบุว่า เพื่อให้เป็นยุทธศาสตร์ในการสร้างการเรียนรู้และเข้าใจในวิถีชีวิตและอัตลักษณ์ ตลอดจนสังคมพหุวัฒนธรรมในดินแดนปลายสุดด้ามขวาน เพื่อสร้างสันติสุขสืบไป

เมษายน 2559 กอ.รมน. ร่วมกับ ค่ายซีเนริโอ จัดการแสดงละครเวที 'ผ้าห่มผืนสุดท้าย' วันที่ 17 มีนาคม - 3 เมษายน 59 ณ โรงละคร เมืองไทยรัชดาลัย โดยมีคำอธิบายว่า "ถ่ายทอดเรื่องราวความรัก ความเสียสละ และความจงรักภักดีต่อแผ่นดินของเหล่านายทหาร โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องจริงของทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำแสดงโดย โอ-อนุชิต, อ้น-สราวุธ, ชาช่า รามณรงค์, ฟรอยด์-ณัฎฐพงษ์, อ้น-กรกฎ, ปวันรัตน์ นาคสุริยะ, เอ๋ สมาร์ท, ดิว-อริสรา และจูเนียร์-กรวิชญ์ อำนวยการสร้างโดย บอย-ถกลเกียรติ วีรวรรณ กำกับการแสดงโดย สันติ ต่อวิวรรธน์ เขียนบทโดย เกลือ-กิตติ เชี่ยววงศ์กุล

สิงหาคม 2560 กอ.รมน. เปิดตัวการจัดทำบทเพลงเทิดพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในโอกาสพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ มีทั้งหมด 5 เพลง ได้แก่ เพลงงานของป้อ, เพลงอีสานยิ้ม, เพลงที่เห็นและเป็นอยู่, เพลงสี่น้ำสามรส และจดหมายถึงลูก มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพื้นที่ 4 ภาค ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลางและภาคใต้ มุ่งหมายให้ประชาชนคนไทยเดินตามคำสอนของพ่อ และทำดีถวายพ่อของแผ่นดิน

กุมภาพันธ์ 2561 กอ.รมน. เปิดโครงการเทิดทูนสถาบันหลักของชาติ ประจำปี 2561 ในหัวข้อ "สร้างคนดีด้วยประวัติศาสตร์ สร้างชาติด้วยอุดมการณ์" เป็นการบรรยายประกอบ แสง, สี, เสียง, ระบบมัลติมีเดีย โดยชุดวิทยากรรณรงค์ปลุกจิตสำนึกรู้คุณ โดยมีผู้เข้าร่วมรับฟังการบรรยาย เป็นคณะอาจารย์และนักเรียน จำนวนรวมทั้งสิ้น 500 คน ณ หอประชุม โรงเรียนมัธยมฐานบินกำแพงแสน อ.กำแพงแสน จังหวัดนครปฐม

กล่าวโดยสรุป งานเชิงศิลปวัฒนธรรม ตั้งแต่มี พ.ร.บ. การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 จนถึงปัจจุบัน กลุ่มเป้าหมายของ กอ.รมน. จะพุ่งเป้าไปที่คนรุ่นใหม่ โดยระยะแรกก่อนการรัฐประหารในปี 2557 แนวคิดของ กอ.รมน. เน้นการเผยแพร่และปลูกฝังอุดมการณ์รักชาติ ความจงรักภักดีพระมหากษัตริย์แก่เด็กและเยาวชน ผ่านแนวคิดเรื่องความพอเพียงในโครงการโมโซ ที่แทรกซึมไปในโครงการประกวดภาพยนตร์สั้น จนกระทั่งถึงคอนเสิร์ตแฟตเฟสติวัล ควบคู่ไปกับการนำศิลปิน ดารา นักร้อง นักแสดงที่เป็นที่รู้จักมาช่วยส่งเสริมให้งานเป็นที่รู้จักมากขึ้น รวมทั้งได้รับความร่วมมืออย่างดีจากสถานีวิทยุและโทรทัศน์ในเผยแพร่อุดมการณ์เหล่านี้ เช่น คลื่นวิทยุชุมชนของ กอ.รมน. 700 สถานี

หลังการรัฐประหารปี 2557 ร่วมกับ คสช. ในการประชาสัมพันธ์นโยบายสมานฉันท์ คืนความสุข ร่วมกับเหล่านักร้องชื่อดัง และนำเสนอสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนใต้ทั้งในรูปแบบภาพยนตร์และละครเวทีที่เกี่ยวข้องกับความเสียสละ ความกล้าหาญ ความรักชาติของทหารไทย รวมทั้งเดินหน้ารณรงค์อุดมการณ์แก่เด็กและเยาวชนต่อไป

จึงเห็นได้ว่า ตั้งแต่ยุคสฤษดิ์เป็นต้นมา อุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ได้ทำงานอย่างแข็งขันมาตลอด และเป็นค่านิยมกระแสหลักที่ดำรงอยู่ในชีวิตประจำวันของเราทุกที่ ตั้งแต่แบบเรียนจนถึงป้ายประชาสัมพันธ์ จากบทเพลงจนถึงภาพยนตร์ จากโรงภาพยนตร์จนถึงเวทีคอนเสิร์ต รวมทั้งโครงการประกวดต่างๆ ฯลฯ และส่วนหนึ่งนั้นมี กอ.รมน. เป็นกลไกการสื่อสารอุดมการณ์เหล่านั้น

 

อ้างอิง

'บ้านเมืองของเราลงแดง', เบนเนดิก แอนเดอร์สัน

'ความรุนแรงและรัฐประหาร 6 ตุลาคม 2519', ป๋วย อึ้งภากรณ์

'เราสู้: เพลงพระราชนิพนธ์การเมืองกับการเมืองปี 2518-2519', สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น