โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

เพื่อนเที่ยว การอธิบายผ่านเศรษฐศาสตร์การเมือง

Posted: 31 Mar 2018 09:13 AM PDT


บทคัดย่อ

บทความนี้ต้องการที่จะนำเสนอกระบวนการกลายเป็นเพื่อนเที่ยว โดยการวิเคราะห์เชิงเศรษฐศาสตร์การเมือง เนื่องด้วยความเจริญเติบโตของการค้า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดพลวัต กลายเป็นพลังขับที่พลิกโฉมระบบเศรษฐกิจและสังคมของโลก การรวมตัวของทุนอุตสาหกรรมกับทุนธนาคารส่งผลให้เกิดทุนการเงินเพื่อสนับสนุนผูกขาดด้านอุตสาหกรรม ด้านเศรษฐกิจทางด้านอื่นๆ การก่อตัวของโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการค้า อุสาหกรรม และเกษตรกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีทั้งทางเกษตรและอุตสาหกรรมส่งผลให้การผลิตมีผลผลิตส่วนเกินมาก สินค้าการผลิตต่างๆ ยอมมีมากขึ้นเมื่อการพัฒนาของระบบเศรษฐกิจทำให้โลกใบนี้กลายเป็นตลาดเดียวการติดต่อค้าขายก็ทำกันได้ง่ายขึ้น ของที่ไม่ได้เป็นอรรถประโยชน์ต่างๆ ก็เกิดขึ้นมามากมายพร้อมกัน อีกทั้งยังมีการเกิดของธุรกิจหรือกิจกรรมที่สามารถแลกเปลี่ยนให้เป็นเงินตราขึ้นในสังคมไทย

จนทำให้เกิดกระบวนการกลายเป็นสินค้าของผลผลิตและมนุษย์ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองจากระบบเศรษฐกิจพอยังชีพ ไปสู่ระบบทุนนิยม ซึ่งความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการแลกเปลี่ยนผลผลิตเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญของระบบทุนนิยมก็คือ การสะสมทุนจากการผลิต ค้าขายสินค้า และบริการที่สร้างรายได้ ดังเช่นการเกิดขึ้นมาของกระบวนการกลายเป็นเพื่อนเที่ยว ที่เป็นการบริการเชิงพาณิชย์ที่เน้นการให้ความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราว ที่อัตราค่าจ้างอยู่ในระดับที่สุดและยังเป็นงานที่สามารถประกอบอาชีพอื่นร่วมด้วยได้ และบุคคลที่มีความสนใจในอาชีพนี้ก็จะมีอาชีพอื่นประจำอยู่แล้ว เช่น หมอ ดารา ศิลปิน พนักงานธนาคาร หรืออาชีพอื่นๆ จากข้อมูลที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็สะท้อนภาพความเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างชัดที่ต้องการสะสมรายได้ ปัจจุบันเป็นความก้าวหน้าอย่างไม่มั่นคงเพราะการดำเนินการทางเศรษฐกิจเปลี่ยนไป คู่แข่งทางการค้าและสายงานก็มีเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้ต้องมีการหางานเพิ่มจากอาชีพหลักที่ตนเองมีอยู่แล้วเพื่อการสะสมทุน

ในปัจจุบันผลผลิตในสังคมแทบทุกชนิดได้ถูกแปรสภาพไปเป็นสินค้าแม้กระทั่งในตัวมนุษย์ เวลาของมนุษย์ รูปร่างหน้าตาก็กลายเป็นสินค้า หลายคนคงยังไม่เคยได้ยินคำว่าเพื่อนเที่ยว แต่เพื่อนเที่ยวเป็นธุรกิจประเภทหนึ่งที่เกิดในระบบทุนนิยม ที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้จากการซื้อเวลา และรูปร่างหน้าตาในการทำกิจกรรมไปกินร่วมกันกับผู้ซื้อกิจกรรม เช่น การกินข้าว ดูหนัง แม้กระทั่งไปนั่งพูดคุยกันตามร้านต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้ได้ถูกแลกมาเป็นเงินตรา


บทนำ

ความเจริญเติบโตของการค้า เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดพลวัต กลายเป็นพลังขับที่พลิกโฉมระบบเศรษฐกิจและสังคมของโลก การรวมตัวของทุนอุตสาหกรรมกับทุนธนาคารส่งผลให้เกิดทุนการเงินเพื่อสนับสนุนผูกขาดด้านอุตสาหกรรม ด้านเศรษฐกิจทางด้านอื่นๆ การก่อตัวของโครงสร้างเศรษฐกิจเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการค้า อุสาหกรรม และเกษตรกรรม การพัฒนาเทคโนโลยีทั้งทางเกษตรและอุตสาหกรรมส่งผลให้การผลิตมีผลผลิตส่วนเกินมาก สิ้นค้าการผลิตต่างๆ ยอมมีมากขึ้นเมื่อการพัฒนาของระบบเศรษฐกิจทำให้โลกใบนี้กลายเป็นตลาดเดียวการติดต่อค้าขายก็ทำกันได้ง่ายขึ้น ของที่ไม่ได้เป็นอรรถประโยชน์ต่างๆ ก็เกิดขึ้นมามากมายพร้อมกัน อีกทั้งยังมีการเกิดของธุรกิจหรือกิจกรรมที่สามารถแลกเปลี่ยนให้เป็นเงินตราขึ้นในสังคมไทย

ระบบทุนนิยมได้เป็นเปลี่ยนวิถีชีวิตมนุษย์ให้เข้าไปสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆ ผ่านระบบตลาด การบริโภคผลผลิต ที่เราต้องการส่วนใหญ่จะได้จากการแลกเปลี่ยนโดยใช้เงินตรา เพียงแต่ในระบบทุนนิยมที่ได้มีการแลกเปลี่ยนเข้ามาครอบงำการดำเนินวิถีชีวิตของผู้คน อิทธิพลของเงินตราที่ขยายตัวจากการค้าได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทางเศรษฐกิจการเมืองของสังคม กระบวนการแบ่งงานกันทำให้แปรเปลี่ยนการผลิตเพื่อบริโภคเองเป็นหลักไปสู่การผลิตเพื่อการแลกเปลี่ยน ผลผลิตต่างๆ ในสังคมถูกทำให้กลายเป็นสินค้า การใช้ชีวิตของผู้คนทำให้ผูกผันอยู่กับสินค้า ดังที่ Heilbroner เรียกว่า Commodification of life คนในสังคมจะคุ้นเคยกับการใช้สินค้าหรือบริการในฐานะสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยทำให้เกิดความสุข ในการใช้ชีวิตจนกลายเป็นแบบแผนชีวิตแบบใหม่ 1

กระบวนการกลายเป็นสินค้าของผลผลิตต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจการเมืองจากระบบเศรษฐกิจพอยังชีพ ไปสู่ระบบทุนนิยม ซึ่งความสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการแลกเปลี่ยนผลผลิตเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญของระบบทุนนิยมก็คือ การสะสมทุนจากการผลิตและค้าขายสินค้า โดยสุภา ศิริมานนท์ (2536) ได้แบ่งลำดับขั้นของการผลิตออกเป็น 3 ขั้นคือ ขั้นที่ 1 ผลิตเพื่อใช้ ขั้นที่ 2 การผลิตเพื่อขายหรือการผลิตเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลผลิตอื่นที่ตนไม่ได้ผลิต ขั้นที่ 3 คือการผลิตเพื่อกำไร เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจว่ากระบวนการกลายเป็นสินค้า การแลกเปลี่ยนจะต้องเป็นเรื่องของการแสวงหารายได้ซึ่งไปไกลกว่าการแลกเปลี่ยนเพื่อความพอเพียงระหว่างผู้ผลิต เมื่อสังคมส่วนใหญ่เกิดการยอมรับต่อวิถีการผลิตรูปแบบใหม่นี้จึงทำให้เกิดการขยายตัวของสินค้าและชนิดของสินค้ามากขึ้น จนทำให้สินค้าเข้ามามีความสำคัญต่อวิถีเศรษฐกิจของสังคม

ในปัจจุบันผลผลิตในสังคมแทบทุกชนิดได้ถูกแปรสภาพไปเป็นสินค้าแล้วแม้กระทั่งในตัวมนุษย์ เวลาของมนุษย์ รูปร่างหน้าตาก็กลายเป็นสินค้า หลายคนคงยังไม่เคยได้ยินคำว่าเพื่อนเที่ยว แต่เพื่อนเที่ยวเป็นธุรกิจเป็นเภทหนึ่งที่เกิดในระบบทุนนิยม ที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้จากการซื้อเวลา และรูปร่างหน้าตาในการทำกิจกรรมไปกินร่วมกันกับผู้ซื้อกิจกรรม เช่น การกินข้าว ดูหนัง แม้กระทั่งไปนั่งพูดคุยกันตามร้านต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้ได้ถูกแลกมาเป็นเงินตราในจ้างคนที่มีอายุระดับเดียวกัน รูปร่างหน้าตาดีให้เขามาอยู่ในวงการการเที่ยวแบบชั่วครั้งชั่วคราว ระบบทุนนิยมได้ผลิตธุรกิจแบบใหม่โดยที่ใช้ทุนเพียงแค่เวลา กับรูปร่างหน้าตา และกิจกรรมเพื่อผลิตผลผลิตรูปแบบใหม่ออกสู่ตลาด


ปัจจัยการเข้าสู่เพื่อนเที่ยว

ทุกวันนี้สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งการรับ-ส่งข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว การเข้าร่วมเครือข่ายกิจกรรมกับคนคอเดียวกัน รวมถึงบันทึกเรื่องราวและความรู้สึกในช่วงเวลาต่างๆแม้อาชีพเพื่อนเที่ยวอาจจะดูวูบวาบฉาบฉวยไร้ความมั่นคง แต่ปัจจุบันยังมีหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยตบเท้าเข้าวงการดังกล่าวมากมายหลายร้อยหลายพันคน ทั้งคนไฮโซ คนดัง ต่างก็เลือกทำงานนี้ โดยทุกคนต่างหวังที่จะเข้าไปไขว่คว้าเงินตราก้อนโต และเนื่องจากปัจจุบันคนส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเพศอะไรมักรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว รู้สึกเหงา รู้สึกเบื่อเพื่อนน้อย ต้องการหาที่ระบาย และคนส่วนใหญ่ที่มาทำอาชีพนี้ต้องการเงินที่ได้มาแบบสบายๆ เพียงแค่ไปเที่ยวกินข้าว ดื่มเหล้า ดูหนัง ฟังเพลง มันจึงทำให้เกิดอาชีพเพื่อนเที่ยวขึ้นมา ในโลกเป็นสังคมที่มีความกดดันสูง และมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงเช่นกัน ผู้คนจึงหันมาพึ่งพาเพื่อนเช่าเพื่อร่วมให้กำลังใจในงานแต่งงาน ร้องไห้ในงานศพ หรือแกล้งเป็นแฟนหลอกๆ เพื่อให้ครอบครัวสบายใจ2

การตัดสินใจที่จะเข้าสู่ตลาดแรงงานหรือจะประกอบอาชีพเป็นเพื่อนเที่ยวก็จะมาจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลักอย่างเช่น เงินคืองาน งานคือเงิน บันดาลสุข เลยทำให้ เงิน เป็นปัจจัยหลักหลักในการทำให้คนใจอาชีพนั่นๆ การต้องการเงิน เป็นการตอบโจทย์ทางด้านอรรถประโยชน์ของมนุษย์ทุกคน และความอยากได้อยากมีก็เกิดจากการครอบงำทางความคิดในระบบตลาดแบบเสรี ที่เปิดตลาดให้นักลงทุนทั่วโลกเข้ามาตักตวงทรัพยากรในประเทศ อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คนถูกครอบงำทางความคิดว่าถ้าเราใช้ของที่มีแบรนด์ มียี่ห้อจะเป็นคนที่มีหน้ามีตาทางสังคม จะถูกมองว่าสวยและจะถูกเชิดชูจากคนในสังคม ซึ่งความเป็นจริงทั้งหมดคือการครอบงำรูปแบบหนึ่งที่จะทำให้มนุษย์ต้องอยู่มโนคิดแห่งความสวยงามทั้งวัตถุและตัวของมนุษย์เอง แต่แท้จริงแล้วก็ไม่ได้มีปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ซึ่งมีอาจมีปัจจัยด้านอื่นๆตามมาอีก เช่น

- ปัจจัยทางด้านครอบครัว ครอบครัวเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สนับสนุนหรือคัดค้านในการตัดสินใจเข้ามาประกอบอาชีพที่ตนเองสนใจ ครอบครัวเป็นเสมือนสมองอีกส่วนหนึ่งที่อยู่ภายนอกที่จะค่อยทัดทานหรือชี้แนะแนวทางต้องการทำกิจกรรมของมนุษย์ การที่จะมาประกอบอาชีพเพื่อนเที่ยว ผู้ที่จะมาประกอบอาชีพนี้ส่วนใหญ่มีแนวคิดและการตัดสินในส่วนหนึ่งมากครอบครัวเนื่องด้วยต้องการรายได้เพื่อจุนเจือครอบครัว หรือต้องการสะสมทุนในครอบครัว ด้วยเหตุแห่งนี้ครอบครัวจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการเดินทางสู่เพื่อนเที่ยว

- ปัจจัยทางด้านประสบการณ์หลายคนที่ประกอบอาชีพเพื่อนเที่ยวได้เคยทำงานตามร้านเหล้าหรือสถานบันเทิงมาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งลักษณะของการทำงานจะมีความคล้ายกันกับเพื่อนเที่ยว คือ ต้องคอยเอนเตอร์เทรน ดูแล ลูกค้าผู้มาใช้บริการ หากเราดูแลดีก็มีทิปให้ เมื่อลูกค้าพึงพอใจก็อาจจะเข้าสู่การจ้างเป็นเพื่อนเที่ยว เป็นการรับจ๊อบเพิ่มนอกเวลาจากอาชีพหลักที่ทำอยู่ จึงถือว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้หลายคนเริ่มหันหน้าเข้าสู่วงการเพื่อนเที่ยว

- ปัจจัยทางด้านสังคมก็ถือเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้หลายคนสนใจเข้าสู่การประกอบอาชีพเป็นเพื่อนเที่ยว  มีผู้คนจากหลากหลายกลุ่มอาชีพที่เข้ามารับจ้างเป็นเพื่อนเที่ยว ยกตัวอย่างนายแบบคนหนึ่ง เล่าถึงประสบการณ์การก้าวเข้ามาในวงการเพื่อนเที่ยวว่าตนรับงานจ้างเที่ยวมานานกว่า 2 ปี ซึ่งก่อนหน้านี้ตนไม่เคยรู้จักอาชีพเพื่อนเที่ยวมาก่อนเลย จนได้มาเจอเพื่อนนายแบบที่รับงานจ้างกินข้าวเป็นเพื่อน และเอเจนซี่ที่ทำธุรกิจประเภทดังกล่าวได้เข้ามาชักชวน จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เข้ามาในวงการ "รับจ้างเที่ยว"

- ปัจจัยทางด้านค่านิยม ที่ถือว่าในสังคมปัจจุบันมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูงของคนในสังคม  ที่ต้องการแค่หาเงินเที่ยว หาเงินซื้อของแพงๆไว้ตามเทรนเพื่อนๆ เพื่อที่จะได้ไม่น้อยหน้าและไม่ตกเทรน จึงทำให้หลายๆคนเริ่มหันหน้าเข้าสู่การรับจ้างเป็นเพื่อนเที่ยวในที่สุด

ถึงแม้ว่างานรับจ้างเที่ยว จะดูไม่ดีในสายตาผู้ใหญ่บางคน แต่ก็คงห้ามไม่ได้ในยุคของการแข่งขันเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจและการอยู่รอดของชีวิตคน จากปัจจัยที่กล่าวผู้ประกอบอาชีพเพื่อนเที่ยว จำนวนไม่น้อยทุกคนต่างพูดถึงปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก นี้เป็นตัวแสดงอิทธิพลของเงินในระบบทุนนิยมว่ามันมีอำนาจมาแค่ในต่อคนในสังคม การเปลี่ยนแปลงนำมาซึ่งความทุกข์ที่โรยหน้าด้วยความสุข ทำให้คนต้องดิ้นรนเพื่อสร้างอรรถประโยชน์ให้กับตนเองและคนในครอบครัวความโหดร้ายทางสังคม


กรอบแนวคิดกระบวนการกลายเป็นสินค้า

ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม การแลกเปลี่ยนสินค้าเป็นปรากฏการณ์ที่เห็นได้โดยทั่วไปในโลกของการแลกเปลี่ยน สิ่งของ ที่จะนำมาแลกเปลี่ยนจะต้องมีคุณค่าในการแลกเปลี่ยนอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน สำหรับบุคคลทั่วไปมอง "สินค้า" ว่าเป็นวัตถุสิ่งของ ที่ผู้เป็นสินค้ามีสิทธิในการครอบครอง โดยสิ่งของนั้นผู้ผลิต ดำรงอยู่ และกระจายตัวผ่านการแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือเงินตราภายในระบบเศรษฐกิจ โดยปกติสินค้าชิ้นหนึ่งจะมีมูลค้าอยู่อย่างน้อย 2 ประเภท คือคุณค่าในการใช้ (use value) และคุณค่าในการแลกเปลี่ยน (exchange value) นอกเหนือไปจากคุณค่าอื่นๆ เช่นคุณค่าทางจิตใจ (sentimental value), คุณค่าทางศิลปะ (artistic value), หรือการเป็นสิ่งหายาก (scar city) เป็นต้น (ยศ สันตสมบัติ ,2535,93)

ในทางเศรษฐศาสตร์ สินค้าคือวัตถุที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งก็คือการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ซึ่งคือการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐศาสตร์ทำให้วัตถุเกิดมูลค่าที่เป็นรูปเป็นร่าง และเรียกกันว่า "สินค้า" George Simmel  ผู้ริเริ่มนำแนวคิดการตีความมูลค่าทางเศรษฐกิจ กล่าวว่า สินค้านั้นไม่ใช่สิ่งที่เป็นรูปธรรมหรือนามธรรมไปซะทีเดียว แต่สินค้าเป็นสิ่งที่มูลค่าปรากฏออกมา และสินค้าไม่ยากที่จะได้มาเป็นเจ้าของ เพราะมันเป็นสิ่งที่มีมูลค่า แต่เราเรียกสินค้าว่าเป็นสิ่งที่ต้านความอยากได้มาเป็นเจ้าของระยะทางระหว่างความอยากได้ที่แท้จริงกับความอยากได้เพียงเพราะความเพลิดเพลิน เป็นระยะทางที่สามารถหมดความอยากได้หากความอยากนั้นไม่ใช่ความอยากที่แท้จริง ระยะดังกล่าวมีผลกระทบต่อการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ ในเรื่องของมูลค่าของวัตถุที่กำหนดไว้แล้ว เมื่อความต้องการได้ถูกเติมเต็มโดยการลดราคาวัตถุอื่นๆ ที่มุ่งประเด็นไปที่ความต้องการสินค้าในอีกรูปแบบหนึ่ง การแลกเปลี่ยนของการลดราคาสินค้าเป็นวิธีทางเศรษฐกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับชีวิตประจำวันในรูปแบบของส่วนประกอบ ไม่ใช่แค่เพียงการแลกเปลี่ยนมูลค่าสินค้า แต่เป็นเรื่องภายในการแลกเปลี่ยนมูลค้าสินค้า Simmel มองว่ามูลค่าของเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ถูกแจกแจงโดยการแลกเปลี่ยนของการลดราคาสินค้า และการแลกเปลี่ยนทั้งหมดจะกระทำโดยลักษณะของผู้ซื้อและผู้ขาย3

งานศึกษาชิ้นนี้ที่สามารถยืนยันว่าสินค้าในทางเศรษฐศาสตร์ไม่จำเป็นต้องเป็น รูปธรรมคือ การศึกษาเรื่อง การสร้างอัตลักษณ์และการต่อรองด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้หญิงกับลูกค้าในบาร์เต้นระบำเปลือยของ Katharine Frank (1998) พบว่าสิ่งที่ถูกสาวนักระบำเปลือยทำให้กลายเป็นสิ้นค้าประกอบด้วย ร่างกาย อัตลักษณ์ และรูปแบบของความสนิทสนม (intimacy) ตัวอย่างเช่น พวกเธอใช้ชื่อปลอมบนเวทีเต้น และจะบอกชื่อจริงแก่ลูกค้าเมื่อเริ่มพูดคุยและมีความสนิทสนมมากขึ้น การเปิดเผยเรื่องราวทีละน้อยเป็นยุทธวิธีที่สร้างความสนิทสนมและทำให้ลูกค้าเกิดความไว้วางใจในตัวของพวกเธอมากขึ้น การเป็นสินค้าไม่จำเป็นที่จะต้องมีรูปร่างที่แน่นนอนตายตัว สำหรับสาวนักระบำเปลือยแล้วร่างกาย การแสดงออก รวมถึงความสนิทสนมที่ถูกสร้างขึ้นล้วนเป็นสิ่งที่เสนิขายให้แก่ลูกค้าทั้งสิ้น

จากกรอบแนวคิดที่ผสมกันกับการกลายเป็นสินค้า ผนวกเข้าระบบทุนนิยมในปัจจุบันสะท้อนภาพความคิดของมูลค่าสินค้า ที่เป็นนามธรรม ได้เกิดขึ้นแล้วในยุคสมัยใหม่ จากทุนนิยมเดิมที่ใช้วัตถุหรือสิ่งของในการแลกเปลี่ยนและการผลิต แต่ในปัจจุบันนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งของก็สามารถแลกเปลี่ยนเป็นมูลค่าได้ เพียงแค่ใช้เวลา และความสามารถในการพูดคุยเป็นเพื่อน
 

กระบวนการกลายเป็นสินค้าของเงินแลกเพื่อน

กระบวนการกลายเป็นสินค้าของเพื่อนเที่ยวเริ่มตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจไทย มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง เมื่อไม่นานมานี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นตัวเริ่มทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการให้บริการที่มีคุณภาพระดับสูง และกำลังจะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัล  และใช้ศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างเต็มขีดความสามารถ ผลักดันแนวคิดที่จะสร้างรายได้และสะสมทุนเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่ตอบสนองความต้องการและอรรถประโยชน์ต่างๆ ในชีวิตกิจกรรมการบริการเพื่อนเที่ยว เป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์ในเรื่องของความเป็นปัจเจกชนของมนุษย์ที่พยายามบีบขับตัวเองออกจากการเป็นมิตรทางสังคมด้วยระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เพื่อนเที่ยวเป็นอาชีพที่บริการเฉพาะกลุ่มผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจค่อนข้างดี เพื่อนฟังแล้วอาจจะคุ้นหูของคำว่า เพื่อน ที่เรารู้จักกันโดยทั่วไปว่าเพื่อนคือคนที่เราสามารถพึ่งพา หรือชวนไปไหนมาไหนก็ได้โดยไม่ต้องใช้เงินเพื่อนซื้อเพื่อนมาเป็นเพื่อน แต่ในยุคปัจจุบันที่โลกของทุนนิยมหมุนเวียนไปทำให้เกิดอาชีพที่เรียกกันว่าเพื่อนเที่ยว  อีกทั้งการเข้ามาของทุนนิยมก่อให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำอันเนื่องจากความสามารถที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคลโดยพื้นฐาน ทำให้ความสามารถในการหารายได้ไม่เท่ากัน ผู้ที่มีความสามารถสูงกว่าจะเป็นผู้ได้เปรียบผู้ที่อ่อนแอกว่าในทางเศรษฐกิจในหลายๆกรณี  ราคาหรือกลไกตลาดยังไม่ใช่เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงพอสำหรับการจัดสรรทรัพยากรของระบบเศรษฐกิจ เมื่อสถานการณทางเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปทำให้บ่อเกิดของกิจกรรมทางสังคมรูปแบบใหม่ขึ้นมาอีกหลายกิจกรรมทั้งกิจกรรมบริการที่มีลักษณะการทำงาน โดยในปัจจุบันคำว่าเพื่อน สามารถจ้างได้แบบชั่วครั้งชั่วคราว เพื่อซื้อของหรือดูหนัง กินข้าว ฟังเพลง หรือร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ภายใต้การจ้างของผู้ว่าจ้าง การแสดงออกทางสังคมต่อเพื่อนเที่ยวก็มีค่อนข้างน้อยเพราะ อาชีพนี้ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก และแพร่หลายมากในช่วงที่ซีรีย์เรื่องฮอร์โมนกำลังดัง ในปี 2557-2558 จึงทำให้อาชีพนี้เริ่มเป็นที่รู้จักแต่ก็ยังมีผู้คนกลุ่มใหญ่ที่ยังไม่รู้จักอาชีพอย่างลึกซึ้งเนื่องด้วยอาชีพเพื่อนเที่ยวมีการจำกัดเฉพาะกลุ่มคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี  ซึ่งลักษณะการทำงานก็จะมีกลุ่มนายหน้าติดต่องาน การเป็นเพื่อนเที่ยวก็จะมีข้อจำกัดในการถูกเนื้อต้องตัว และการค้ากาม เพื่อนเที่ยวจะมีการจ้างเป็นรายชั่วโมงตกอยู่ที่ 3,000-4,000  โดยผู้จ้างจำเป็นที่จะต้องกิจกรรมก็หน้านายที่ติดต่องาน ว่าต้องการให้เพื่อนเดียวทำกิจกรรมอะไรบ้างเช่น กินข้าว ดูหนังหรืออื่นๆ ซึ่งการทำงานก็มีทั้งเหมาเป็นอาทิตย์หรือแค่วันเดียวก็จบไป

ระบบเสรีทางการเกิดขึ้นการเข้ามาของอาชีพเพื่อนเที่ยวก็เกิดขึ้นเช่นด้วยกันเพราะอาชีพเพื่อนเที่ยวสามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้ เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ตายตัว และไม่มั่นคง แต่ที่มีคนอยากทำเป็นจำนวนมากเพราะมีค่าจ้างที่สุด ค้าจ้างที่สูงมาจากการครอบงำทางสังคมเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา เพราะเพื่อนเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะมีรูปร่าง หน้าตาดี และถ้ามีความสามารถอื่นนอกเหนือจากนี้ก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าการบริการได้อีกเป็นจำนวนมาก อาชีพเพื่อนเที่ยวเกิดมาพร้อมกับตลาดการค้ารูปแบบใหม่ที่สนับสนุนให้คนทำอะไรก็ได้เพื่อเงินโดยการคำนึงถึงกรอบความคิดและวัฒนธรรมน้อยลงไป

สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "เพื่อน" ในอดีตจะไม่สามารถซื้อได้ แต่ในปัจจุบันเราต้องหันมาเปลี่ยนทัศนคติกันเสียใหม่ เพราะในปัจจุบันทุนนิยมได้เปลี่ยนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นนามธรรมเพิ่มมากขึ้น ที่สามารถสร้างความสุขโดยการหาเพื่อน จากการแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราในรูปแบบที่เรียกว่า เพื่อนเที่ยว

ขอบเขตระบบงานเพื่อนเที่ยว ให้บริการมากที่สุดได้แค่ไหน นายณัทกร พงศ์ชวนิศ หรือคุณกร ออแกไนซ์จัดหา หนุ่มสาวรับจ้างเพื่อนเที่ยว กับขอบเขตหน้าที่การบริการของอาชีพเพื่อนเที่ยว โดยอาชีพดังกล่าวเน้นให้บริการความสุขแก่ลูกค้า ในรูปแบบของเพื่อนที่สามารถไปกินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง  เลือกซื้อของ หรือเป็นกิจกรรมอื่นๆ ตามที่ลูกค้ากำหนด แต่ห้ามเกินเลยไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ และไม่แตะเนื้อต้องตัวกันโดยเด็ดขาด ในกรรีที่ลูกค้าจะมีความสัมพันธ์อื่นใดกับเพื่อนเที่ยว ค่อนข้างเป็นไปได้ยากหรือมีโอกาสน้อยมาก เว้นเสียแต่ว่า ลูกค้าจะมีหน้าตาดีมาก จนเพื่อนเที่ยวเผลอใจอยากสานสัมพันธ์ด้วย ซึ่ง ณ จุดๆนี้ การควบคุมก็เป็นไปได้ยาก4


วิธีการรับเพื่อนเที่ยวเข้ามาทำงาน

กระบวนการคัดสมาชิกเข้ามารับงาน "เพื่อนเที่ยว" จะมีการเช็คประวัติบรรดาหนุ่มสาวที่จะเข้ามาเป็นสมาชิก พร้อมนัดหมายเจอตัว เช่นเดียวกันกับการสัมภาษณ์งานทั่วไป ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของคนที่จะเข้ามาทำอาชีพนี้ได้ ต้องมีรูปร่างหน้าตาที่ดี เวลาพูดจาต้องมีเสน่ห์ชวนฟัง และประวัติการทำงานของหนุ่มสาวคนนั้นๆ ห้ามมีการขายบริการทางเพศมาก่อน บุคคลที่อยากประกอบอาชีพเพื่อนเที่ยว ต้องเข้าใจก่อนว่า การที่ลูกค้าจ้างให้คุณมากินข้างเป็นเพื่อน ไม่ใช่ว่าคุณจะคุยอะไรก็คุยไป แต่สิ่งที่จะทำให้คุณโดดเด่นและแตกต่างนั้น อยู่ที่คาแรกเตอร์ส่วนตัวของคุณ คุณจะสามารถเป็นเพื่อนสร้างความสุข และรับฟังความทุกข์ของลูกค้าได้มากน้อยขนาดไหน เมื่อผ่านกระบวนการคัดตัวแล้ว หนุ่มสาวที่เข้ามาเป็นสมาชิก จะถูกจัดระดับออกเป็น 2 ระดับ โดยคัดจากหน้าตา ชื่อเสียงในสังคม และอาชีพเป็นสำคัญ ซึ่งแบ่งออกได้ ดังนี้ 1.ระดับธรรมดาปกติ คือ เหล่าพริตตี้ และอาชีพทั่วไปของสังคม เช่น เซลส์ขายสินค้า พนักงานธนาคาร นักศึกษา เป็นต้น และ 2. ระดับท็อป คือ ดารา เน็ตไอดอล และเชียร์ลีดเดอร์มหาวิทยาลัย


ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ

ขณะที่ประเภทของลูกค้าที่เข้ามาจ้างงานนั้น ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มลูกค้าที่ค่อนข้างมีฐานะ และเป็นเพศชาย ไล่ตั้งแต่อายุ 17 ปี ไปจนถึงผู้สูงอายุ ซึ่งลูกค้าในกลุ่มอายุน้อยๆ มักจ้างไปเป็นแฟนปลอมๆ กินข้าว ดูหนังทั่วไป เพื่อหาประสบการณ์ในเชิงพูดคุยกับเพศตรงข้าม เนื่องจากไม่เคยมีแฟนมาก่อน ส่วนกลุ่มลูกค้าสูงอายุ มักเป็นกลุ่มคนเกษียณแล้ว แต่ลูกหลานไม่มีเวลาใหญ่

อย่างไรก็ตาม ช่วงอายุระหว่าง 25-35 ปี ถูกจัดให้เป็นลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการมากที่สุด เรียงลำดับเพศจากมากไปหาน้อย คือ เพศชาย เกย์ หญิง ขณะที่ลูกค้ากระเป็นหนักที่สุด มีช่วงวัยตั้งแต่ 48-60 ปี เรียงลำดับเพศจากมากไปหาน้อย คือ เพศชาย เกย์ หญิง เป็นต้น ซึ่งในปัจจุบันตลาดเพื่อนเที่ยวได้ขนาดไปที่กลุ่มเพื่อนเที่ยวชายมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการผู้ชายเป็นเพื่อนกินข้าว ดูหนัง หรือเลือกซื้อของ นั้นมีกำลังซื้อสูงมาก โดยเฉลี่ยแล้วมักจะมีการเหมาเป็นรายเดือน หรือบางครั้ง 3 เดือนเป็นต้น


วิธีการชำระเงินในบริการเพื่อนเที่ยว

หากลงลึกถึงธุรกิจจ่ายเงินซื้อเพื่อนชั่วคราวที่ว่านี้ สามารถขยายความได้ว่าธุรกิจเพื่อนเที่ยว หรือรับจ้างกินข้าวนั้น เปิดรับสำหรับลูกค้ากระเป๋าหนักที่มีกำลังทรัพย์พอที่จะจ่ายให้แก่หนุ่มสาวเหล่านี้ โดยเริ่มแรกลูกค้าจะต้องชำระเงินเพื่อขอดูข้อมูล อาทิ รูปร่างหน้าตา ประวัติพอสังเขปของเพื่อนเที่ยว ในสังกัดของออแกไนซ์เจ้าดังกล่าวเสียก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ข้อมูลของผู้ประกอบอาชีพเพื่อนเที่ยวรั่วไหลเกินความจำเป็น ตรงกันข้ามกับการส่งข้อมูลของสมาชิกของโมเดลสิ่ง ซึ่งโมเดลลิ่งจะเน้นไปที่การสร้างกรุ๊ป เพื่อให้ พริตตี้เข้ามาหางานในกรุ๊ป และมีการส่งข้อมูลสมาชิกให้กับลูกค้าก่อน หากลูกค้าโทรไปโมเดลลิ่ง 10 แห่ง ให้ส่งของมูลมาแห่งละ 10 คน เท่ากับว่า 1 วันลูกค้าจะได้ข้อมูลถึง 100 คน ทำให้ฝ่ายโมเดลลิ่งเป็นฝ่ายเสียเปรียบ เพราะข้อมูลรั่วออกไปเกินความจำเป็น รวมทั้งโมเดลลิ่งจะไม่มีการเปิดรับลูกค้าใหม่ แต่จะใช้วิธีดึงมาจากเครือข่ายที่เชื่อมโยงกัน ฉะนั้น โอกาสที่ลูกค้าจะได้เจอสมาชิกหน้าเก่าๆ จึงเป็นไปได้ง่าย

เพราะฉะนั้น ทางออแกไนซ์จะคิดค่าบริการเฉพาะสำหรับการให้ข้อมูลสมาชิกที่ว่างและพร้อมรับงานได้ในช่วง 1 สัปดาห์หรือ 1 เดือน ตามระยะเวลาที่ลูกค้าขอมาเท่านั้น โดยค่าบริการขั้นต่ำ สำหรับการให้ข้อมูลเพื่อนเที่ยว จะอยู่ที่ครั้งละประมาณ 5,000 บาทต่อสัปดาห์ ดูข้อมูลเมมเบอร์ได้ 17 คน ซึ่งรายได้ในส่วนนี้เป็นรายได้หลักของบริษัท5


วิธีปกป้องเพื่อนเที่ยว รักษาชื่อเสียงลูกค้า และการการันตีไม่มีค้าบริการทางเพศ

ทางออแกไนซ์จะมีกระบวรการเช็คประวัติลูกค้าอย่างละเอียด หากลูกค้ามีจุดประสงค์ที่จะเข้ามาในรูปแบบของการสืบค้นข้อมูล หรือเป็นนักข่าวแฝงตัวมา เราสามารถรับรู้ได้ทันที และจะไม่ให้บริการกับบุคคลนั้นๆ และผู้เกี่ยวข้องกับเขาอย่างเด็ดขาด  ส่วนอีกประเด็นของ ลูกค้าและเพื่อนเที่ยว จะมั่นใจได้อย่างไรว่างานบริการดังกล่าว จะไม่เข้าข่ายเพศพาณิชย์ ลูกค้าและสมาชิกทุกคนจะถูกตรวจสอบประวัติมาเป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นฝ่ายลูกค้า หรือเพื่อนเที่ยว ทุกฝ่ายไม่ต้องกังวลว่า ในช่วงของการบริการ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจถูกหลอกไปทำมิดีมิร้ายหรือก่อนให้เกิดเหตุการณไม่คาดฝัน แม้กระทั่งคนที่อาจเป็นถึงรัฐมนตรี ก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะทำเรื่องไม่ดี คือพูดตรงๆเลยก็ว่าได้ หากคุณคิดจะกินข้าว ก็ควรกินให้ถูกที่ ไม่ใช่นึกจะเอาข้าวไปกินในบ้านของใครก็ได้ เพราะฉะนั้นตอนแรกตกลงกันอย่างไร ลิมิตการทำงานได้แค่ไหนก็แค่นั้น และที่สำคัญคนเหล่านี้ไม่คิดเอาชื่อเสียงตัวเองมาเสี่ยง

แม้อาชีพ "เพื่อนเที่ยว" อาจจะดูวูบวาบฉาบฉวย ไร้ความมั่นคงแต่ปัจจุบันยังมีหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อยตบเท้าเข้าวงการดังกล่าวมากมายหลายร้อยหลายพันคนโดยทุกคนต่างหวังที่จะเข้าไปไขว่คว้าเงินตราก้อนโต แต่จะมีใครสักกี่คนที่รู้จักวงการนี้อย่างแท้จริง เพราะคุณอย่าลืมว่าทุกวงการ ทุกสาขาอาชีพมีทั้งดีและเลว


เพื่อนเที่ยวหญิง: เจาะใจเดนตี้ เพื่อนเที่ยวสายแบ๊ว ?

เพื่อเที่ยวที่ใช้นามแฝงว่า "เดนตี้" หุ่นดี ดีกรีนางแบบ เธอคนนี้ประกอบอาชีพเพื่อนเที่ยวมาแล้วกว่า 2 ปี เดนตุถ่ายทอดประสบการณ์จากอาชีพดังกล่าวว่า จุดเริ่มต้นที่ทำให้เดนตี้เข้ามาในวงการเพื่อนเที่ยว เหตุเพราะได้เจอกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ชักชวนเธอให้เธอไปเลือกซื้อของเป็นเพื่อนที่ห้างสรรพสินค้าด้วยกัน โดยมีค่าขนมให้เธอเป็นการตอนแทน มิใช่ให้เธอไปเดินอย่างเปล่าประโยชน์ ซึ่งการเลือกซื้อของครั้งนี้ ชายคนดังกล่าวได้ซื้อสิ่งของต่างๆ ให้เธอ พร้อมกับซื้อของกลับไปฝากแม่ของเธอด้วย "ตั้งแต่นั้นเป้นตนมา หนูรู้สึกว่าการไปเที่ยว และได้เงินเป็นค่าตอบแทน เป็นอาชีพสุจริต ไม่ได้เสียหายแต่อย่างใด หลังจากนั้น หนูได้เข้าไปค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับเพื่อนเที่ยว จนในที่สุดได้เข้ามาทำงานในวงการนี้อย่างจริงๆจังๆ" เดนตี้ สาวสวยวัย 24 ปี พูดถึงที่มาที่ไปของเธอ6


เพื่อนเที่ยวหญิง: ลูกค้าหลากสไตล์ ดูโหงวเฮ้ง เพ่นขนตา ปลอมมีครบ!

เดนตี้ เล่าถึงประสบการณ์ที่ได้พบเจอกับลูกค้าว่า ลูกค้าแต่ละคนมีสเปกที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความสูง 170 ซม.ขึ้นไปไม่ดัดฟัน ไม่ต่อผม ไม่ติดขนตาปลอม หรือบางรายชอบแบบธรรมชาติหน้าสด แต่ต้องสดแบบต้องดูดี สิวสักเม็ดต้องไม่มี ผิวต้องดี ทุกอย่างต้องเป๊ะ "ลูกค้าที่มาจ้างส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริหารบริษัทดัง โดยลูกค้ากลุ่มนี้จะดูที่โหงวเฮ้งของเราจะชอบตรงที่หน้าเราเป็นเหมือน สามภูเขา เขาบอกว่า ไม่สนใจว่าหน้าตาเป็นอย่างไร แต่โหงวเฮ้งต้องดี"


เพื่อนเที่ยวหญิง: สบาย รายได้ดี? เช็กเรตราคาหน่อย baby หรูหราอลังมาก honey!

เพื่อนเที่ยวมากประสบการณ์ถึงเรตราคาค่าตัวของเธอ เธอตอบพร้อมชูสามนิ้วว่า เรตราคาค่าตัวของเดนตี้ ขั้นต่ำอยู่ที่ 3,500 บาท ต่อการกินข้าว 1 มื้อ หรือประมาณชั่วโมงเดียว แต่ถ้าไปเที่ยวทั้งวัน เช่น ดูหนัง กินข้าว ค่าตัวประมาณ 5,000 บาท ซึ่งในแต่ละเดือนไม่สามารถระบุได้แน่ชัดว่า จะมีงานเพื่อนเที่ยวติดต่อจ้างวานเข้ามากี่วัน แต่สามารถประเมินเป็นตัวเลขกลมๆ ได้คร่าวๆ อยู่ที่ 50,000 บาท หรือบางเดือนอาจเหยียบหลักแสนบาทก็เคยมีมาแล้ว

"ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับความเสน่หาของลูกค้า หากลูกค้ากระเป๋าหนัก และเกิดความชื่นชอบในตัวเรามาก ลูกค้าท่านนั้นๆ อาจจะควักทิปเพิ่มให้อีก ซึ่งหนูเคยได้ทิปมากสุด 10,000 บาท และครั้งหนึ่ง เคยมีลูกค้าซื้อกระเป๋า PRADA มูลค่า 70,000 กว่าบาทให้ ไม่พอเท่านี้ เขายังให้เงินค่าตัวเพิ่มอีก 30,000 บาท เบ็ดเสร็จแล้วแสนกว่าบาทในหนึ่งวัน และนี่ถือเป็นยอดสูงสุดที่หนูเคยทำได้มา"


สถานะ 'เพื่อนเที่ยว' ต้องระวังใจ อย่าตกหลุมรักลูกค้า!

แน่นอนว่าการทำงานแบบนี้ย่อมต้องเจอคนมากหน้าหลายตา ทีมข่าวฯ ยิงคำถามกับสาวสวยที่นั่งอยู่ตรงหน้าว่า "เคยตกหลุมรักลูกค้าบ้างไหม" เดนตี้ ตอบกลับมาอย่างมั่นใจว่า "ไม่เคยค่ะ แต่เคยรู้สึกแค่ว่า พี่คนนี้น่ารักนิสัยดี อยากไปกินข้าวกับเขาอีก หรือมีพี่คนหนึ่งหล่อมากหน้าเด็ก แต่เขามีครอบครัวแล้ว ซึ่งเราในฐานะเพื่อนเที่ยว ต้องระวังตัวด้วย อย่าไปตกหลุมรักใคร เพราะถ้าเรารู้สึกดี เราก็อาจจะไปกับเขาฟรี พอลูกค้าคนอื่นรู้ เขาจะมองว่า ทำไมทีกับลูกค้าคนนี้ถึงไปฟรี แต่กับเขาต้องเสียเงิน"


นักเล่นหุ้น ผู้บริหาร ไฮโซ รมว. ส.ส.' ลูกค้าคนดัง หนูเจอจนชิน!

สำหรับลูกค้าของเดนตี้จะมีตั้งแต่อายุ 23-70 ปี โดยลูกค้าที่มีอายุยังน้อย จะจ้างไปเป็นเพื่อนซื้อรองเท้า นาฬิกา ตัดสูท ดูหนัง ส่วนลูกค้าอายุมากๆ หรืออายุราว 70 ปีนั้น จะจ้างไปเป็นเพื่อนกินข้าว ให้เราคอยดูแล หรือจูงมือเวลาเดินไปไหนมาไหน เพราะลูกหลานมักจะไม่ว่างพาไปเดินเล่น "แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ลูกค้าที่เจอจะเป็นกลุ่มคนรวย นักเล่นหุ้น ผู้บริหาร เจ้าของบริษัทใหญ่ๆ ไฮโซ รัฐมนตรีเก่า ส.ส. เราไม่ค่อยตกใจที่เจอคนดัง เพราะเจออยู่ตลอด คือ รถหรูๆ หนูนั่งมาหมดแล้วค่ะ" เธอหัวเราะพร้อมเอามือปิดปาก


ลูกค้าหื่น หวังเคลม เจอแบบนี้ต้องป้องกันอย่างไร?

นางฟ้าที่ต้องทำงานกับผู้ชายหลากนิสัยใจคอ ซึ่งผู้ชายบางคนเมื่อได้อยู่ใกล้ชิดสาวสวย ย่อมอดใจไม่ไหวเป็นแน่ เดนตี้ เปลือยประสบการณ์ให้ทีมข่าวฟังว่า "เคยอยู่ในลิฟต์กับลูกค้าคนหนึ่ง จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาว่า พี่ขอกอดหน่อยได้ไหม เราก็ไม่ตอบอะไรได้แต่ยิ้มยืนนิ่ง เขาก็ไม่ได้ขยับหรือทำท่าทีว่าจะเข้ามาประชิดตัวเรา เลยรู้สึกโชคดีที่เจอลูกค้ามีมารยาท เหมือนเขาก็อยากกอด แต่ก็เกรงใจเพราะเราไม่พูดอะไร และมีบางคนที่ไปดูหนังด้วยกันพยายามจะแอบจับหน้าอก เราก็ต้องมีสติเอากระเป๋ามาบังไว้ ลูกค้าบางคนชวนไปเที่ยวผับ เราก็ปฏิเสธเพราะปกติเป็นคนไม่ดื่มไม่เที่ยวกลางคืนอยู่แล้ว"

แม้จะเป็นสาวสวยสายแบ๊วอย่างเธอ แต่เธอก็ไม่ประมาท เพราะเธอมีอุปกรณ์ป้องกันตัวที่พกติดตัวไว้ในยามที่ต้องไปทำงาน ซึ่งมีทั้งสเปรย์พริกไทย เครื่องช็อตไฟฟ้า มีดพก และศิลปะการป้องกันตัวที่เคยร่ำเรียนมา อีกทั้งเธอยังปกป้องตัวเองด้วย เสื้อผ้าการแต่งกายที่รัดกุมอยู่เสมอ เธอเล่าว่า "เคยมีลูกค้าบางคนบอกให้เราแต่งตัวแนวน่ารักเซ็กซี่ เราก็จัดให้โดยใส่รองเท้าส้นสูง กางเกงยีนส์ขายาว เสื้อเข้ารูปแต่แขนยาว แต่งหน้าทาปากแดง ม้วนผม เราก็บอกเขาว่า คำว่าเซ็กซี่ไม่ต้องโป๊นี่คะ


เพื่อนเที่ยวชาย: ชนวนเริ่มต้นบริการจ้างเที่ยว

ต่อกันด้วยเพื่อนเที่ยวหนุ่ม วาคิม ชายฉกรรจ์หน้าตาคมเข้มวัย 29 ปี ปัจจุบันประกอบอาชีพพริตตี้ นายแบบ เล่าถึงประสบการณ์การก้าวเข้ามาในวงการเพื่อนเที่ยวอย่างคล่องแคล่วตามสไตล์หนุ่มสังคมว่า วาคิมรับงานจ้างเที่ยวมานานกว่า 2 ปี โดยตลอดระยะเวลา 7 ปี ที่อยู่ในวงการพริตตี้ วาคิมไม่เคยรู้จักอาชีพเพื่อนเที่ยวมาก่อนเลย จนได้มาเจอเพื่อนนายแบบที่รับงานจ้างกินข้าวเป็นเพื่อน และเอเจนซี่ที่ทำธุรกิจประเภทดังกล่าวได้เข้ามาชักชวน จึงเป็นจุดเริ่มต้นให้เข้ามาในวงการ "รับจ้างเที่ยว" เมื่อมีการติดต่อจากทางออแกไนซ์จัดหางานจ้างเที่ยวเข้ามา อันดับแรกทางออแกไนซ์ก็จะแจ้งถึงข้อมูลของลูกค้าเบื้องต้น อาทิ เพศ นิสัยใจคอ และความชื่นชอบ อีกทั้งออแกไนซ์ก็จะแจ้งช่วงเวลาที่ลูกค้าต้องการรับบริการ ซึ่งแจ้งพร้อมกันกับเรตราคาค่าตัวที่ผู้รับจ้างเที่ยวจะได้รับ หากผู้รับจ้างเที่ยวตอบตกลงก็เป็นอันเริ่มงาน7


เพื่อนเที่ยวชาย: งานไม่ชุก! ชายเสียเปรียบหญิง เหตุลูกค้าส่วนใหญ่ชายแท้

"สำหรับงานจ้างเที่ยว ผู้หญิงมักจะได้เปรียบกว่าผู้ชายมาก เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชาย จึงต้องการผู้หญิงไปเป็นเพื่อน ขณะที่ผมใช้เวลาในการทำงานจ้างเที่ยว 2 ปี แต่เคยรับงานเพียงแค่ 6-7 ครั้งเท่านั้น ซึ่งใน 6-7 ครั้งที่รับงาน เคยเจอทั้งลูกค้าที่เป็นผู้หญิง และลูกค้าที่เป็นเกย์ แต่นับว่างานประเภทนี้ไม่ได้มีเข้ามาบ่อยๆ อย่างที่หลายคนคิด" วาคิมเล่าไปตามความจริง

ขณะที่ ความแตกต่างในความต้องการรับบริการระหว่างลูกค้าหญิงและเกย์นั้น ไม่เหมือนกัน วาคิมเปรียบเทียบให้ฟังว่า ลูกค้าหญิงจะต้องการให้ผู้รับจ้างเที่ยวอยู่เป็นเพื่อนตลอด 1 วัน ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น กินข้าว ดูหนัง ฟังเพลง ร้องคาราโอเกะ หรือแม้กระทั่ง นั่งฟังสารทุกข์สุกดิบของเธอ ส่วนลูกค้าเกย์มีกิจกรรมเช่นเดียวกับลูกค้าหญิง แต่จะแตกต่างกันตรงที่ลูกค้าเกย์อาจมีสัมผัสเนื้อตัว หรือแตะๆ ตัวเล็กน้อย แต่จะไม่ไปถึงขั้นลวนลาม โดยลูกค้าที่อายุน้อยทีสุดเท่าที่วาคิมเคยเจอ คือ เด็กมัธยมปลายชาย ส่วนลูกค้าที่อายุมากที่สุดเป็นเพศหญิง อายุเหยียบ 40 ปี


เพื่อนเที่ยวชาย: เปิดอัตราค่าจ้างเพื่อนเที่ยวชาย

"เรตราคาที่ผมรับอยู่ที่ 4,000-5,000 บาท หรือลูกค้าบางรายยอมจ่ายมากกว่า 10,000 บาท ซึ่งตรงนี้ผมก็ยินดีรับ ซึ่งเรตราคาก็จะขึ้นอยู่กับออแกไนซ์ หรือผู้จัดหางานเป็นองค์ประกอบร่วมด้วย ส่วนเรตราคานี้จะต้องทำงานกี่ชั่วโมงนั้น จะขึ้นอยู่กับฝ่ายลูกค้า เพราะลูกค้าบางคนต้องการให้ไปเป็นเพื่อนกินข้าว 1 มื้อ หรือบางรายนัดกินข้าวตอนบ่าย แล้วต่อด้วยร้องคาราโอเกะตอนหัวค่ำ" วาคิม นายแบบหนุ่มวัย 29 ปีเปิดอกเล่าอย่างเปิดเผย8

วาคิม ได้ยกตัวอย่างประสบการณ์รับจ้างเพื่อนเที่ยวให้ทีมข่าวฟังอย่างอารมณ์ดีอีกว่า ครั้งหนึ่งวาคิมเคยรับงานวันเกิดลูกค้าท่านหนึ่ง ซึ่งทางลูกค้าได้ว่าจ้างเพื่อนเที่ยวไปหลายราย เพื่อให้เพื่อนเที่ยวไปรับหน้าที่สร้างความสุขเฮฮา และร้องเพลงให้แก่เจ้าของวันเกิดและแขกในงาน ซึ่งในงานดังกล่าว ทางลูกค้าชื่นชอบการบริการของเพื่อนเที่ยวที่ไปในครั้งนั้นอย่างมาก จึงตบรางวัลให้เป็นจำนวนเงินค่อนข้างสูง โดยมากถึง 6,000 บาทต่อคน


เพื่อนเที่ยวชาย: หน้าตา ฉาบฉวย ไร้มั่นคง! มองอนาคตเพื่อนเที่ยว

ทีมข่าวถามวาคิม ถึงความมั่นคงในอาชีพเพื่อนเที่ยว อาชีพที่ต้องใช้หน้าตาและอายุในการทำมาหากิน เขาตอบสวนมาในทันทีว่า "อาชีพนี้ไม่มีอะไรที่มั่นคง ไม่มีอะไรที่มั่นคง ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน เพราะมีเด็กรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ และหน้าตาดีเข้ามาแทนที่เรามากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งลูกค้าก็ต้องการเด็กใหม่ๆ ที่อายุยังน้อยๆ เข้ามาบริการ โดยผมวางแผนอนาคตไว้ว่า เมื่อถึงจุดอิ่มตัว ผมจะเปิดธุรกิจเล็กๆ สักอย่างเอาไว้เป็นรายได้" โดยวาคิมยังฝากถึงหนุ่มสาวที่มีความต้องการจะเข้ามาทำงานในวงการเพื่อนเที่ยวว่า อาชีพนี้ไม่ได้ใช้เพียงแค่หน้าตาอย่างที่หลายคนเข้าใจ เพราะอันที่จริงแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องมีหน้าตาที่ดีมาก แต่เพียงมีหน้าตาที่พอใช้ ความสามารถค่อนข้างดี มีความรู้ ไหวพริบ บุคลิกภาพที่ดี และรู้จักตรงต่อเวลา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ "เพื่อนเที่ยว"


สรุป

กระบวนการกลายเป็นเพื่อนเที่ยวเริ่มมีตั้งแต่ระบบเศรษฐกิจไทย มีการขยายตัวอย่างกว้างขวาง เมื่อไม่นานมานี้การขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นตัวเริ่มทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และการให้บริการที่มีคุณภาพระดับสูง และกำลังจะขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวขึ้นสู่การเป็นเศรษฐกิจดิจิทัลและใช้ศักยภาพทางเศรษฐกิจอย่างเต็มขีดความสามารถ ผลักดันแนวคิดที่จะสร้างรายได้และสะสมทุนเพื่อใช้จ่ายในสิ่งที่ตอบสนองความต้องการ กิจกรรมการบริการเพื่อนเที่ยว เป็นกิจกรรมที่ตอบโจทย์ของคนสมัยใหม่ เพื่อนเที่ยวเป็นธุรกิจเป็นเภทหนึ่งที่เกิดในระบบทุนนิยม ที่สามารถแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราได้จากการซื้อเวลา และรูปร่างหน้าตาในการทำกิจกรรมไปกินร่วมกันกับผู้ซื้อกิจกรรม เช่น การกินข้าว ดูหนัง แม้กระทั่งไปนั่งพูดคุยกันตามร้านต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้ได้ถูกแลกมาเป็นเงินตราในจ้างคนที่มีอายุระดับเดียวกัน รูปร่างหน้าตาดีให้เขามาอยู่ในวงการการเที่ยวแบบชั่วครั้งชั่วคราว ระบบทุนนิยมได้ผลิตธุรกิจแบบใหม่โดยที่ใช้ทุนเพียงแค่เวลา กับรูปร่างหน้าตา และกิจกรรมเพื่อผลิตผลผลิตรูปแบบใหม่ออกสู่ตลาด ในปัจจุบันผลผลิตในสังคมแทบทุกชนิดได้ถูกแปรสภาพไปเป็นสินค้าแล้วแม้กระทั่งในตัวมนุษย์ เวลาของมนุษย์ รูปร่างหน้าตาก็กลายเป็นสินค้า และระบบเสรีทางการค้าเกิดขึ้นการเข้ามาของอาชีพเพื่อนเที่ยวก็เกิดขึ้นเช่นด้วยกันเพราะอาชีพเพื่อนเที่ยวสามารถทำเป็นอาชีพเสริมได้ เนื่องจากเป็นงานที่ไม่ตายตัว และไม่มั่นคง แต่ที่มีคนอยากทำเป็นจำนวนมากเพราะมีค่าจ้างที่สุด ค้าจ้างที่สูงมาจากการครอบงำทางสังคมเกี่ยวกับรูปร่างหน้าตา เพราะเพื่อนเที่ยวส่วนใหญ่ไม่ว่าหญิงหรือชาย จะมีรูปร่าง หน้าตาดี และถ้ามีความสามารถอื่นนอกเหนือจากนี้ก็จะสามารถเพิ่มมูลค่าการบริการได้อีกเป็นจำนวนมาก อาชีพเพื่อนเที่ยวเกิดมาพร้อมกับตลาดการค้ารูปแบบใหม่ที่สนับสนุนให้คนทำอะไรก็ได้เพื่อเงินโดยการคำนึงถึงกรอบความคิดและวัฒนธรรมน้อยลงไป


 

บรรณานุกรม

เกริกเกียรติ พิพัฒน์เสรีธรรม(1981).การเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองกับการรวมอำนาจทางเศรษฐกิจโดยเอกชนในประเทศไทย.

เงินแลกเพื่อน. ไทยรัฐออนไลน์ (2558). เข้าถึงข้อมูล 15 มีนาคม 2561 , แหล่งที่มา https://www.thairath.co.th/content/544183

ฉัตรทิพย์ นาถสุภา. ลัทธิเศรษฐกิจการเมือง . กรุงเทพฯ. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย., 2546 : 142  146

ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร.ความเปราะบางของโลกหลังยุคสงครามเย็น . กรุงเทพฯ.รัฐศาสตร์สาร. 2547 ปีที่ 25ฉบับที่ 2 :30-34

ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร.ความเปราะบางของโลกหลังยุคสงครามเย็น . กรุงเทพฯ.รัฐศาสตร์สาร. 2547 ปีที่ 25ฉบับที่ 2 :35-40

ณรงค์ เพร็ชประเสริฐ(1981).การขยายตัวของทุนนิยมในประเทศไทยตั้งแต่พ.ศ.2488 ถึงปัจจุบัน

ทรายทิพย์ ธีระเดชพงศ์ . (2553). กระบวนการที่ทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า : กรณีศึกษามวยไทยผ่านสื่อโทรทัศน์. กรุงเทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์.ทฤษฏีพึ่งพาและเทววิทยาแห่งการปลดปล่อย.กรุงเทพฯ.สำนักพิมพ์มูลนิธิวิถีทรรศน์. 2544 :115-117

ธนชาติ แสงประดับ ธรรมโชติ. (2554). เศรษฐกิจทุนนิยมกับการดูดกลืนทางสังคม

ปิญชาน์ บัวขวัญ , จุรีรัตน์ บัวแก้ว(2558). กระบวนการกลายเป็นเมียฝรั่งภายใต้บริบทสังคมและวัฒนธรรมในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา. คณะศิลปะศาสตร์. สาขาวิชาพัฒนามนุษย์และสังคม. มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา

ปัญญา เลิศสุขประเสริฐ. (2548). กระบวนการกลายเป็นสินค้าของพิธีกรรมงานศพ. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต. เศรษฐศาสตร์ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

แฟน(รับจ้าง)ออนไลน์. กรุงเทพธุรกิจ. (2561). เข้าถึงข้อมูล 15 มีนาคม  2561 ,แหล่งที่มา http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/698882

มนตรี เจนวิทย์การ(1974). กลุ่มผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในประเทศไทย.วารสารธรรมศาสตร์

"รับจ้างเที่ยว" อาชีพใหม่ของสาวๆ ผู้หลงแสงสี. มติชนออนไลน์ (2550) เข้าถึงข้อมูล 15 มีนาคม 2561 ,แหล่งที่มา https://www.dek-d.com/lifestyle/5007/

อนุสรณ์ ลิ่มมณี. ทฤษฎีเศรษฐกิจการเมืองยุคปัจจุบัน. กรุงเทพฯ. มหาวิทยาลัยรามคำแหง, 2545 : 132-143

อะมีมะ แซ่จู (2557). กระบวนการกลายเป็นสินค้าของหัตถกรรมฝีมือชาติพันธุ์ลีซู. ศิลปะ ศาสตร์มหาบัณฑิต. สาขาวิชาชาติพันธุ์สัมพันธ์และการพัฒนา. มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

Annette Fuentes and Barbara   Ehrenreich. Women in the Global Factory (Boston: South End Press) , 1987,  p 42

Ingram,James C (1974).Economics Change in Thailand,1985-1970.California: Stanford University Press.

Nartsupha, Chatthip and Suthy Prasartset (1981).The Political Economy of Siam,1851-1910.Bangkok : The Social Science

Wallerstein,Immanuel (1974).The Modern World I.California: Academic Press Inc.

Wallerstein,Immanuel (1974).The Modern World III.California: Academic Press Inc.

 

เชิงอรรถ

1 ธนชาติ แสงประดับ ธรรมโชติ. (2554). เศรษฐกิจทุนนิยมกับการดูดกลืนทางสังคม

2 ธนชาติ แสงประดับ ธรรมโชติ. (2554). เศรษฐกิจทุนนิยมกับการดูดกลืนทางสังคม

3 ทรายทิพย์ ธีระเดชพงศ์ . (2553). กระบวนการที่ทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า : กรณีศึกษามวยไทยผ่านสื่อโทรทัศน์.

4 ทรายทิพย์ ธีระเดชพงศ์ . (2553). กระบวนการที่ทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า : กรณีศึกษามวยไทยผ่านสื่อโทรทัศน์.

5 ทรายทิพย์ ธีระเดชพงศ์ . (2553). กระบวนการที่ทำให้วัฒนธรรมกลายเป็นสินค้า : กรณีศึกษามวยไทยผ่านสื่อโทรทัศน์.

6 ไทยรัฐออนไลน์, เงินแลกเพื่อน Ep.2 ลับ ลวง สยิว! เปิดประสบการณ์เพื่อนเที่ยวสุดอึ้ง(online), 4 ธันวาคม 2558.แหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/content/544183

7 ไทยรัฐออนไลน์, เงินแลกเพื่อน Ep.2 ลับ ลวง สยิว! เปิดประสบการณ์เพื่อนเที่ยวสุดอึ้ง(online), 4 ธันวาคม 2558. แหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/content/544183

8 ไทยรัฐออนไลน์, เงินแลกเพื่อน Ep.2 ลับ ลวง สยิว! เปิดประสบการณ์เพื่อนเที่ยวสุดอึ้ง(online), 4 ธันวาคม 2558. แหล่งที่มา : https://www.thairath.co.th/content/544183

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์'ชะตากรรมที่ซ้อนทับกันระหว่าง พิน บางพูด และ วัฒน์ วรรลยางกูร

Posted: 31 Mar 2018 08:54 AM PDT

ยิ่งกว่านิยาย

แม้ว่า 'วัฒน์ วรรลยางกูร' จะได้เคยกล่าวถึง 'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์' (1981) นวนิยายเรื่องที่ 2 ของเขาว่า "...เป็นนิยาย เป็นเรื่องแต่ง เพียงแต่คนเขียนไม่เก่งมากขนาด ปั้นน้ำเป็นตัว หรือสร้างวิมานในอากาศ จึงอาศัยหยิบเหตุการณ์และตัวละครจริงส่วนหนึ่ง ประสมประเสวาดแต่งให้เป็นนิยายขึ้นมา ...นิยายก็คือนิยาย แม้อิงประวัติศาสตร์ ก็มิใช่บันทึกประวัติศาสตร์โดยตรง อยากรู้เบื้องลึกประวัติศาสตร์ ยังมีให้หาอ่านได้ แม้จะค่อนข้างบีบคั้นหวงห้าม…"

และเมื่อได้กลับมาอ่าน 'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์' อีกครั้ง ประกอบกับติดตามความเป็นไปของนักเขียนผู้ผ่านวัยเกษียณอย่างเขาในห้วงปัจจุบัน (2018) กลับพบว่า บทบาทสมมติ อย่าง 'พิน บางพูด' ตัวละครหลักของ 'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์' ก็แทบจะแนบแน่นเป็นหนึ่งเดียวกับวิถี วัฒน์ วรรลยางกูร ตัวผู้เขียน ไม่ว่า พื้นเพชีวิต อาชีพการงาน ความคิดความอ่านและแน่นอนอุดมการณ์ของตัวละครและผู้เขียน

'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์' เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์การเมืองว่าด้วยหนุ่มสาวนักอุดมคติที่มีความคิดฝันดีงามเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมบ้านเมืองจากเงื้อมมือเผด็จการศักดินาและบรรดาขุนศึกให้เป็นสังคมอุดมคติ ให้ประชาชนได้มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค แต่อำนาจที่พิน บางพูด ไม่อาจพูดถึงได้ต่างหากที่ชักใยอยู่เบื้องหลังให้เกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 1973และจบลงด้วยโศกนาฏกรรมการล้อมฆ่านักศึกษาปัญญาชนในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1976 ซึ่งวัฒน์ วรรลยางกูรเรียกว่า 'วันที่ 14 คือวันเตะหมูเข้าปากหมาป่า วันที่ 6 คือวันหมาป่าขย้ำลูกแกะ

งานเขียนประเภทนวนิยายของวัฒน์ วรรลยางกูร ไม่ว่าเรื่อง 'ฉากและชีวิต l มนต์รักทรานซิสเตอร์ lจิ้งหรีดกับดวงดาว l บนเส้นลวด l คือรักและหวัง l ปลายนาฟ้าเขียว l สิงห์ สาโท และThe Pick-Up ขับชีวิตสุดขอบฟ้า เขามักสร้างตัวละครหลักที่มีพื้นเพเป็นหนุ่มปัญญาชนคนบ้านนอกที่ชีวิตรุ่มรวยด้วยความรักความผูกพันแต่กลับขาดตกบกพร่อง ขาดโอกาส ขาดทรัพย์สิน แต่ใฝ่ถวิลปีนป่ายไปให้ถึงดวงดาว

ตัวละครหลักในนวนิยายของวัฒน์ วรรลยางกูรมักเป็นนักต่อสู้นักปีนป่ายที่ต้องทุ่มเททั้งชีวิตและหัวใจเพื่อไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งโอกาสภายใต้โครงสร้างที่มีคนบางกลุ่มกุมบังเหียนเอาไว้มั่นไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ทางเศรษฐกิจ ทางสังคมและการเมือง ก็ไม่เคยเปิด ไม่เคยเอื้อให้และหากใครบังอาจแหยมหรือล้ำเส้นก็ต้องเซ่นสังเวยด้วยโศกนาฏกรรมทั้งในนามส่วนตัวและในนามของประเทศชาติ

ฉากและชีวิตของนวนิยายของวัฒน์ วรรลยางกูรมันอบอวลด้วยกลิ่นสาบไอของคุ้งคลองท้องนาไปจนถึงบ้านเช่าซอมซ่อใจกลางกรุงของหนุ่มนักอุดมคติบ้านนอกผู้วิ่งไล่ไขว่ความฝันผู้มีวันเวลากลับไปเยี่ยมพ่อแก่ แม่และน้องเป็นครั้งคราวเมื่อยามอกหักหรืออยากพักจากเรื่องราวอันหม่นเศร้าในเมืองใหญ่

แม้ว่า 'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์' จะเป็นนวนิยายการเมืองเข้มข้นที่ส่งผลนำพาหนุ่มสาวนักศึกษา นักกิจกรรมหลายคนที่เคยอ่านให้ดั้นด้นค้นหาความหมายของชีวิตเหมือนพิน บางพูด ตัวละครเอกของเรื่อง แต่ความเป็นวัฒน์ วรรลยางกูร ผู้เป็นเหมือนตู้เพลงลูกทุ่งเคลื่อนที่ก็ไม่ละเลยที่จะหยอดเพลงลูกทุ่งคลาสสิคเข้าไปในเรื่องเล่าอันข้นคลั่กอย่างแยบคาย และใน'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์'นั้น พบว่า เพลงลูกทุ่งอย่าง สมัครรัก สมัครแฟน – ชาตรี ศรีชล l ฮักกันบ่ได้ดอก – สุชาติ เทียนทอง l ดอกรักบานแล้ว – ศรคีรี ศรีประจวบ l ผู้เสียสละ – สายัณห์ สัญญา l เหมือนข้าวคอยเคียว – เพลินพิศ พูลชนะ l บ้านนาสัญญารัก – นิยม มารยาท l คืนนั้นสวรรค์ล่ม/รังรักในจินตนาการ – ทูล ทองใจ l แหม่มปลาร้า – สายัณห์ สัญญา l น้องนางบ้านนา –ปอง ปรีดา ถูกหยอดถูกวางไว้ในที่ทางเพื่อสร้างอรรถรสของเรื่องเล่าให้มีเสียงเพลงคละเคล้าอย่างได้อารมณ์

ในวันที่ 'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์' นวนิยายที่เขาคิดพล็อตในห้วงเวลาลี้ภัยการเมืองในวัยหนุ่ม (1979) กลับมาตีพิมพ์อีกครั้งในวันนี้ (2018) เป็นวันที่วัฒน์ วรรลยางกูร ต้องลี้ภัยการเมืองการเมืองอีกครั้งนับแต่รัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2014 เป็นต้นมา ชะตากรรมของเขาในฐานะผู้เขียนกับพิน บางพูด ตัวละครที่เขาสร้างขึ้นจากจินตนาการดูไม่แปลกแตกต่างแม้ว่ากาลเวลาจะล่วงผ่านไปได้ 39 ปีแล้ว นั่นก็หมายความว่า ประเทศชาติในอุดมคติของเขา (แน่นอน- ของเราด้วยสิ) ยังอยู่ใต้อุ้งตีนและคมเขี้ยวของหมาป่าบ้าเลือด

ชะตากรรมของวัฒน์ วรรลยางกูรในวัย 24 ปีที่เขาเริ่มคิดพล็อต 'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์' ยังคงมีชะตากรรมเดียวกันกับวัฒน์ วรรลยางกูรในวัย 63 ปี และซ้อนทับอย่างสนิทแนบเนียนกับชะตากรรมของ พิน บางพูด ตัวละครหลักของ'ด้วยรักแห่งอุดมการณ์'ที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาเมื่อเกือบสี่ทศวรรษที่ผ่านมา

ประเทศชาติแบบไหนที่บีบคั้นกดดันให้นักคิด นักเขียน ปัญญาชนต้องหลบลี้หนีภัยการเมือง?

 

หมายเหตุ หนึ่ง l ภาพ portrait โดย สุมาลี เอกชนนิยม

หมายเหตุ สอง l หากต้องการซื้อหนังสือ "ด้วยรักแห่งอุดมการณ์" สามารถหาซื้อได้ที่บู๊ธอ่าน และไรเตอร์ซีเคร็ท S39 โซน C2 ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ หรือสั่งซื้อออนไลน์กับสำนักพิมพ์ลูกสมุน โดยคลิกเข้าไปตามลิงค์นี้ครับ https://www.facebook.com/looksamoon

 


วัฒน์ วรรลยางกูร: จากผู้เขียนถึงผู้อ่าน

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: เลื่อนไม่เลื่อนก็เลอะ

Posted: 31 Mar 2018 08:27 AM PDT



เลื่อนเลือกตั้งอีกแล้วหรือ ชาวบ้านกังขา หลังยึกยักกั๊กไปโยกมา 2 สัปดาห์ ในที่สุด 27 สนช.ก็เข้าชื่อส่ง พ.ร.ป.เลือกตั้งให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ซึ่งอย่างเร็ว คงใช้เวลาเดือนกว่า ส่วนอย่างช้า… อ้าว จะไปเร่งศาลได้ไงล่ะ ทำยุ่งกันเอง โทษศาลไม่ได้นะ

บิ๊กป้อมยืนยันไม่เลื่อนเลือกตั้งเกินโรดแม็ป ก.พ. 62 เชื่อได้ไหม ต้องเชื่อสิ เมื่อท่านให้คำมั่น แต่ถ้าจำเป็นต้องเลื่อน ก็อย่าไปทวงท่านเชียวนะ เดี๋ยวจะโดนตรวจท่อน้ำเลี้ยง แบบคนอยากเลือกตั้งทวงคำมั่นเลือกตั้ง พ.ย.61

ลุงตู่ก็ยืนยัน จำเป็นต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ทฤษฎีสมคบคิด แค่นักกฎหมายใน กรธ. สนช. ต่างคนต่างคิด ไม่มีใครผิด แต่เพราะคิดไม่สมคบกันก็เลยต้องส่งศาลตีความ

หวังว่าประชาชนคงเชื่อท่าน ทีเรื่องอื่นสั่งได้ซ้ายหันขวาหัน ทีเรื่องนี้กลับให้เสรีภาพทางความคิด แบบ สนช.เลื่อนเลือกตั้ง 90 วัน ท่านก็บอกว่าสั่ง สนช.ไม่ได้

ชาวบ้านไม่งงได้ไง กรธ.ยกร่างกฎหมาย สนช.แก้ไข แล้วตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย เสียงส่วนใหญ่ตกลงกันได้ เอากลับไปผ่าน สนช.ด้วยมติท่วมท้น จนจะส่งนายกฯ ทูลเกล้าฯ อยู่แล้ว จู่ๆ ปู่มีชัยกลับทักว่าขัดรัฐธรรมนูญ

ที่ผ่านมาทั้งกระบวนการ ปู่ไปนั่งหลับอยู่ไหน กรธ. สนช.ทำไมไม่ถกให้กระจ่าง นี่ถ้าศาลตีความไม่ขัด เสียเวลาฟรี ใครรับผิดชอบ ชาวบ้านก็จะชี้ลุงตู่นี่แหละ ไม่ชี้ปู่มีชัยหรอก

อธิบายยังไง คนก็ไม่เชื่อ ว่ามือกฎหมายชั้นปรมาจารย์ใน คสช.กรธ.สนช. ร่วมด้วยช่วยกันวุ่น ไปคนละทิศละทาง

หรือแม้ความจริงจะเป็นอย่างนั้น ลุงตู่ก็พูดไม่ออกเหมือนกัน มีแต่คนที่พอเข้าใจหลักกฎหมาย และตามดูผลงาน กรธ.สนช.มาแต่ต้น จึงเห็นว่าเลอะกันเหลือเกิน อย่างองค์กรอิสระ เดี๋ยวก็รีเซ็ต เดี๋ยวเซ็ตซีโร่ เดี๋ยวอยู่ต่อ เดี๋ยวต่ออายุ นี่กฎหมายลูกของรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันไหม

อย่าว่าอื่นไกล พรรคการเมืองยังถาม ใครร่างคำสั่ง คสช.53/2560 ให้ยุบสาขาพรรค จนกว่าจะมีการประชุมกรรมการบริหารพรรค แต่จะเปิดประชุมกรรมการบริหารพรรคได้ ก็ต้องมีสาขาพรรคก่อน อ้าว นี่จะออกคำสั่งปริศนาโลกแตกหรือไง ไก่กับไข่อันไหนเกิดก่อนกัน

ว่าตามเนื้อผ้า ประเด็นอนุญาตให้ช่วยเหลือคนพิการลงคะแนน ฟังเหมือนน่าตีความ แต่ไม่น่าถึงขั้นเลือกตั้งโมฆะ อย่างที่เอามาขู่กัน เพียงแต่บ้านนี้เมืองนี้ ล้มเลือกตั้งง่ายเหลือเกิน จนเป็นโรคหวาดผวา แล้วถ้ากลัวอย่างนั้น เขียนกฎหมายให้ภาษารัดกุมก็ป้องกันได้

แต่สายเสียแล้ว เมื่อยื่นตีความก็ต้องใช้เวลา กระนั้นถ้าไม่อยากถูกกล่าวหาจงใจเลื่อนเลือกตั้ง คสช.ก็ยังแก้ได้ เพราะสามารถเตรียมความพร้อมต่างๆ ระหว่างรอโปรดเกล้าฯ และรอกฎหมายมีผลบังคับใช้ 90 วัน ถ้าพร้อมทุกอย่างก็จัดเลือกตั้งได้ใน 60-90 วัน ไม่ต้องรอ 150 วัน

ตรงนั้นจะวัดความจริงใจ ไม่ conspiracy ไม่ใช่มีเวลาเท่าไหร่ก็ใช้ซะเต็มเหยียด

คำถามสำคัญคือ คสช.พร้อมเข้าสู่เลือกตั้งหรือยัง ลุงตู่จะเปิดเฟสบุ๊ค ก็ลองถามชาวบ้านดูสิ เชื่อหรือไม่ ท่านอยากเลือกตั้งเต็มทีแล้ว อยากลงจากเก้าอี้ ไปขี่ช็อปเปอร์กับเพื่อนรักฉัตรชัย (หรือไม่ลงจากเก้าอี้ เป็นนายกฯ คนนอกต่อ ก็ถามจริง พร้อมไหม)

ประเทศไทยวันนี้เหมือนอยู่กันด้วยการแขวนเหยื่อล่อไว้ข้างหน้า ขอเวลาอีกไม่นาน จะมีเลือกตั้งๆๆ แต่ไม่รู้เมื่อไหร่ และไม่รู้มีเลือกตั้งแล้วจะเป็นอย่างไร ระบอบนายกฯ คนนอก ส.ว.แต่งตั้ง จะมั่นคงจริงไหม

ทั้งหมดนี้คือความไม่แน่นอน เชื่อมั่นเชื่อถืออะไรไม่ได้เลย นอกจากเชื่อบุพเพสันนิวาส แล้วก็ทำมาหากินกันไปวันๆ

เราอยู่กับความเชื่อว่าเดี๋ยวจะมีเลือกตั้งๆๆ.. อดทนอดกลั้นกันหน่อย ตั้งแต่ร่างรัฐธรรมนูญบวรศักดิ์แล้วคว่ำ ผ่านประชามติร่างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญประกาศใช้ ท่านผู้นำให้คำมั่น พ.ย.61 แต่ สนช.ยื้อบทเฉพาะกาล แล้วท่านก็ให้คำมั่นอีกที ก.พ.62

ถ้าบอกกันเสียแต่แรกว่าจะอยู่ 5 ปี ก็ยังมีความมั่นคงแน่นอน ไม่ต้องมาผัดผ่อน จนถูกทวงไม่หยุดหย่อน

พูดอย่างนี้ไม่ใช่จะว่า คสช.แขวนเหยื่อล่อ หลอกให้รอเลือกตั้งไปเรื่อยๆ ลดแรงกดดัน จะไปแล้วนะ ไม่ต้องไล่ ฯลฯ แบบนั้นยังไม่เท่าไหร่

ที่น่าหนักใจคือ คสช.ก็ไม่รู้ไง ไม่แน่นอน ไม่แน่ใจ ตัวเองก็กำหนดไม่ได้จะลงจากอำนาจเมื่อไหร่ ลงแบบไหน ลงแล้วจะเป็นอย่างไร ฯลฯ ได้แต่อยู่ไปวันต่อวันเหมือนกัน

 

ที่มา: www.khaosod.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: จาก Barmouth ถึง ดอยสุเทพ

Posted: 31 Mar 2018 08:20 AM PDT


"Barmouth: Wales"

เมืองท่องเที่ยว ด้านหน้า ติดทะเล
คลื่นลมเห่ สู่หาด ซัดสาดสาย
บ้านเรือนเลียบ ชายฝั่ง ตั้งเรียงราย
เรียบง่าย วิถีชน คนพื้นเมือง

ด้านหลังพิง หินหนา ภูผาใหญ่
ภาษาใช้ กาลก่อน ย้อนฟูเฟื่อง
ธงสัญลักษณ์ มังกรแดง แผดเเสงเรือง
ประยุกต์เนื่อง ใหม่-เก่า เข้าด้วยกัน

ร้านขายเนื้อ- ขนมปัง ครั้งปู่-พ่อ
ลูกสานต่อ กิจการ งานเเข็งขัน
ไม่มีร้าน นายทุนใหญ่ ไปกดดัน
เขาแบ่งปัน สรรสร้าง กันอย่างไร??

หลังตัวเมือง ตามเนิน เดินขึ้นเขา
โบสถ์หินเก่า ตั้งตะหง่าน ลานหินใหญ่
วิวทะเล เบื้องล่าง อ่าวกว้างไกล
เดินต่อไป ขึ้นถึงยอด ปลอดผู้คน

อากาศหนาว ลมแรง ไร้เเสงแดด
อุณหภูมิแปด องศา ฝ้าหมอกฝน
ทุ่งหญ้าโล่ง เวิ้งว้าง อยู่ข้างบน
เงียบเย็นจน กายสั่น สะท้านทรวง

ตามทางแคบ คดเคี้ยว เลี้ยวเลาะย่าง
ซากบ้านหิน ยืนร้าง ผ่านบางช่วง
แกะเล็มหญ้า ประปราย คล้ายภาพลวง
จุดขาวดวง เลือนลาง กลางฟ้าเทา

ถึงรั้วหิน ทอดยาว ราวหลักเขต
ประตูเกท(gate) เชื่อมทาง อีกฝั่งเขา
สนธยา ทักทาย กระจายเงา
เร่งฝีเท้า แคบชัน ลงบันได

ฟ้าค่ำมืด แต่หัวใจ ไม่มืดหม่น
ผืนแผ่นดิน ข้างบน ดูยิ่งใหญ่
รุ่นต่อรุ่น อยู่รอด ยังปลอดภัย
ไม่มีใคร ไล่ฮุบ สูบไปครอง
(ไม่มีใคร เฉือนแบ่ง เเย่งครอบครอง)
..............

"ดอยสุเทพ: เชียงใหม่"

ดอยสุเทพเทพจับจอง..เฮือนตุลาการครอง
หรูหราดั่งสวรรค์ ป๋านจะอี้

ละเลงละลายภาษี..สูเจ้าบ่อมี 
สำนึกละอาย จั๊กน้อย

เบียดแป๋งข่มขืนดงดอย..หมู่สูสองฮ้อย
รุกไล่เจ้าตี้ เจ้าตาง 

พันล้านรุกไถไล่ถาง..กิ๋นป่าเตียนร้าง
ตี้อื๋นบ่ะหมี แล้วกา

สูอยู่ค้ำหัวประชา..ดั่งเตวะดา
บ่ะหื้อวิพากษ์ วิจ๋าน

ปู้คนกี่แสนกี่ล้าน...ขาดตี้คุ้มกะบาล
บะเกยอยู่ดีกินดี

ตำแหน่งสูเจ้าก่อมี..บ้านหลวงอยู่ฟรี
บำเหน็ดบำนาญ มากมาย

"จริยธรรม" พร่ำสาธยาย..สูถ่มน้ำลาย
ฮดหน้าบ่ออาย  ฟ้าดิน
.....

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

สื่อเผยศาลนัดกลุ่มคัดค้านสร้างบ้านพักตุลาการดอยสุเทพ เจรจาที่ค่ายทหาร 2 เม.ย. นี้

Posted: 31 Mar 2018 07:24 AM PDT

'เว็บไซต์แนวหน้า' รายงานข่าวระบุว่าตัวแทนศาลอุทธรณ์ภาค 5 นัดหมายเจรจากับตัวแทนภาคประชาชน จ.เชียงใหม่ ที่คัดค้านการสร้างบ้านพักตุลาการบริเวณดอยสุเทพ วันที่ 2 เม.ย. ที่มณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ

 
 
31 มี.ค. 2561 เว็บไซต์แนวหน้า รายงานว่าความคืบหน้ากรณีประชาชนจากภาคส่วนต่างๆ ใน จ.เชียงใหม่ ได้ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านโครงการก่อสร้างบ้านพักข้าราชการตุลาการที่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ กระทั่งมีการรวมตัวเป็นภาคีเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ขณะที่เลขาธิการศาลยุติธรรม ได้ออกมาประกาศเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยยืนยันว่าโครงการก่อสร้างดังกล่าวดำเนินการอย่างถูกต้องถามกฎหมาย และใช้งบประมาณค่อนข้างมาก โดยใกล้จะก่อสร้างแล้วเสร็จแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นจะต้องเดินหน้าต่อไปนั้น
 
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 31 มี.ค. ว่ากระแสการวิพากษ์วิจารณ์และคัดค้านโครงการดังกล่าว ยังคงแพร่ลามไปอย่างกว้างขวางในกลุ่มประชาชน จ.เชียงใหม่ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่โครงการดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ แต่อยู่ที่ความเหมาะสมในการเข้าไปใช้พื้นที่ดังกล่าว เนื่องจากเป็นพื้นที่ลาดเอียงในเขตกันชนไฟป่า และที่สำคัญก็มีการทักท้วงอย่างเป็นทางการมาตั้งแต่ปี 2558 แล้ว
 
อย่างไรก็ตามจากกระแสที่คุกรุ่นดังกล่าว ทำให้ล่าสุดมีรายงานว่าตัวแทนศาลอุทธรณ์ภาค 5 ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการดังกล่าวได้ขอนัดหมายเจรจากับตัวแทนภาคประชาชนที่คัดค้านในวันที่ 2 เม.ย. 2561 เวลา 13.30 น. ที่ภายในมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ จ.เชียงใหม่
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์เรียกร้องให้รับสมาชิกสหภาพแรงงาน GM เข้าทำงานหน้าที่เดิม

Posted: 31 Mar 2018 07:00 AM PDT

เครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทย ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้บริษัท เจนเนอรัลมอเตอร์ส (ประเทศไทย) รับสมาชิกสหภาพแรงงานทุกคนกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม สภาพการจ้างเดิมทุกประการ

 
31 มี.ค. 2561 เครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ "คืนเสรีภาพในการรวมกลุ่มและสภาพการจ้างเดิมให้แก่พนักงานที่ถูกเรียกกลับเข้าทำงานทุกคน" โดยระบุว่าเครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทย (Good Electronics Thailand-GET) เป็นเครือข่ายความร่วมมือระหว่างองค์การพัฒนาเอกชนด้านแรงงาน นักกิจกรรมแรงงาน และสหภาพแรงงาน ที่มุ่งส่งเสริมปกป้องสิทธิแรงงานในอุตสาหกรรมอิเล็คทรอนิคส์และที่เกี่ยวข้อง ติดตามความเคลื่อนไหวของอุตสาหกรรมในด้านมาตรฐานแรงงาน จรรยาบรรณทางการค้า สุขภาพความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมและเชื่อมประสานกับองค์กรแรงงานระดับสากลเพื่อเฝ้าระวังการละเมิดสิทธิแรงงานตามหลักจรรยาบรรณทางการค้าของ EICC 
 
จากกรณีสหภาพแรงงานเจนเนอรัลมอเตอร์ส ประเทศไทยกับบริษัท เจนเนอรัลมอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด ต.ปลวกแดง อ.ปลวกแดง จ.ระยอง มีปัญหาข้อพิพาทแรงงานที่ไม่สามารถตกลงกันได้ตั้งแต่วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2556 และนายจ้างใช้สิทธิปิดงาน (งดจ่ายจ้าง) เฉพาะพนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานกว่า 300 คน จนเมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2560 สมาชิกสหภาพแรงงานจำนวน 72 คน ทนต่อสภาวะเศรษฐกิจไม่ไหว จึงรับข้อเรียกร้องของนายจ้างทั้งหมดเพื่อขอกลับเข้าทำงาน แต่นายจ้างกลับไม่ให้สมาชิกสหภาพแรงงานเข้าทำงานแต่อย่างใด สมาชิกสหภาพแรงงาน พร้อมกับประธานและเลขาธิการสหภาพแรงงาน รวมทั้งหมด 72 คน จึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ (ครส.) เรื่อง การกระทำอันไม่เป็นธรรม ซึ่งต่อมา ครส.มีคำสั่งให้บริษัทฯ รับสมาชิกสหภาพแรงงาน 70 คนกลับเข้าทำงานพร้อมจ่ายค่าเสียหายนั้น
 
บริษัทฯ จึงเรียกพนักงานทุกคนให้ไปรายงานตัวเพื่อกลับเข้าทำงานที่สนามกอล์ฟ พัฒนากอล์ฟคลับ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2561 ทั้งยังยื่นชุดข้อเสนอให้พนักงานพิจารณา และยื่นหนังสือคำสั่งให้ไปปฏิบัติงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยปรับลดค่าจ้างเหลือเพียงค่าจ้างขั้นต่ำ 9,600 บาท ตัดสวัสดิการทั้งหมด และลดตำแหน่งความรับผิดชอบ โดยมอบหน้าที่ใหม่ให้ไปขูดสีตีเส้นบริเวณพื้นของคลังสินค้าดังกล่าว เป็นแรงงานไร้ฝีมือ โดยสั่งให้เริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 19 มีนาคม 2561 
 
คำสั่งของนายจ้างข้างต้น ทำให้พนักงานหลายคนวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เพราะต้องแยกกันอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดระยองและใกล้เคียง พนักงานส่วนใหญ่จึงตัดสินใจไม่เดินทางไปตามคำสั่งของนายจ้าง และต้องยอมลาออกไปเองเพราะไม่สามารถทนทำงานในสถานที่ทำงานแห่งใหม่และสภาพการจ้างานใหม่ได้ เหลือพนักงานที่สามารถเดินทางไปทำงานที่คลังสินค้าจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพียง 9 คน 
 
ผลกระทบจากคำสั่งของนายจ้างถือเป็นการกลั่นแกล้งพนักงาน ให้ไม่สามารถทนทำงานต่อไปได้ เป็นการละเมิดกฎหมายแรงงาน สิทธิมนุษยชน และมีเจตนาทำลายสหภาพแรงงานอย่างเห็นได้ชัด นอกจากนี้ พนักงานที่เป็นสมาชิกสหภาพแรงงานทั้ง 9 คนได้รับความเดือดร้อนอย่างมาก เนื่องจากรายได้ลดลงและไม่สามารถดูแลลูกและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามฉุกเฉิน รวมทั้งมีภาระค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น นอกจากนี้ ในจำนวนพนักงาน 9 คนมีพนักงานหญิง 1 คนที่ต้องเดินทางไปทำงานร่วมกับพนักงานชาย 8 คน ต้องเสาะหาที่พักเพียงลำพัง ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกปฏิบัติต่อแรงงานหญิง ทั้งยังเป็นการกดขี่ทางเพศอย่างรุนแรง
 
จากการกระทำดังกล่าว บริษัท เจนเนอรัลมอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ถือว่าไม่มีความจริงใจที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์และละเมิดกฎหมายไทยในการลดตำแหน่งและลดค่าจ้างของพนักงาน รวมทั้งมาตรฐานแรงงานสากลและ GM Code of Conduct
 
เครือข่ายกู๊ดอิเล็กทรอนิกส์ ประเทศไทย จึงขอเรียกร้องให้บริษัทฯ  1.รับสมาชิกสหภาพแรงงานทุกคนกลับเข้าทำงานในตำแหน่งหน้าที่เดิม สภาพการจ้างเดิมทุกประการ ซึ่งไม่ทำให้พนักงานเดือดร้อนมากกว่านี้ 2.หยุดทำลายแกนนำและสหภาพแรงงานทันที  และ 3.ปฏิบัติตามกฎหมายไทย มาตรฐานสากล และ GM Code of Conduct ในการเคารพสิทธิแรงงาน 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อนุทิน' ระบุ 'ซิโนไทย' ไม่เคยใช้อิทธิพลขอขยายเวลาสร้างรัฐสภาใหม่

Posted: 31 Mar 2018 06:45 AM PDT

เสวนาตรวจสอบปัญหาการทุจริตประพฤติชอบกรณีรัฐสภาแห่งใหม่ 'อนุทิน ชาญวีรกูล' หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะบุตรชายของผู้บริหารบริษัท ซิโนไทย ระบุทุกครั้งที่ขยายสัญญาเพราะมีเหตุจำเป็นที่เกิดจากความผิดพลาดในการส่งมอบพื้นที่ ไม่ใช่ความผิดของบริษัทฯ และไม่เคยใช้อิทธิพลในการต่อสัญญา ส่วนงานระบบไอทีไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบ

 
 
ภาพความคืบหน้าโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่บางส่วน ณ วันที่ 29 มี.ค. 2561 ที่มาภาพประกอบ: โครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่
 
31 มี.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่าคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และเครือข่ายตรวจสอบภาคประชาชน จัดเวทีประชาชนตรวจสอบคอร์รัปชั่น ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย หัวข้อ ตรวจสอบปัญหาการทุจริตประพฤติชอบ กรณีไอที-รัฐสภาแห่งใหม่  โดยมีนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) พรรคประชาธิปัตย์ นายวัชระ เพชรทอง อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ในฐานะบุตรชายของผู้บริหารบริษัท ซิโนไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทผู้รับจ้างก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ร่วมการเสวนา
 
โดยนายวัชระ เริ่มเปิดประเด็นเรื่องการขยายเวลาการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ว่ามีการขยายเวลาการก่อสร้างออกไป 1,482 วัน จากเดิมในสัญญากำหนดไว้เพียง 900 วัน รวมต้องใช้เวลาการก่อสร้างถึง 2,382 วัน  ซึ่งถือว่า บริษัทผู้รับเหมาเป็นบริษัทที่ได้รับความเมตตาจากรัฐมากที่สุด ที่ให้ขยายเวลาการก่อสร้างไปถึง 3 ปี จึงตั้งข้อสังเกตว่า การขยายเวลาครั้งแรกที่นายจเร พันธุ์เปรื่อง อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร อนุมัติการขยายเวลาไม่ครบตามจำนวนที่บริษัท ซิโนไทยฯ ขอมา ทำให้นายจเรถูกคำสั่ง ม.44 ย้ายไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แสดงให้เห็นว่าการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทเอกชนหรือไม่ พร้อมตั้งคำถามว่า ในเมื่อบริษัทรับเหมาก่อสร้างทราบอยู่แล้วว่า ทางสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะส่งมอบพื้นที่แต่ละส่วนไม่พร้อมกัน เหตุใดจึงไม่มีการวางแผนเพื่อรองรับเหตุการณ์เหล่านี้ และตั้งคำถามอีกว่า ทางบริษัทได้รับมอบพื้นที่ครบทั้งหมดในวันใด และแต่งเติมห้องโถงชั้นล่างของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ที่ออกแบบให้เป็นอาคารประหยัดพลังงานที่รับลมจากธรรมชาติ แต่มีการปรับแก้ไขแบบให้มีเครื่องปรับอากาศ ขณะเดียวกันเตรียมยื่นหนังสือเรียกร้องให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เข้าไปตรวจสอบการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ เพราะมีความมั่นใจว่าการก่อสร้างรัฐสภาใหม่มีความผิดปกติ โดยหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จก็จะไปยื่นร้องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบด้วย ซึ่งตนมีข้อมูลในเชิงลึกพอสมควร และจะนำเรื่องการทุจริตก่อสร้างอาคารรัฐสภาใหม่ไปส่งฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตประพฤติมิชอบด้วย
 
ขณะที่นายอนุทิน กล่าวว่าพ่อของตนได้ก่อตั้งบริษัท ซิโนไทยฯ มานาน 50 กว่าปีแล้ว และการที่ต้องมาชี้แจงในวันนี้ เพราะมีการพาดพิงว่าบริษัทซิโนไทยฯ ใช้อิทธิพลในการรับว่าจ้างและการต่อสัญญามาด้วย โดยยืนยันว่าทุกครั้งที่ขยายสัญญา เพราะมีเหตุจำเป็นที่เกิดจากความผิดพลาดในการส่งมอบพื้นที่ ไม่ใช่ความผิดของบริษัทซิโนไทยฯ และไม่เคยใช้อิทธิพลในการต่อสัญญา พร้อมยืนยันว่าการร่วมเสวนาในวันนี้ (31 มี.ค.) ไม่ได้มาในเรื่องของการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น 
 
สำหรับการขยายเวลาการก่อสร้างตามที่นายวัชระตั้งข้อสังเกตนั้น นายอนุทิน ชี้แจงว่า สิ่งที่นายวัชระกล่าวหา ไม่มีความจริงทั้งสิ้น เป็นเพียงการคาดเดา อีกทั้งในช่วงการอนุมัติงบประมาณการก่อสร้าง เป็นช่วงที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่นายชัย ชิดชอบ แต่อย่างใด ส่วนกำหนดเวลาการก่อสร้าง 900 วัน ตามสัญญานั้น ทางบริษัทซิโนไทยฯ ไม่ได้เป็นผู้กำหนด และหากการส่งมอบพื้นที่เป็นไปตามกำหนด ทางบริษัทก็ต้องก่อสร้างให้เสร็จภายในเวลา 900 วันตามสัญญา ทั้งนี้ผู้รับจ้างไม่ใช่เจ้าของพื้นที่ ไม่ใช่เจ้าของดิน ผู้รับจ้างเป็นผู้รอรับคำสั่ง บริษัทซิโนไทยฯ ไม่ได้รู้ล่วงหน้าได้ว่าจะส่งมอบพื้นที่ไม่ทันตามกำหนด รู้เพียงว่าหากส่งมอบพื้นที่เสร็จ บริษัทจะใช้เวลาก่อสร้าง 900 วัน แต่เมื่อการส่งมอบพื้นที่แล้วเสร็จเมื่อปี 2559 การก่อสร้างก็จะเสร็จในปี 2562 ตามสัญญา 900 วัน 
 
"ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องการของบประมาณเพิ่มเติม เพื่อติดตั้งระบบไอทีของรัฐสภาแห่งใหม่นั้น งานระบบไอทีไม่ได้อยู่ในขอบเขตหรือเนื้องานที่บริษัทซิโนไทยฯ ต้องรับผิดชอบ ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ในการออกแบบ และเรื่องระบบงานไอทีก็ไม่เกี่ยวข้องกับการขอขยายเวลา ดังนั้นที่กล่าวหาว่าการขยายเวลาทำให้รัฐเกิดความเสียหายนั้นขอชี้แจงว่าบริษัทฯ ไม่ได้ทำผิดอะไร และไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าเสียหายใดๆ จึงขออย่ากล่าวหาว่าบริษัทฯ ทำให้รัฐเสียหาย" นายอนุทิน กล่าว
 
ด้านนายวิลาศ ระบุไม่เคยกล่าวอ้างบริษัทเอกชน เพราะเข้าใจการทำงานของบริษัทเอกชน แต่ส่วนตัวไม่เคยเห็นโครงการใดที่เละเท่าโครงการการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยเฉพาะการขยายเวลาการก่อสร้างที่สังคมยังไม่ทราบว่า เป็นเพราะการส่งมอบพื้นที่ล่าช้า นอกจากนี้ยังตั้งข้อสังเกตเรื่องสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจ้าง บริษัทเมอร์ลิน โซลูชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เพื่อออกแบบระบบไอทีด้วยวิธีพิเศษ ไม่ได้จัดจ้างด้วยวิธีการประกวดราคา โดยอ้างว่ามีเวลาจำกัด ทั้งที่ส่วนตัวเห็นว่าก่อนหน้านี้มีเวลามานานแล้ว เหตุใดจึงมาจ้างบริษัทดังกล่าวด้วยวิธีพิเศษในเวลานี้ และจากการชี้แจงของทีมสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรถึงงบประมาณการติดตั้งระบบไอทีที่เพิ่มขึ้นมาเมื่อวันพฤหัสบดี (29 มี.ค.) ที่ผ่านมา ก็ยังไม่ชัดเจนเรื่องเหตุผล ส่วนที่ตนเห็นว่าโครงการดังกล่าวมีการทุจริตเกิดขึ้นเนื่องจากข้าราชการที่มีความเกี่ยวข้องกับโครงการมักจะมีความก้าวหน้ามากเป็นพิเศษ 
 
จากนั้นนายโชติจุฑา อาจสอน กรรมการบริหารที่ปรึกษาโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ชี้แจงเรื่องการขยายระยะเวลาการก่อสร้าง 3 ครั้งว่า ที่ผ่านมาได้มีการชี้แจงออกมาเป็นระยะ เป็นข้อมูลที่เปิดเผยอยู่แล้ว ทั้งนี้การทำงานจะต้องมีการแก้ปัญหาและอุปสรรคมาตลอด ครั้งแรกที่มีการขอขยายเวลา เนื่องจากพบปัญหาการส่งมอบพื้นที่ล่าช้าและปัญหาการทิ้งดิน ซึ่งเป็นหน้าที่ของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรที่จะส่งมอบพื้นที่และจัดหาสถานที่ทิ้งดินล่าช้า ส่วนการขยายเวลาครั้งที่สองก็มีปัญหาต่อเนื่องจากการขุดดินเพื่อสร้างห้องใต้ดิน เพราะหากนำดินออกไปจากพื้นที่ไม่ได้ ก็ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างชั้นใต้ดินได้ ซึ่งใช้เวลานานมาก และผู้บริหารของสภาฯ คนเก่าไม่กล้าตัดสินใจในการขายดินส่วนที่ขุดออกมา ขณะเดียวกันเวลานั้นก็ยังมีพื้นที่บางส่วนที่ยังส่งมอบไม่เสร็จ ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่ต้องใช้ในการเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนโครงเหล็กหลังคาห้องประชุม ส.ส.และห้องประชุม ส.ว.ด้วยการสไลด์ชิ้นส่วนผ่านพื้นที่ดังกล่าวเข้ามาในส่วนการก่อสร้างอาคาร พร้อมย้ำว่าการขยายเวลาทั้ง 3 ครั้งนั้น มีเหตุผลที่ชัดเจน 
 
สำหรับงบประมาณในส่วนของระบบไอทีนั้น ตั้งแต่ปี 2552 ได้ตั้งกรอบวงเงินงบประมาณในส่วนนี้ไว้ 3,200 ล้านบาท และเมื่อประกวดการออกแบบจนได้บริษัทออกแบบมาทำงาน กลับพบว่าการก่อสร้างทั้งหมดจะต้องใช้พื้นที่และงบประมาณเพิ่มขึ้น จึงได้แยกงานไอที สาธารณูปโภคและงานประกอบอาคารออกจากสัญญา เนื่องจากงบประมาณที่วางไว้ไม่พอ อีกทั้งงบประมาณดังกล่าวถูกนำไปใช้ในส่วนอื่น ต่อมาพบว่าการออกแบบระบบไอทีของบริษัทเดิมยังไม่ทันสมัยเพียงพอ จึงต้องตั้งคณะกรรมการเพื่อมาศึกษาและใช้เวลาค่อนข้างนานในการศึกษา จากนั้นได้จัดจ้างบริษัทใหม่ที่ไม่ขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี จนได้บริษัท เมอร์ลินฯ เข้ามาดำเนินการออกแบบระบบไอที ซึ่งบริษัท เมอร์ลินฯ ได้ออกแบบระบบไอทีที่จำเป็นต้องใช้งบประมาณจำนวนมากขึ้นกว่าวงเงินเดิม จึงเป็นที่มาของการขออนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมจากคณะรัฐมนตรี 
 
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเวทีการเสวนาวันนี้ (31 มี.ค.) ได้มีผู้ร่วมสังเกตการณ์เป็นจำนวนมาก อาทิ นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานที่ปรึกษาพรรคภูมิใจไทย, นายพีระ นาควิมล ผู้อำนวยการการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ บริษัทซิโน-ไทยฯ และนายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย เป็นต้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดชีวิตคนทำงานอุตสาหกรรมยานยนต์รัสเซีย ‘งานหนัก เสี่ยงเจ็บ-ตาย’

Posted: 31 Mar 2018 05:29 AM PDT

เผยชีวิตคนทำงานอุตสาหกรรมยานยนต์ในเมืองโตลยาติ ประเทศรัสเซีย ต้องทำงานหนัก 12 ชั่วโมงต่อวัน ตลอด 6 วัน ทำงานเกินขีดจำกัด สถานที่ทำงานไม่ปลอดภัย คนทำงานเจ็บ-ตาย บ่อยครั้ง



ที่มาภาพ: openDemocracy

หลังจากมีข่าวการเสียชีวิตระหว่างทำงานของคนงานในเมืองโตลยาติ (Tolyatti) เมืองอุตสาหกรรมยานยนต์หลักของรัสเซีย เว็บไซต์ Socialist News ได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับคนงานในโรงงานของโตลยาติ ที่ต้องทำงานเกินเวลา และเผชิญกับภาวะความไม่ปลอดภัยในสถานที่ทำงาน ทำให้มีหลายคนได้รับบาดเจ็บหรือพิการ ไปจนถึงเสียชีวิต

โตลยาติเมืองอุตสาหกรรมที่ตั้งอยู่ในเขตซามารา (Samara) ประเทศรัสเซีย ที่มาของชื่อเมืองเป็นการตั้งเพื่ออุทิศแก่พัลมิโร โตลยาติ ผู้นำคอมมิวนิสต์ชาวอิตาลีผู้ล่วงลับ เป็นฐานการผลิตยานยนต์หลักให้กับบริษัทรถยนต์หลายยี่ห้อ มีคนงานมากกว่า 7 แสนคน เดิมทีมีรัฐบาลกลางของสหภาพโซเวียตเป็นคนถือครองกิจการ ก่อนจะแปรรูปให้เอกชนมาถือครองในปี 2532

เมืองโตลยาติ (Tolyatti) เมืองอุตสาหกรรมยานยนต์หลักของรัสเซีย (ที่มาภาพ: wikimedia.org)

เมื่อเดือน ต.ค. 2559 วาเลนติน นาโซนอฟ คนงานในโรงงาน 'AvtoVAZ' ที่กำลังจะเดินไปขึ้นรถประจำทางเพื่อเดินทางกลับที่พักหลังเลิกงาน แต่ถูกคนคุมงานขอให้เขากลับไปทำงานต่ออีก 4 ชั่วโมง แม้ว่าเขาจะไม่สบาย หลังจากเลิกงานครั้งที่ 2 เขาหน้ามืดล้มลงกับพื้นขณะเดินออกจากโรงงาน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ทำให้มีข้อสงสัยเกี่ยวกับชีวิตคนงานภายของโรงงานหลายแห่งของโตลยาติ

แอนนา เปโรวา คนงานที่ในโรงงาน AvtoVAZ ให้สัมภาษณ์กับ Socialist News ถึงชีวิตคนงานในโรงงานที่ต้องเผชิญการทำงานเกินเวลา หลายคนต้องพิการไปจนถึงเสียชีวิต โดยปราศจากการชดเชยที่เพียงพอ โดยเธอเองก็เป็นผู้ที่ต้องเสียนิ้วมือ 3 นิ้ว เพราะเครื่องบีดอัดที่ขัดข้องระหว่างที่เธอกำลังปฏิบัติงานอยู่ แม้ผู้ตรวจสอบในโรงงานจะเผยออกมาว่าเครื่องกลที่เธอทำงานอยู่นั้นอยู่ในสภาพที่บกพร่อง แต่ทางโรงงานกลับไม่ได้ยอมรับความผิดพลาดดังกล่าว

เมื่อเธอนำเรื่องฟ้องสู่ศาล คำตัดสินนิยามการสูญเสียนิ้วมือของเธอ ว่าเป็นการบาดเจ็บเล็กน้อย และสั่งให้ทางโรงงานจ่ายค่าเสียหายให้เธอเพียง 50,000 รูเบิลหรือราว 627 ยูโร ซึ่งเธอเห็นว่าถ้าหากกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นในยุโรปจะมีการจ่ายค่าเสียหายสูงถึง 50,000 ยูโร การสูญเสียนี้ทำให้เธอไม่สามารถทำงานได้ในภาคส่วนที่เคยทำมาได้อีกต่อ 

มือที่สูญเสียนิ้วไปของเปโรวา (ที่มาภาพ: Socialist.News)

เปโรวายังเผยอีกว่ามีอีกหลายกรณี อย่างก่อนที่จะมีกรณีของเธอนั้นมีคนงานที่ต้องเสียแขนไปจากการทำงาน เพราะเครื่องจักรที่บกพร่องจากการใช้งานมาอย่างยาวนาน

"คนที่นี้ต้องทำงาน 12 ชั่วโมงต่อวัน ตลอด 6 วันต่อสัปดาห์ พวกเขาต้องทำงานเกินขีดจำกัด และสถานที่ทำงานก็ไม่ได้มีความปลอดภัย นำไปสู่ได้รับบาดเจ็บหรือตาย" เธอระบุ

เปโรวายังยกตัวอย่างอีก เช่นกรณีมีหญิงสาวที่สะดุดล้มแล้วถูกท่อส่งน้ำทิ้งหล่นลงมาทับที่หลัง แต่เธอไม่กล้าที่จะบอกคนในโรงงาน หลังจากนั้นเธอเสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง หรือคนงานชายเสียชีวิตจากการตกจากที่สูง เพราะขึ้นไปทำความสะอาดหน้าต่าง ทางโรงงานจ่ายเงินให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิต เพียง 3 แสนรูเบิล (ประมาณ 3,700 ยูโร) และไม่มีการสอบสวนหาสาเหตุการตายดังกล่าว

"พวกเขากลัวผลที่จะตาม หากบอกเรื่องการบาดเจ็บออกไป กลัวที่โดยไล่ออก ลดตำแหน่งงานลง" เปโรวาอธิบายว่าการที่พนักงานถูกเลิกจ้างงานกะทันหันเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยครั้ง ทำให้คนงานไม่มีสถานการต่อรอง ถึงแม้จะมีการก่อตั้งสหภาพภายในโรงงานหลายแห่งในเมืองแต่ถูกสกัดกั้นโดยผู้ประกอบการมาโดยตลอด หลายคนโดยบีบให้ออกจากการเป็นแกนนำสหภาพ

 

ที่มาเรียบเรียงจาก
Russia's car industry, where even the dead work overtime (Diana Karliner, openDemocracy, 5/2/2018)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส: ทหารเกณฑ์คือ อู่ข้าวอู่น้ำของกองทัพ

Posted: 31 Mar 2018 03:09 AM PDT

สัมภาษณ์พิเศษอดีต ผบ.ตร. หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย ผู้ประกาศกร้าว "หากผมมีอำนาจจะยกเลิกทหารเกณฑ์" ตอบทุกคำถาม ทหารเกณฑ์มีไว้ทำไม ยอดเรียกทหารเข้ากรมกอง 1 แสน 4 พันมากเกินไปหรือไม่ ถ้าไม่อยากเป็นทหารไม่ใช่ลูกผู้ชายหรือเปล่า และองค์กรขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า "กองทัพ" มีอะไรต้องปฏิรูปบ้าง

นับได้ว่าตั้งแต่มีการเกณฑ์ทหารในประเทศไทยจากข้อมูลที่พอจะหาได้พบว่าในปี 2561 เป็นปีที่มียอดความต้องการทหารกองประจำการมากที่สุดในประวัติศาสตร์ 104,734 คือตัวเลขล่าสุดที่กองทัพออกมาแถลงข่าวเรียกพลเรือนเข้ากรมกอง ข้อมูลที่ย้อนกลับไปได้ไกลที่สุดคือปี 2537 ในปีนั่นมีความต้องการทหารทั้งหมด 85,080 นาย และตลอดเวลา 24 ปีความต้องการทหารเกณฑ์น้อยที่สุดอยู่ในปี 2541 ตัวเลขอยู่ที่ 74,004 นาย ก่อนที่จะขยับกลับมาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และทำลายสถิติในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

คำถามเดียวกันดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศว่า ทำไมกองทัพจึงมีความต้องการทหารเกณฑ์เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ข้อมูลเชิงสถิติจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า อัตราการเกิดของประชากรชายไทยลงไปเรื่อยๆ ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงกับจำนวนทหารเกณฑ์ที่เพิ่มขึ้น หรือเป็นได้ไหมว่าบ้านเมืองเรากำลังเผชิญหากับปัญหาสงคราม คำตอบก็คือ ไม่

ทหารเกณฑ์หลายคนที่เข้าไปอยู่ในกรมกองก็ส่งเสียงออกมาว่า งานของพวกเขาส่วนใหญ่คือ การเป็นฝูงบินต่ำ รบกับหญ้า ฆ่ากับมด คุณภาพชีวิตตามมีตามเกิด เรียกร้องสิทธิมากก็โดน "แดก" ชนชั้นนายว่า ชนชั้นที่ถูกมองเป็นข้าขี้ก็ต้องทำตาม พวกที่สมัครใจไปเป็นทหารก็พอมี แต่คนที่ไม่อยากเป็นทหารเกณฑ์แต่ต้องจากบ้าน จากงาน จากเมียไปเพราะใบแดงก็มีเยอะ ข่าวคราวทหารเกณฑ์ถูกซ่อม ถูกซ้อม ตายคาค่ายก็มีให้เห็นมาตลอด แต่ก็นั่นแหละได้แต่อ่าน นั่งทำตาปริบๆ แล้วก็คิดในใจ เราทำอะไรกันได้บ้าง

ความคิด ข้อเสนอ เรื่องการยกเลิกระบบเกณฑ์ทหาร มีการพูดถึงอยู่หลายครั้ง งานวิจัยที่ทหารเป็นคนศึกษาวิธีการทดแทนการเรียกเกณฑ์ทหารแบบบังคับก็มีให้เห็น แต่ก็ลอยอยู่ในอินเทอร์เน็ตรอใครสักคนโหลดไปอ่าน หรือไม่ก็ถูกวางให้ฝุ่นเกาะอยู่เงียบๆ ในชั้นวางหนังสือของกองทัพ จะกี่ปีต่อกี่ปีก็ไม่มีอะไรเปลี่ยน ท่ามกลางความหดหู่ ความอดทนอดกลั้นของชายไทยผู้มีอายุถึงวัยเกณฑ์ทหาร ชายผู้หนึ่งมีไอดีติดตัวเป็นถึง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และเป็นหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย หน้านิ่ง ตาแข็ง น้ำเสียงหนักแน่น อัพโหลดคลิปสัมภาษณ์ลงช่องยูทูป "เสียงเสรี SEREE VOICE" ประกาศกร้าวว่า "หากผมมีอำนาจจะยกเลิกทหารเกณฑ์"

ทหารเกณฑ์มีไว้ทำไม ทำไมถึงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่อยากเป็นทหารเท่ากับไม่รักชาติ ไม่ใช่ลูกผู้ชายใช่ไหม และองค์กรขนาดใหญ่ที่ชื่อว่า "กองทัพ" มีอะไรต้องปฎิรูปบ้าง ประชาไทสัมภาษณ์พิเศษชายที่ชื่อว่า เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หนึ่งในอีกหลายคนที่กล้าพูดอะไรอย่างตรงไปตรงมา โดยไม่สนใจใยดีว่ายุคนี้ใครใหญ่ ใครคุม หรือจริงๆ แล้วมีใครที่ใหญ่กว่า คสช.

000000

รัฐที่ไม่มีสงคราม แต่ยังเรียกเกณฑ์ทหารจำนวนมาก เป็นรัฐที่ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

เสรีพิศุทธ์ เริ่มต้นด้วยการตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมจำนวนทหารเกณฑ์จึงเพิ่มมากขึ้นทุกปี ในขณะที่อัตราการเกิดของประชากรไทยชายกลับไม่ได้เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต อีกทั้งสถานการณ์ในประเทศไทยก็ไม่ได้เผชิญหน้ากับสภาวะสงคราม เขาชี้ให้เห็นว่าเหตุผลที่แท้จริงอาจมีบางสิ่งแฝงเร้นอยู่

"ก่อนหน้านี้เราก็รู้ว่าทหารเกณฑ์ไปก็เพื่อทุจริตกัน ทุจริตกันตั้งแต่ก่อนเข้า ใครเกณฑ์ ใครไม่เกณฑ์ต้องจ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือแม้กระทั่งจะอ้างป่วยเอาใบรับรองแพทย์ก็มีราคา เมื่อเกณฑ์ไปแล้ว เสื้อผ้า เครื่องนุ่มห่ม หมวก กางกุ้งกางเกง เบี้ยเลี้ยง ค่ายารักษาโรค งบการฝึกเขามีให้หมด คุณโกงเขาหรือเปล่า คุณทำตามระเบียบหรือเปล่า มีเสียงที่บ่นมาเยอะแยะ บอกถูกโกงกันทั้งนั้น"

อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สรุปให้เห็นภาพชัดว่า การเพิ่มขึ้นของจำนวนทหารเกณฑ์นั้น มีความเกี่ยวข้องกับการหาผลประโยชน์ของกองทัพ จากภาษีของประชาชน โดยอาศัยกฎหมายที่บังคับชายไทยอายุ 20 ปีจะต้องเข้ารับการตรวจคัดเลือกเป็นทหารกองประจำการ แม้บางคนที่เรียนอยู่ หรือประกอบอาชีพเลี้ยงดูครอบครัวจะสามารถผ่อนผันได้ แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมาเกณฑ์ทหารอยู่ดี ไม่เว้นแม้แต่คนบวชเป็นพระที่ต้องห่มจีวรมาเข้ารับการตรวจคัดเลือก สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าการเกณฑ์ทหารถูกมองว่าเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับประเทศไทย

เสรีพิศุทธ์ หยิบข้อมูลขึ้นมาชี้ให้เห็นต่อไปว่า ในขณะที่ประเทศไทยยังให้ความสำคัญกับการเกณฑ์ทหาร แต่มีอีกหลายประเทศที่ยกเลิกกการเกณฑ์ทหารไปแล้ว เช่น มาเลเชีย ญี่ปุ่น ออสเตเรีย นิวซีแลนด์ อินเดีย ปากีสถาน อังกฤษ ฝรังเศส เนเธอร์แลนด์ และสหรัฐอเมริกา

"ออสเตรเลียยกเลิกตั้งแต่ปี 2512 เลิกมา 50 ปีแล้ว เบลเยียมยกเลิกตั้งแต่ปี 2537 บัลแกเรีย กับโครเอเซียยกเลิกเมื่อปี 2551 ฝรั่งเศสยกเลิกในปี 2554 เลบานนอนยกเลิกในปี 2550 โรมาเนียยกเลิกเมื่อปี 2550 แต่ไทยยังไม่ยอมยกเลิก ทั้งๆ ที่องค์การสหประชาชาติมีการประชุมปรึกษาหารือกัน สรุปว่า การเกณฑ์ทหารขัดกับปฎิญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งที่ประชุมใหญ่สมัชชาแห่งประชาชาติให้การรับรองเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 70 ปีมาแล้ว แต่ไทยไม่เห็นด้วย ก็เป็นสิทธิ ประเทศอื่นๆ ที่ยังเกณฑ์ทหารกันก็มี แต่เกณฑ์แล้วมีการทุจริตแบบไทยหรือเปล่า เขาเอาไปเป็นแรงงานทาสหรือเปล่า"

เสรีพิศุทธ์ ยกคำพูดของของมหาตมา คานธี ที่เคยกล่าวว่า รัฐที่คิดว่าสามารถบังคนประชาชนให้ไปร่วมสงครามได้ตามใจชอบ ย่อมไม่มีวันที่จะคิดถึงคุณค่าและความสุขของประชาชนในยามสงบ พูดให้ง่ายคือรัฐใดที่เกณฑ์ทหารแม้ในยามศึกสงครามก็ยังถือเป็นรัฐที่มองไม่เห็นคุณค่าและความสุขของประชาชน แต่ในประเทศที่ไม่มีสภาวะสงครามแต่ยังเกณฑ์ทหาร และเรียกเกณฑ์จำนวนมาก เสรีพิศุทธ์ เห็นว่าเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และความสุขของคนในชาติมากยิ่งกว่า

มากไปกว่านั้นเขาเห็นว่า การเกณฑ์ทหาร นำมาซึ่งความสูญเสียและสิ้นเปลืองในทางเศรษฐกิจ ผลตอบแทนที่ได้ เมื่อเทียบกับต้นทุนที่รัฐต้องจ่าย และประชาชนต้องจ่ายกับการเกณฑ์ทหารนั้นอยู่ในระดับต่ำ และเป็นการใช้แรงงานของชาติจำนวนมากไม่ในทางที่ไม่ทำให้เกิดการเพิ่มขึ้นของผลิตมวลรวมของประเทศ

"สรุปแล้วเนี่ยมันไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลยเรื่องการเกณฑ์ทหาร ผมเองเป็นนักเรียนเตรียมทหาร ไม่ได้ลิ้มรสในเรื่องของทหารเกณฑ์หรอก แต่ก็รู้ว่ารุ่นน้อง รุ่นลูก รุ่นหลานที่มันไปเกณฑ์ทหารมันเป็นอย่างไร ทหารเนี่ยใช้ช่องทางนี้เป็นอู่ข้าวอู่น้ำส่วนหนึ่ง ถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของหน่วยเลย มีทั้งโกงก่อนจะเข้า ไม่เกณฑ์จ่ายเท่าไหร่ เอาใบรับรองแพทย์จ่ายเท่าไหร่ แล้วให้สัสดีอีกเท่าไหร่ หรือพอเข้าไปแล้วไปเป็นทหารเขาก็ตัดงบจากเสื้อผ้า เครื่องแบบ หมวก อุปกรณ์การฝึก ถุงเท้า รองเท้า ค่าอาหาร เงินเดือน ทหารเกณฑ์ได้รับทุกสิ่งทุกอย่างตามนี้ไหม มันเป็นช่องทางการทุจริต เราถึงได้ข่าวกันมาตลอดเวลาว่ามีการปล่อยทหารกลับบ้านแล้วให้นายรับเบี้ยเลี้ยงแทน หรือถ้าไม่กลับบ้านก็ไปอยู่บ้านนายทหารไปรับใช้ ตัดหญ้า ล้างห้องน้ำ ทำความสะอาด ขับรถทำนู่นทำนี่ แม้กระทั่งซักกางเกงในให้เมียนายก็มี หรือเอาไปเป็นเด็กเสริฟร้านอาหารก็มีเป็นข่าวอยู่ เอาไปใช้แต่เรื่องส่วนตัวทั้งสิ้น เกษียณไปกี่ปีก็ยังมีทหารรับใช้ ในขณะที่งบการฝึกเบิกเต็มแต่ไม่ได้ใช้จริง แล้วงบมันหายไปไหนหมด"

เสรีพิสุทธ์ ชี้ให้เห็นว่าในความเป็นจริงแล้วทหารเกณฑ์ของไทยแทบจะไม่ได้มีการฝึกมากนัก หลังจากฝึกช่วง 10 สัปดาห์เสร็จแล้วมีการแยกเหล่าทหาร ทหารใหม่แต่ละคนจะไปอยู่สังกัดตามกรม หรือกองพันต่างๆ หลังจากนั้นจะมีเพียงการฝึกเบื้องต้นเท่านั้นเช่น การฝึกบุคคลท่ามือเปล่า และบุคคลประกอบอาวุธ แต่มีน้อยที่จะได้จับปืน หรือฝึกการใช้อาวุธ ในขณะที่งบการฝึกมักจะมีการบังคับให้เซ็นเบิกเต็มจำนวน

หัวอกทหารเกณฑ์เป็นรั้วของชาติ/ชาตินักรบ หรือเป็นแค่ขี้ข้านายทหาร

ก่อนหน้านี้นี้ที่แฟนเพจเฟซบุ๊คพลตำรวจเอกเสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ได้โพสต์คลิปสัมภาษณ์เรื่องข้อเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร หลังจากนั้นมีหลายคนที่เป็นทหารเกณฑ์ หรือเคยเป็นทหารเกณฑ์เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น เสรีพิศุทธ์ รวบรวมข้อมูบทั้งหมดมาเพื่อชี้ให้เห็นว่า การเกณฑ์ทหารเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ และเป็นไปเพื่อการทุจริตของกองทัพ และเป็นสิ่งที่ทำลายอนาคตของคนวัยหนุ่ม

- เห็นด้วยครับท่าน ผมเป็นคนหนึ่งที่หาเงินส่งเสียงตัวเองเรียนด้วยทำงานด้วยตั้งแต่อายุ 16 บัดนี้จบปริญญาตรีแล้ว อายุ 24 กำลังจะสร้างอนาคตให้ประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นกำไรชีวิต หน้าที่การงานก็กำลังไปได้ เลยตัดสินใจซื้อบ้านซื้อรถ ให้แม่ให้น้องได้สุขสบาย แต่มาเผชิญอุปสรรคคือการเกณฑ์ทหาร ผมอาจจะต้องทิ้งภาระในการผ่อน บ้านผ่อนรถ ซึ่งทางบ้านไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย แทนที่เด็กไทยคนหนึ่ง จะได้สร้างอนาคตตอบแทนพ่อแม่ กลับต้องเสียเวลาไป 1-2 ปี แทนที่จะได้สร้างอนาคตตั้งแต่อายุน้อยๆ ต้องไปเกณฑ์ทหาร และต้องรอเวลาให้พ้นการเกณฑ์อีก

- จริงครับท่าน ผมยังเจอเลยทุกวันนี้ เอาทหารมาใช้เพราะไม่ต้องจ่ายเงินเดือนแพง จ่ายก็ได้ไม่จ่ายก็ได้ ส่งมาเป็นพลขับ ผมละอึดอัดใจมีเรื่องเล่าเยอะแยะ อยากให้มีคนเอาจริง ถึงตอนนี้ผมเป็นทหารอยู่ก็เถอะ เห็นพวกกูเป็นคนโง่หรือไงที่ต้องมาเป็นขี้ข้า ของข้าราชการและเมียและลูกของข้าราชการนอกระบบ จนถึงทุกวันนี้ได้แต่กัดฟันสู้จนจะเป็นบ้า รอปลดประจำการ พ.ย. 2561

-ทหารเกณฑ์ทุกวันนี้ร้อยละ 50 ไม่ได้เป็นทหารจริงฝึกแค่ 3 เดือน แล้วจะมีครูฝึกเรียกไปคุยให้หนีไปได้โดยไม่ต้องึก แต่ต้องยกเงินเดือนเบี้ยเลี้ยงทั้งหมดให้ครูฝึกเพื่อให้ออกไปใช้ชีวิตตามปกติพอถึงเวลา 2 ปีครบก็กลับมาเรียกตัวไปปลดประจำการ เรื่องจริงของการทุจริตในแวดวงทหารยังไม่นับการรับจ้างออกใบรับรองแพทย์ใบละ 40,000 บาท

-ผมว่าทหารเกณฑ์เอาไปรบจริงๆ ก็ตายหมด ฝึกแค่สองเดือนวันหนึ่งก็ฝึกแค่ไม่กี่ชั่วโมง รบกับหญ้าฆ่ากับมดยังใช้เวลาเยอะกว่าอีก ส่วนพวกทหารเกณณ์ที่ลงบ้านนายก็ไปรับใช้นายซักผ้าล้างจาน กวาดใบไม้ ทำกับข้าว ขับรถ ทำทุกอย่าง เงินเดือนหน่วยไม่ได้รับมีคนรับให้ ถ้ารบกันจริงต้องใช้ทหารพราน เพราะเป็นทหารรับจ้าง ทหารเกณฑ์ฝึกสองสามเดือนจะไปรบกับใคร

-เงินเดือนทหารเบิกจากกระทรวง 9,700 แต่รับจริง 6,500 หลานผมเป็นทหารเกณฑ์ประจำอยู่ลพบุรี ทหารหน่วยนี้มี 70 นาย แต่มียอดเบิก 300

-เงินส่งรถที่ผ่อนส่งถูกยึดหมด บางคนเมียก็ทิ้ง อาหารฟรี เบี้ยเลี้ยงฟรี แม่งก็หักจากเงินเดือน จะให้เงินเดือนกูเต็มๆ หน่อยก็ไม่ได้ เบี้ยเลี้ยง 750 ต่ออาทิตย์ รับจริงแค่ 250 บางเดือนเงินไม่พอต้องของจากทางบ้าน มีคนถามผมว่า 2 ปี ได้อะไรจากการเป็นทหารผมตอบได้เลยว่า เป็นคนที่ล้มละลาย

- สิ่งที่ได้กลับมากูต้องอดทนอยู่รอดให้ได้ 2 ปี เหมือนการรับใช้พวกบ้าอำนาจ เลือกมาเป็นทหารกูอยากรับใช้ประเทศชาติ ที่ไหนได้ไปตัดหญ้า แต่งต้นไม้ ทำความสะอาดให้พวกบ้านนายร้อย นายพัน นายพล   

 - เคยถามจ่าว่าทำไมอาหารมันเน่าจัง จ่าบอกว่าต้องคุมงบ ผู้พันเขาขอมา เหี้ยจริงๆ กูแดกแต่ต้มผัก แกงจืดผักไร่กับวิญญาณหมู

"นี่คือความเห็นของพวกเขา ฉะนั้นเกณฑ์ไปทหารแสนคน เพิ่มยอดไปทำไม ก็เพิ่มยอดเพื่อการนี้แหละ เอาไปเป็นประโยชน์ของพวกทหาร ตอนเกณฑ์ก็เป็นผลประโยชน์ของพวกสัสดี แต่พอเกณฑ์แล้วส่งไปอยู่กองพัน กองร้อยต่างๆ ก็จะเป็นพวกทหารที่จะไปกินงบประมาณ แล้วมันทำลายประเทศชาติขนาดไหน เพราะการที่ประชาชนไม่ได้ประกอบอาชีพของตน แล้วต้องไปเป็นทหารมันไม่ทำให้ GDP เพิ่ม เป็นการสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล"

"คนวัยนี้อายุ 20 กว่า เป็นแรงงานของชาติที่จะต้องทำนู่น ทำนี่ แต่แทนที่จะได้เข้าไปเกณฑ์ทหารและเป็นทหารรับใช้ชาติจริงๆ อย่างสง่าผ่าเผยแบบลูกผู้ชายจริงๆ กลับกลายเป็นการทุจริตกัน ก็ให้ทหารตอบมาละกันว่าไม่มีทุจริต ผมไม่ได้มาฟังแค่ที่คอมเม้นกันมานะ ผมมีเพื่อน 4 เหล่า มันก็คุยกันมาตลอด 40 ปี ก็รู้กันหมดข้อเท็จจริงต่างๆ เหล่านี้ปฏิเสธไม่ได้เลย"

ทหารไม่ต้องเกณฑ์ ใช้ระบบสมัครใจ สร้างสวัสดิการที่ดี ทำให้เป็นทหารมืออาชีพ ไม่ใช่ขี้ข้ารองมือรองตีน

เสรีพิศุทธ์ พูดถึงข้อเสนอให้ยกเลิกการเกณฑ์ทหารเพราะเห็นว่า เป็นการบังคบคนโดยไม่มีความสมัคร หากประเทศชาติที่ความจำเป็นต้องสู้รบ ประสิทธิภาพในการสงครามจะไม่สามารถสู้ใครได้เลยเพราะคนที่ถูกเกณฑ์ไปรบคือคนที่ไม่สมัครใจ ฉะนั้นทางแก้คือ การยกเลิกทหารเกณฑ์และรับเฉพาะคนที่สมัครใจเท่านั้น

"ถ้าบอกว่าประเทศมีศึกสงคราม จะต้องเอาทหารไปสู้รบ คุณอ้างแบบนั้น แต่คุณเอาคนที่ไม่ได้ตั้งใจไปรบ แล้วมันจะชนะเขาไหม นี่ยังไม่ต้องพูดถึงระบบระยำๆ ที่กันมาตลอด ถึงคุณเอาเขามาฝึกแต่เขาไม่อยากรบ ก็ไม่ชนะใครเขาหรอก จริงๆ มันควรงดเลิกทหารเกณฑ์แล้วแก้ไขด้วยวิธีการรับสมัครบุคคลที่ที่อยากเป็นทหารจริงๆ มารับใช้ชาติ มันมีลูกชาวบ้านที่มีงานทำเยอะไป ต้องเปิดรับสมัครมีเงินเดือนมีสวัสดิการที่ดี ใครก็อยากเข้ามาเป็น แต่ถ้าเป็นคนที่เขามีรายได้ทางอื่นอยู่แล้ว ยกตัวอย่าง ดารา นักร้องค่าตัวเขาวันละเท่าไหร่ ไปออกงานที่ค่าตัวเขา 2-3 แสนต่อวัน แล้วมาจับเขาเกณฑ์ทหาร พอมาเป็นทหาร 2 ปีออกไปหมดละงาน ไม่มีใครจ้างก็เสียอนาคตหมด"

"เขาทำมาหากิน เขาเสียภาษีก็ถือว่าเขาช่วยชาติแล้ว อย่างน้องทำงาน ทำอาชีพอิสระน้องเสียภาษีเปล่า ก็เสีย ก็ช่วยชาติแล้ว การช่วยชาติก็คือการเสียภาษี สำคัญที่สุด ไม่ใช่ว่าช่วยชาติต้องไปเป็นทหาร ไม่ใช่ ไม่มีความจำเป็น"

เสรีพิศุทธ์ เห็นการยกเลิกระบบเกณฑ์ทหารเพียงอย่างเดียวนั้นยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตในกองทัพได้ แต่ต้องเปลี่ยนกระบวนการในการฝึกทหารทั้งหมด โดยต้องมีการฝึกอบรบอย่างจริงจัง ให้เรียนรู้วิชาการของทหาร แล้วเปิดโอกาสให้มีสิทธิสอบเป็นนายสิบ หรือมีการฝึกอาชีพให้เพื่อให้พลทหารสามารถออกไปประกอบอาชีพได้

ไม่อยากเป็นทหารเกณฑ์ไม่ใช่ลูกผู้ชาย คุณเอาอะไรมาคิดอ่ะ

เมื่อถามว่าส่วนใหญ่แล้วครหาของคนที่ไม่เห็นด้วยกับการเกณฑ์ทหารมักถูกประณามคือ คุณไม่ใช่ลูกผู้ชาย เสรีพิศุทธ์โต้กลับอย่างฉับพลัน

"ถ้าไม่เกณฑ์ทหารไม่ใช่ลูกผู้ชายเหรอ คุณเอาอะไรมาคิดอ่ะ แล้วคนเป็นทหารเนี่ยนะ จบโรงเรียนเตรียมทหารด้วยนะ จบโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าด้วยนะ ไอ้นาฬิกา 26 เรือนยังไม่ยอมรับมึงลูกผู้ชายเหรอ ฮ่ะ มึงลูกผู้ชายเหรอ ตอนแรกบอกแหวนแม่ พอผมบอกแหวนแม่ได้ไง แม่นิ้วแค่นี้ไปใส่นิ้วคุณได้ไงนิ้วไง นิ้วอย่างกับควาย ไปใส่ได้ได้ไง ตอนนี้เปลี่ยนเป็นแหวนพ่อ ส่วนนาฬิกาไปยัดเยียดคนตาย 26 เรือน อย่างนี้ลูกผู้ชายเหรอ เพราะฉะนั้นมันไม่เกี่ยว เกี่ยวมั้ย คุณเรียนสถาบันนี้ หลักของชาติเลย คุณลูกผู้ชายเปล่า"

สั้นกระชับ ได้ใจความ...... แทบจะไม่เหลืออะไรให้พูดอีก

เมื่อถามต่อว่า เห็นมีหลายคนเคยพูดเรื่องทหารเกณฑ์มาเยอะ แต่ในทางปฏิบัติเคยมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไม่ เสรีพิศุทธ์ให้ความเห็นว่า เป็นไม่ได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลง เพราะทหารเกณฑ์คือ อู่ข้าวอู่น้ำ ของกองทัพ

"ไม่มีเหรอ ทหารจะไปยอมได้ไง ก็นี่มันอู่ข้าวอู่น้ำเขา มันทจุริตไปตั้งแต่ก่อนเข้า แล้วก็เข้าไปก็ช่วยทหารในระบบราชการไปจนถึงทหารเกษียณ บางคนเกษียณไป 15 ปียังมีทหารรับใช้อยู่เลย แล้วมีทหารไว้ทำไมอ่ะ เอาไว้รับใช้พวกทหารเกณฑ์เนี่ยเหรอ มันต้องเลิกดิ ตำรวจมีไหมละ พวกเป็นนายพลเขาก็ไม่อยู่บ้านหลวงกันแล้ว นี่ทหารเป็น ผบ.เหล่าทัพ มีบ้านไม่รู้กี่หลังต่อกี่หลัง ปลูกกันอยู่ในค่ายทหารนั่นแหละ น้ำหลวง ไฟหลวง คนรับใช้ฟรีหมด ของผมบ้านก็ปลูกเองอยู่มาตั้งแต่เป็นรองผู้การ บ้านตัวเอง น้ำไฟตัวเอง ตำรวจรับใช้ก็ไม่มี แล้วทำไมทหารต้องพิเศษว่า ข้าราชการอื่นละ"

เมื่อถามต่อว่า ในเมื่อทหารก็มีอำนาจมากในปัจจุบัน และก็ไม่ยอมเปลี่ยนเปลี่ยนอะไรสักอย่าง จะต้องทำอย่างไรถึงจะมีการเปลี่ยนแปลง เสรีพิศุทธ์ ตอบว่า

"คุณถามว่าต้องทำไง คุณเอาคนไม่มีปัญหาไปทำมันก็ทำไม่ได้หรอก คุณต้องเอาผมไปทำ ผมถึงจะทำได้ เข้าใจไหม เอาใครละ ไม่อย่างพูดแค่เห็นหน้าทหารก็กลัวแล้ว ของผมมันจะมีอะไร ประยุทธ์มันก็รุ่นน้องผม เลือกตั้งเมื่อไหร่เอาผมไปดิ เดี๋ยวผมไปจัดการ"

เมื่อถามต่อว่า สรุปว่า ยกเลิกทหารเกณฑ์คือ นโยบาย ของพรรคเสรีรวมไทย เสรีพิศุทธ์ตอบว่า

"นี่มันส่วนนิดหน่อย ผมคิดจะปฏิรูปทหารทั้งกองทัพ ไอ้เรื่องทหารเกณฑ์มันนิดเดียวจิ๊บจ๊อย...."

000000

โปรดติดตามต่อไป ว่าด้วยความคิดเรื่องการปฏิรูปกองทัพของ เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เร็วๆ นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ แจ้งความกล่าวโทษตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ผู้เเพร่ภาพสามกษัตริย์สวมหน้ากากป้องกันมลพิษ

Posted: 31 Mar 2018 02:22 AM PDT

ผู้ว่าราชการ จ. เชียงใหม่ มอบอำนาจให้ป้องกันจังหวัด นำหลักฐานเข้าแจ้งความกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อเอาผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กรณีมีผู้เผยแพร่ภาพวาดสามกษัตริย์ผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ สวมใส่หน้ากากอนามัย ชี้เป็นการลบหลู่ ไม่เคารพ และกระทบต่อจิตใจคนเชียงใหม่ ด้านเจ้าของ 'City Life Chiang Mai' แจงที่มาภาพ 3 กษัตริย์สวมหน้ากาก ขอโทษหากไม่เหมาะสม

 
 
สำนักประชาสัมพันธ์เขต 3 จังหวัดเชียงใหม่ รายงานเมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2561 ที่ผ่านมาว่าที่ สถานีตำรวจภูธรช้างเผือก อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ นายศิริพงษ์ นำภา ป้องกันจังหวัดเชียงใหม่ ได้รับมอบอำนาจ จากนายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ให้นำหลักฐานเข้าดำเนินการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน กรณีที่ปรากฏภาพในสื่อโซเชียล ใช้ชื่อว่า "City Life Chiang Mai" ได้เผยแพร่ภาพ เกี่ยวกับ อดีตพระมหากษัตริย์ไทยสามพระองค์ผู้สร้างเมืองเชียงใหม่ โดยมีหน้ากากสวมปิดพระพักตร์ทั้งสามพระองค์ และมีข้อความเป็นภาษาไทยว่า "มาร่วมกันเอาอากาศของเราคืนมา" และข้อความเป็นภาษาอังกฤษว่า "Powerful painting by student at Prem,Piyapan Thiamthakorn,who pained this as part of grade 12 IB Diploma" ลงในเฟสบุ๊ค
 
โดยการเข้าแจ้งความกล่าวโทษในครั้งนี้ เนื่องจากพิจารณาเห็นแล้วว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากอดีตพระมหากษัตริย์ทั้งสามพระองค์ เป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวเชียงใหม่ และทรงเป็นผู้ร่วมกันก่อตั้งเมืองเชียงใหม่จนถึงทุกวันนี้ การนำภาพที่มีหน้ากาก สวมปิดพระพักตร์ ทั้งสามพระองค์ จึงเป็นการกระทำที่ลบหลู่ ไม่เคารพ และส่งผลกระทบต่อจิตใจ ของประชาชนชาวเชียงใหม่เป็นอย่างยิ่ง ทั้งยังอาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของจังหวัดเชียงใหม่ ทำให้เกิดผลกระทบต่อการท่องเที่ยว และเกิดความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจของจังหวัดเชียงใหม่
 
ทั้งนี้ อาจเป็นการกระทำผิดตามมาตรา 14 แห่งพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ. ศ. 2550 และจากข้อความ "Powerful painting by student at Prem, Piyapan Thiamthakorn, who pained this as part of grade 12 IB Diploma" จึงสันนิฐานว่า ภาพวาด ดังกล่าวเป็นฝีมือของ Piyapan Thiamthakorn การที่ผู้ใช้นามว่า City Life Chiang Mai ได้เผยแพร่ภาพ ซึ่งไม่ใช่ภาพของตน จึงอาจเป็นความผิดมาตรา 16 แห่งกฎหมายฉบับเดียวกันได้ จึงได้ดำเนินการกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน เพื่อให้ทำการสอบสวน และรวบรวมพยานหลักฐานดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดต่อไป 
 
เจ้าของ 'City Life Chiang Mai' แจงที่มาภาพ 3 กษัตริย์สวมหน้ากาก ขอโทษหากไม่เหมาะสม
 
วันนี้ (31 มี.ค.) ว๊อยซ์ทีวี รายงานว่าภิมทร์ เขมะสิงคิ เจ้าของนิตยสาร Citylife Chiang Mai ซึ่งได้รับการเปิดเผยว่า ตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อใด ๆ จากเจ้าหน้าที่ สำหรับรูปดังกล่าว เป็นฝีมือการวาดของเด็กนักเรียนของโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งตนเคยเห็นภาพนี้มาก่อนหน้านี้แล้ว ภายหลังจากที่มีการรวมตัวทำกิจกรรมเรื่องมลพิษทางอากาศ คุณครูของน้องนักเรียนก็ส่งภาพนี้มาให้ ตนเห็นว่ามีพลัง และเจ้าของผลงานก็อนุญาตให้เผยแพร่ได้ จึงโพสต์ภาพนี้ไปโดยไม่คิดว่าจะมีปัญหาอะไร แต่เมื่อเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จึงได้ลบภาพนี้ออกไปทันที
 
ภิมทร์ กล่าวยืนยันว่า เจตนาที่แท้จริงคือการพูดคุยเรื่องสุขภาพเท่านั้น ตนทราบดีว่าเจ้าหน้าที่ทำงานกันอย่างหนักเพื่อแก้ปัญหามลพิษที่เกิดขึ้น เข้าใจว่าไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ที่จะแก้ปัญหาได้อย่างทันทีทันใด แต่ประเด็นของเราไม่ได้ต้องการจะกล่าวหาหรือว่าใครว่าไม่ทำงาน เราเพียงแค่อยากให้ประชาชนได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจากเจ้าหน้าที่เท่านั้น
 
ด้านศิลปินที่อยู่เบื้อหลังผลงานชิ้นดังกล่าว ได้โพสต์ข้อความผ่านเพจ musicsgallery เป็นภาษาอังกฤษระบุว่าเป็นเรื่องน่าเศร้ามากที่มีการคุกคามให้ City Life Chiang Mai ปลดภาพดังกล่าวออก 
 
"มันเป็นเรื่องน่าอายที่มีคนเจ็บปวดกับภาพแต่ไม่เจ็บปวดกับมลพิษในอากาศที่พวกเขาสูดหายใจเข้าไป" 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผยคณะเภสัชฯ ม.รังสิต ผลิต 'ยาพ่นกัญชาบรรเทาปวด' เตรียมขึ้นทะเบียน อย.

Posted: 30 Mar 2018 09:56 PM PDT

'อาทิตย์ อุไรรัตน์' อธิการบดี ม.รังสิต โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัวว่าคณะเภสัชศาสตร์ ได้ผลิตยาพ่นกัญชาบรรเทารักษาอาการเจ็บปวดจากการรักษาทางเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้สำเร็จแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขอจดทะเบียน อย. ให้ใช้สำหรับผู้ป่วยได้ต่อไป ด้านรองเลขาธิการ อย. ระบุต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน ยิ่งเป็นกัญชาก็ต้องผ่านคณะกรรมการยาเสพติด กว่าจะขึ้นทะเบียนก็ต้องใช้เวลานาน

 
 
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต โพสต์รูปภาพและข้อความผ่าน เฟสบุ๊ส่วนตัว ว่า "คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ผลิตยาพ่นกัญชาบรรเทารักษามะเร็งสำเร็จแล้ว คณบดีและคณาจารย์นักวิจัยคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้นำยาสเปรย์ Cannabis กัญชา บรรเทารักษาอาการเจ็บปวดและอาเจียรจากการรักษาทางเคมีบำบัดสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งได้สำเร็จแล้ว ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างขอจดทะเบียน อย.ให้ใช้สำหรับผู้ป่วยได้ต่อไป"
 
ด้าน MGR Online รายงานว่า นพ.สุรโชค ต่างวิวัฒน์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่ามหาวิทยาลัยรังสิต ได้ขออนุญาตศึกษาวิจัยกัญชาเพื่อพัฒนาเป็นยารักษาโรค ตั้งแต่ปี 2560 ต่อเนื่องถึงปี 2561 ซึ่งข้อมูลที่นำมาเผยแพร่นั้น ยังเป็นเพียงการพัฒนาเท่านั้น ยังไม่สามารถนำมาขอจดจดทะเบียนจาก อย. ได้ต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน เนื่องจากแค่การขึ้นทะเบียนยาปกติก็ใช้เวลาเป็นปี ยิ่งเป็นกัญชาก็ต้องผ่านคณะกรรมการยาเสพติด กว่าจะขึ้นทะเบียนก็ต้องใช้เวลา
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลระบุคน กทม. ไม่ถึงครึ่งรู้ว่าวันที่ 2 เม.ย. เป็นวันอนุรักษ์มรดกไทย

Posted: 30 Mar 2018 09:25 PM PDT

บ้านสมเด็จโพลระบุ คน กทม. ไม่ถึงครึ่งรู้ว่าวันที่ 2 เม.ย. เป็นวันอนุรักษ์มรดกไทย อยากให้มีกิจกรรมแต่งชุดไทย และชุดไทยช่วยส่งเสริมสินค้าของชุมชนและการท่องเที่ยว

 
 
31 มี.ค. 2561 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพล สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ได้ดำเนินโครงการสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทย โดยเก็บจากกลุ่มตัวอย่างจากประชาชนที่อาศัยอยู่ในจังหวัดกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,195 กลุ่มตัวอย่าง เก็บข้อมูลในวันที่ 27 - 30 มี.ค. 2561  ซึ่งกลุ่มตัวอย่างในการสำรวจครั้งนี้ใช้เกณฑ์ตารางสำเร็จรูปของ Taro Yamane กำหนดว่าประชากรเกิน 100,000 คนต้องการความเชื่อมั่น 95% และความผิดพลาดไม่เกิน 3% ต้องใช้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,111 กลุ่มตัวอย่าง 
 
ผู้ช่วยศาสตราจารย์สิงห์ สิงห์ขจร ประธานคณะกรรมการศูนย์สำรวจความคิดเห็นบ้านสมเด็จโพลล์ กล่าวว่า ผลการสำรวจในครั้งนี้ต่อการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยว่ากระแสละครบุพเพสันนิวาส ออเจ้า ตัวละครอย่างแม่หญิงการะเกดและพ่อหมื่นเดช ที่ทำให้เกิดกระแสคนไทยทั้งประเทศมีการแต่งกายชุดไทยหรือผ้าไทยไปทั้งประเทศไทย ซึ่งก่อนหน้านั้นการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยไปร่วมงาน อุ่นไอรัก คลายความหนาว ที่ส่งเสริมให้ผู้มาเที่ยวชมแต่งกายด้วยชุดไทย เพื่อให้เกิดการรักษาและสืบสานวัฒนธรรมไทย ซึ่งในอดีตกระทรวงวัฒนธรรมได้มีการรณรงค์อย่างต่อเนื่องในการปลุกกระแสให้คนไทยมีการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปกที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ที่นำผ้าไหมไทยมาทำเป็นชุดให้ผู้นำนานาชาติสวมใส่ และรัฐบาลประกาศให้เจ้าหน้าที่รัฐแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยทุกวันศุกร์ แต่ไม่สามารถให้ประชาชนคนไทยร่วมกันแต่งกายชุดไทยหรือผ้าไทยได้เท่ากับในปัจจุบัน ซึ่งทุกวันที่ 2 เมษายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในฐานะที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างใหญ่หลวง ในงานด้านศิลปวัฒนธรรมของชาติ รัฐบาลจึงกำหนดให้เป็น วันอนุรักษ์มรดกไทย เพื่อรณรงค์ให้มีการสงวนรักษามรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติอย่างถูกวิธี เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้ประชาชนและภาคเอกชนได้มีความรู้สึกร่วมในความเป็นเจ้าของโบราณสถาน โบราณวัตถุและร่วมรับผิดชอบดูแลทะนุบำรุงรักษาได้เป็นมรดกไทยประจำถิ่น เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในท้องถิ่น และเพื่อลดอัตราการสูญเสีย และการถูกทำลายของโบราณสถานโบราณวัตถุให้น้อยลง ความคิดเห็นของประชาชนต่อการแต่งกายชุดไทยหรือผ้าไทย โดยมีข้อมูลที่น่าสนใจดังต่อไปนี้
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ทราบว่าวันที่ 2 เมษายน ของทุกปีเป็นวันอนุรักษ์มรดกไทย ร้อยละ 45.9 อันดับที่สองคือไม่ใช่ ร้อยละ 39.3 และอันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 14.8 
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เคยแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยในรอบ 1 ปี ร้อยละ 52.7 อันดับที่สองคือไม่ใช่ ร้อยละ 32.6 อันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 14.7 และอยากให้ประชาชนมีการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 58.2 อันดับที่สองคือไม่อยาก ร้อยละ 23.7 และอันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 18.1
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยจะช่วยกระตุ้นจิตสำนึกในการร่วมอนุรักษ์และส่งเสริมศิลปวัฒนธรรมไทยอันดีงาม ร้อยละ 68.2 อันดับที่สองคือไม่ใช่ ร้อยละ 19.7 และอันดับที่สามคือไม่แน่ใจ ร้อยละ 12.1
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่คิดว่าการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยจะช่วยส่งเสริมสินค้าของชุมชน ร้อยละ 63.8 อันดับที่สองคือไม่ใช่ ร้อยละ 17.5 อันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 18.7 และคิดว่าการแต่งกายชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทยจะช่วยส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศไทย ร้อยละ 64.3 อันดับที่สองคือไม่ใช่ ร้อยละ 17.7 และอันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 18.0
 
กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยากให้หน่วยงานภาครัฐ เอกชนมีกิจกรรมส่งเสริมการแต่งชุดไทยหรือชุดที่ตัดเย็บจากผ้าไทย ร้อยละ 61.2 อันดับที่สองคือไม่อยาก ร้อยละ 21.6 อันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 17.2 และอยากให้หน่วยงานที่ท่านทำงานหรือศึกษาอยู่กำหนดให้มีชุดยูนิฟอร์มเป็นชุดไทยหรือชุดยูนิฟอร์มที่ตัดเย็บจากผ้าไทย ร้อยละ 58.4 อันดับที่สองคือไม่อยาก ร้อยละ 24.9 และอันดับที่สามคือ ไม่แน่ใจ ร้อยละ 16.7 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จะล้มเหลวสักอีกกี่ครา...จึงจะปรับปรุงขั้นตอนการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ

Posted: 30 Mar 2018 09:09 PM PDT

"ปีนี้มันยุ่งยากกว่าทุกปี โดยเฉพาะจุดแสตมป์วีซ่าและขอใบอนุญาตทำงาน" เขาบอกว่าใช้ได้สองปี ผมกังวลว่า จะใช้ได้ถึงสองปีเต็มหรือเปล่า เดี๋ยวก็เลือกตั้งแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่รู้ว่านโยบายจะเปลี่ยนอีกไหม กำลังเก็บเงินได้ ก็ต้องมาเสียค่าต่อบัตรอีกแล้ว" ผมเพิ่งมาวันนี้ตอนตี 4 เพิ่งทำเสร็จจุดเดียวคือตรวจเอกสาร พรุ่งนี้ตอนห้าทุ่ม (ห้าทุ่มของวันที่ 29 มีนาคม) เจ้าหน้าที่ให้มาใหม่ ผมได้คิว 380 กว่ารอแสตมป์วีซ่า มันเป็นตามคิวครับ ผมได้คิวช่วงวันนี้ และคนอื่นๆ ก็ได้คิวตรงกัน คนมันก็เลยเยอะ"

"น้องมา 5 วันนี้หละมาจากแม่แจ่ม พ่อกับแม่ไม่ให้นอนที่นี่มันอันตราย เช่าห้องอยู่ที่กาดหลวงคืนละ 250 บาท น้องรอจ่ายเงินค่าบัตรสุขภาพ...ไม่รู้ว่าจะนัดมาตรวจเลือดวันไหน" "ค่าใช้จ่ายประมาณ 6,100 บาท และน้องต้องจ่ายค่ากรอกเอกสารอีก 1,000 บาท....โน้น..เขานั่งอยู่ด้านหลังนั้น ป่านนี้กลับล่ะมั้ง (ขณะนั้นเวลา 20.25 น.)" ไหนจะต้องเสียค่ารถ ค่าที่พัก ค่ากินอีก เยอะอยู่ค่ะ..

"ผมมาจากฝางครับ มานอนที่นี่ 3 คืนครับ ไป - กลับ ไม่ไหว มันไกล ...ผมก็นอนแถว ๆ นี่แหละครับ เสียค่าใช้จ่ายประมาณ 6,500 บาทครับ วันนี้ของผมเสร็จแล้ว แต่เพื่อนบางคนที่มาด้วยกันยังไม่เสร็จ มันตามคิวครับ"

"น้องอายุเพิ่ง 7 เดือน (ลูก) ต้องเอามาด้วย ไม่มีใครดูแลให้ มา 3 วันล่ะ นี่ก็รอจ่ายเงินค่าบัตรสุขภาพ" "เสร็จแล้วค่ะ จ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เขานัดอีกทีวันที่ 5 เมษายน ได้คิวที่ 300 กว่า"

นั่นเป็นคำบอกเล่าของแรงงานข้ามชาติที่มาทำการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ เชียงใหม่ เพื่อทำให้ตนเองอยู่ในประเทศไทยและทำงานได้อย่างถูกกฎหมาย ประมาณ 3-5 วันที่พวกเขาต้องมาอยู่ที่ หรือ มาที่ศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ จากการพูดคุยกับคนงาน พร้อมกับทางเครือข่ายแรงงานภาคเหนือที่ได้นำน้ำไปให้กับพี่น้องคนงานเพื่อช่วยดับกระหาย ช่วงย่ำเย็นของวันที่ 27 มีนาคม 2561

3-5 วัน นั้นเป็นระยะเวลาที่ไม่น้อยสำหรับคนต้องทำมาหากิน ทำงานจึงจะได้ค่าจ้างที่ต่ำกว่าอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ นอกจากขาดรายได้ ต้องมีค่าใช้จ่ายประมาณ 6,100 บาท โดยมีค่าแสตมป์ วีซ่า 500 บาท คำขอ 100 บาท + ใบอนุญาตทำงาน 2 ปี 1,800 บาท ตรวจสุขภาพ 500 บาท และบัตรสุขภาพ 3200 บาท ซึ่งไม่รวมกับค่ากรอกเอกสาร 1,000 บาท ค่าถ่ายรูป 80 บาท และ ถ่ายเอกสาร ซึ่งไม่ทราบว่าเสียอีกกี่สิบบาท ไหนจะค่าเดินทาง ค่ากินและอื่นๆ นี่เป็นค่าใช้จ่ายคร่าวๆ สำหรับแรงงานที่มายื่นด้วยตนเอง โดยไม่มีนายหน้า หากมีนายหน้าพวกเขาบอกว่าจะต้องจ่ายเพิ่มอีกไม่น้อยกว่า 2,000 บาทต่อคน

อย่างไรก็ตามเพื่อที่จะทำให้ตนนั้นอยู่และทำงานในประเทศไทยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก็ยอมที่จะต้องเสียทั้งเวลาและเงินทอง แต่สิ่งหนึ่งที่พวกเขารู้สึกกังวลค่อนข้างมากคือการต่อใบอนุญาตทำงานครั้งนี้มีอายุสองปี แต่พวกเขาจะสามารถใช้ได้ถึงสองปีเต็มหรือไม่ เพราะที่ผ่านมารัฐไทยมีนโยบายออกมาใหม่ ๆ เสมอสำหรับการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงาน ความไม่มั่นคงของนโยบายได้สร้างปัญหาให้กับคนงานทั้งด้านจิตใจและรายได้ของครอบครัว

สิ่งที่ไม่เห็นว่ามีการปรับปรุงของหน่วยงานรัฐที่รับผิดชอบในการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติคือ ขั้นตอนที่มีมากมายหลายขั้นตอน เอกสารที่ต้องตระเตรียมจำนวนมาก เอกสารที่ต้องกรอกมีเพียงภาษาไทย แรงงานไม่สามารถอ่านและเขียน ไม่มีบริการให้ความช่วยเหลือ นั้นหมายถึงคนงานต้องหาทางออกเองโดยยอมที่จะเสียเงินเพิ่มอีกหนึ่งพันบาทเพื่อให้คนในเงามืดจัดการกรอกและเรียงเอกสารให้ ถามว่าคนในเงามืดอยู่ที่ใด ก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ด้านหลังอาคารทำการศูนย์บริการเบ็ดเสร็จนั้นแหละ

เสียงสะท้อนจากคนทำงานด้านสิทธิแรงงานข้ามชาติ หลังจากที่ได้เข้าไปสังเกตการณ์และนำน้ำไปแจก เธอบอกว่าทำกับคนเหล่านี้ยิ่งกว่าสัตว์ หมา แมวที่เลี้ยงไว้ในบ้านยังได้รับการดูแลดีกว่าคนงานเหล่านี้เสียอีก ทำไมนั้นนะหรือ นอกจากค่าใช้จ่ายและขั้นตอนมากมายในการต่อบัตรที่ได้กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว นั้นก็คือสถานที่ ที่ไม่เอื้อต่อการนั่งรอระยะยาว ๆ ที่มีอากาศร้อนจัดในช่วงฤดูร้อน อุณหภูมิบางวันแตะที่ 36 องศาเซลเซียส มีเต็นท์เพียงไม่กี่หลัง คนทะลักออกนอกเต็นท์ โชคดีที่ฝนไม่ตก..ชีวิตนี้ต้องพึ่งโชคด้วยนะ ถึงจะมีชีวิตรอด ห้องน้ำมีอยู่สองแห่ง แห่งแรกอยู่ใกล้ ๆ กับอาคารที่ทำการ มีประมาณ 4 ห้อง เสียค่าบริการ 3 บาท ห้องน้ำไม่ต้องพูดถึงสกปรกมาก น้ำใช้ล้างก็ไม่มี แล้วจะเข้าอย่างไรล่ะ ก็ตอนจะเข้าไม่รู้นี่ว่าไม่มีน้ำ จ่ายแล้วก็ต้องเข้า ไม่ฉี่ไม่อึที่นี้แล้วจะไปปล่อยที่ไหน แห่งที่สองอยู่ไกลจากอาคารทำการประมาณ 600 -800 เมตร มีประมาณ 4 ห้องเช่นเดียวกัน ค่าบริการ 3 บาท ถามว่าพอไหม กับจำนวนคนที่หมุนเวียนอย่างช้าๆ ประมาณการไม่ต่ำกว่า 2000 – 3000 คนต่อวัน ....คำถามแรกที่เกิดขึ้น เพราะอะไรทางหน่วยงานที่รับผิดชอบไม่ขอความร่วมมือกับเทศบาลต่างๆ นำห้องน้ำเคลื่อนที่มาให้บริการกับคนเหล่านี้....เขาก็คน เราก็คน จะสัญชาติ เผ่าพันธุ์ใดก็ตาม

ฟ้ามืดหลอดไฟในภายในอาคารก็พร้อมเพรียงกันติดพรึบ ส่องแสงสว่างทั่วบริเวณด้านในอาคาร ซึ่งมันก็จำเป็นอย่างมากนั้นแหละ เพราะ ต้องทำเอกสาร หากมืดๆ มัวๆ ก็คงได้เขียนผิด พิมพ์ผิดกันบ้าง แต่พอพ้นอาคารมา มีติดไฟบ้างที่เต็นท์ด้านหน้า แต่ก็ไม่ได้ให้ความสว่างมากนัก พ้นเต็นท์หลังนั้นออกมาก็มืดแล้ว เต็นท์ด้านข้างไม่มีไฟแม้แต่ดวงเดียว คนงานนั่งรอด้วยความหวัง ที่มีความมืดเป็นเพื่อน ซึ่งต่างจากร้านค้าที่มาขายอาหารที่มีแสงสว่างซึ่งก็ไม่ทราบเช่นเดียวกันว่าเขาดำเนินการเองหรืออย่างไร

เราจะถามหาความปลอดภัยและสุขภาพของคนงานในระหว่างดำเนินการขึ้นทะเบียนและต่อใบอนุญาตทำงาน และกลุ่มที่ต้องนอนพักเอาแรง เพื่อดำเนินการต่อในวันรุ่งขึ้นได้อย่างไร ถามว่าเขาอยากนอนไหม คงไม่มีใครปรารถนาจะนอนที่นั้นหรอก อยากกลับที่พักไหม ทุกคนคงอยากกลับ แต่ก็กลับไม่ได้ เพราะมันไกล กลับไปแล้ว ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเดินทางมาใหม่ หรือบางพื้นที่ไปถึงที่แล้วก็ต้องวกรถกลับกันเลยเชียว ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการเดินทางนั้นไม่ใช่น้อย ยอมที่จะต้องอยู่กันแบบมืด แบบเสี่ยงๆ ชีวิตของพวกเขามีทางเลือกมากไปกว่านี้หรือไม่?

การขึ้นทะเบียนและการต่อใบอนุญาตทำงานในครั้งและที่ผ่านมา ได้สร้างความลำบากมากมายให้กับทั้งเจ้าหน้าที่ และแรงงาน หากมีความจริงใจ รัฐไทยควรออกนโยบายที่สอดคล้องกับความเป็นจริง และมีการปรับปรุงขั้นตอนให้เอื้ออำนวยความสะดวกต่อทุกฝ่าย...

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อดีตทหารเด็กพม่า ถูกสั่งจำคุกเพียงเพราะให้สัมภาษณ์เรื่องถูกบังคับเกณฑ์ทหารตอนเด็ก

Posted: 30 Mar 2018 08:43 PM PDT

อดีตทหารเด็กอองโคทวีเคยถูกบังคับเกณฑ์ทหารเข้ากองทัพพม่าแม้ว่าเขายังเป็นผู้เยาว์ เมื่อเขาให้สัมภาษณ์ในเรื่องนี้ต่อสื่อเรดิโอฟรีเอเชียกลับถูกจับกุมและดำเนินคดีข้อหายุยงให้เกิดความแตกตื่น และเพิ่งถูกตัดสินโดยศาลเมื่อช่วงกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยที่ตัวเขาเองพยายามแสดงออกประท้วงการตัดสินที่ดูไม่เป็นธรรมนี้มาโดยตลอด

 
 
30 มี.ค. 2561 สื่อดีวีบีรายงานว่าเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ที่ผ่านมาศาลกรุงย่างกุ้งตัดสินลงโทษอดีตทหารเด็ก อองโคทวี (Aung Ko Htwe) ให้จำคุกและใช้แรงงานหนักเป็นเวลา 2 ปี เพียงเพราะอองโคทวีเคยให้สัมภาษณ์ต่อสื่อเรดิโอฟรีเอเชียภาคภาษาพม่าเกี่ยวกับเรื่องที่เขาถูกบังคับเกณฑ์ทหารตั้งแต่ยังเป็นผู้เยาว์
 
ผู้พิพากษาจิตโคโค (Chit Ko Ko) ตัดสินลงโทษอองโคทวีโดยอ้างกฎหมายอาญามาตรา 505(b) ว่าด้วยการยุยงให้เกิดความแตกตื่นในหมู่ประชาชน โดยอองโคทวีถูกตัดสินลงโทษสูงสุดตามกฎหมายมาตรานี้ 
 
อองโคทวีถูกจับกุมหนึ่งสัปดาห์หลังจากในเรดิโอฟรีเอเชียเผยแพร่บทสัมภาษณ์เมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา โดยที่ในระหว่างการพิจารณาคดีอองโคทวีปฏิเสธจะให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีกับเขา การดื้อแพ่งของเขาทำให้เขาถูกตัดสินว่าหมื่นศาลและถูกสั่งลงโทษจำคุก 6 เดือนไปก่อนหน้านี้
 
นอกจากคดีก่อนหน้านี้แล้วหลังการตัดสินคดีล่าสุดสถานีตำรวจในท้องที่ก็ฟ้องร้องอองโคทวีเพิ่มด้วยกฎหมายตราสหภาพมาตรา 7 จากการที่อองโคทวีเคยแสดงการประท้วงศาลด้วยการเหยียบฉบับคัดลอกของรัฐธรรมนูญพม่าปี 2551 ในการพิจารณาคดีเมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ทำให้โจกท์ฟ้องร้องโดยอ้างว่าเขากระทำผิดโดยการแสดงออกลบหลู่ตราสหภาพ และถ้าหากพบว่ามีความผิดจริงกฎอาจจะถูกจำคุกเพิ่มสูงสุด 3 ปี
 
ทนายความของอองโคทวี โรเบิร์ต ซาน ออง กล่าวว่าข้อกล่าวหาล่าสุดไม่มีมูลเพราะการเหยียบรัฐธรรมนูญไม่สามารถบ่งบอกได้ว่าเป็นการทำลายตราสหภาพ 
 
ขณะที่ตัวอองโคทวีเองให้สัมภาษณ์ต่อสื่อว่าการตัดสินเขาในครั้งนี้เป็นความพยายามร่วมกันของอัยการและผู้พิพากษาที่พยายามยัดเยียดข้อหามาตรา 505(b) ใส่เขาให้ได้ อองโคทวีบอกว่ากองทัพไม่ใช่รัฐบาลหรือภาครัฐ ศาลจึงไม่สามารถตั้งข้อหาตามกฎหมายมาตรา 505(b) กับเขาได้
 
กฎหมายอาญา 505(b) ของพม่าระบุห้ามไม่ให้มีการเผยแพร่ข้อความที่ "มีเจตนาสร้างหรือมีโอกาสสร้างความหวาดผวาหรือสร้างความแตกตื่นต่อประชาชน หรือต่อภาคส่วนใดก็ตามของสาธารณะ โดยอาจจะทำให้บุคคลใดๆ ก็ตามถูกกระตุ้นให้ก่อเหตุล่วงละเมิดต่อรัฐหรือต่อความสงบเรียบร้อยในสังคม"
 
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Ex-child soldier gets two years in prison for telling of forced conscription, DVB, 28-03-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น