โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ชุมนุมหน้ากองทัพบกทวงเลือกตั้ง-เรียกร้องทหารกลับเข้ากรมกอง

Posted: 24 Mar 2018 05:52 AM PDT

กลุ่ม "ฟื้นฟูประชาธิปไตย" เรียกร้องจัดเลือกตั้งปีนี้ตามที่หัวหน้า คสช. เคยรับปาก ก่อนเดินขบวนจาก ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มุ่งหน้ากองทัพบกเพื่อเรียกร้องให้กองทัพหยุดหนุน คสช. ทหารต้องกลับเข้ากรมกอง

คลิปเดินขบวน-ชุมนุมหน้ากองทัพบกเรียกร้องทหารกลับเข้ากรมกอง

24 มี.ค. 2561 เวลา 16.00 น. บริเวณสนามฟุตบอล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ กลุ่มคนอยากเลือกตั้งได้นัดชุมนุมเป็นครั้งที่ 4 โดยในเวลา 17.00 น. จะเดินขบวนมุ่งหน้าไปยังกองทัพบก ถนนราชดำเนิน ทวงถามการกำหนดวันเลือกตั้งที่ทางกลุ่มเรียกร้องให้เกิดขึ้นภายในปีนี้

ทั้งนี้รังสิมันต์ โรม นักศึกษาปริญญาโท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แกนนำกลุ่มฟื้นฟูประชาธิปไตยกล่าวทวงการเลือกตั้งภายในปีนี้ ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยสัญญาไว้ว่าจะต้องเลือกตั้งปีนี้ แต่ข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาล มีแต่บอกว่าจะจัดเลือกตั้งภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2562

รังสิมันต์ กล่าวด้วยว่า ขอเรียกร้องดังกล่าวได้เสนอทางออกให้กับสังคมไทยนั่นคือเสนอให้ คสช. ยุติการทำหน้าที่ และให้เหลือไว้เพียงแต่รัฐบาลรักษาการณ์ เพื่อเดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ต่อเรื่องดังกล่าวรัฐบาล และ คสช. ก็ยังเมินเฉย

เขากล่าวต่อว่า วันนี้ข้อเสนอของประชาชน กลุ่มคนอยากเลือกตั้งคือ การเรียกร้องให้กองทัพยุติการสนับสนุน คสช. เพื่อให้ทหารถอนตัวออกไปจากการเมือง และการบริหารประเทศ โดยจะมีการเดินขบวนจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ไปยังกองทัพบก ที่ถนนราชดำเนินนอก เพื่อเรียกร้องข้อเสนอดังกล่าว

"การที่เราไปที่กองทัพวันนี้ ก็ถือเป็นการกดดันอย่างหนึ่ง หากรัฐบาล และ คสช. ตอบสนองต่อข้อเรียกร้องของประชาชน ก็ไม่จำเป็นที่มีการชุมนุม แต่รัฐบาลและคสช. ไม่เคยตอบสนองของเรียกร้องของประชาชนเลย และหากยังไม่มีการตอบสนองต่อไปอีก ในเดือนพฤษภาคม จะเป็นเดือนแห่งการขับไล่ รัฐบาล และ คสช. ต่อไป" รังสิมันต์ กล่าว

ด้านสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือจ่านิว ระบุว่าหากรัฐบาลและ คสช. จะทำให้เกิดการเลือกตั้งภายในปีนี้ก็สามารถทำได้ แต่ข้อเท็จจริงพบว่า กลับมีการเตะถ่วงยื้อการเลือกตั้งออกไปอีก โดยอาศัยกลไกทางกฎหมายที่มีการยื่นส่ง พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง ส.ว. ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณา และการยืดเวลาการประกาศใช้ พ.ร.ป. การเลือกตั้ง ส.ส. ออกไปอีก 90 วัน

"ข้อเรียกร้องวันนี้กองทัพสามารถทำได้เลย พรุ่งนี้คุณก็ไปยื่นใบลาออกจาก คสช. ง่ายๆ ขึ้นอยู่กับว่าจะทำหรือเปล่า หรือจะทำให้ประชาชนเห็นว่าคุณหนุน คสช. อยู่ หากไม่ตอบสนองข้อเรียกร้องก็ต้องไล่กันต่อไปให้ออกไปทั้งองคาพยพ" สิรวิชญ์

ต่อมาในเวลา 17.15 น. กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ได้เริ่มเดินขบวนออกจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ โดยระหว่างกำลังเคลื่อนขบวนอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งแถวปิดหน้าประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อไม่ให้รถปราศรัยหกล้ออกจากมหาวิทยาลัย และยึดกุญแจจากคนขับรถหกล้อ

ด้านแกนนำผู้ชุมนุมได้ลงจากรถหกล้อ ไปรวมกับประชาชนบริเวณหน้ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ เพื่อขึ้นรถกระบะสี่ล้ออีกคันหนึ่ง ที่จอดเตรียมพร้อมไว้บริเวณหน้าโรงละครแห่งชาติ และเคลื่อนขบวนเข้าสู่ถนนราชดำเนิน โดยมี เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในและนอกเครื่องแบบ ตามขบวนและควบคุมผู้ชุมนุมไม่ให้ลงสู่พื้นผิวการจราจร โดยเจ้าหน้าที่ให้เหตุผลว่าเกรงว่าจะส่งผลให้การจราจรติดขัด

อนึ่งแกนนำผู้ชุมนุมยังออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ คสช. ยุติการดำรงอยู่ของตนเอง และเปลี่ยนเป็นรัฐบาลรักษาการ พร้อมเรียกร้องให้กองทัพยุติการสนับสนุน คสช. ด้วย โดยรายละเอียดของแถลงการณ์ซึ่งอ่านโดย รังสิมันต์ โรม มีดังนี้

แถลงการณ์ขอเรียกร้องให้ คสช. ยุติการดำรงอยู่ของตนเอง
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เปลี่ยนสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ
และกองทัพยุติการสนับสนุน คสช.

ตามที่เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2561 พวกเราได้เรียกร้องให้ยุติการดำรงอยู่ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และเปลี่ยนสถานะของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลรักษาการ เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้นจริง และจะไม่มีการสืบทอดอานาจของ คสช. ในอนาคตนั้น

ในเวลาต่อมา ได้มีคำโต้แย้งจากบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องกับ คสช. โดยยกอ้างเหตุต่างๆ นานาเพื่อจะสร้างความชอบธรรมให้กับ คสช. ในการดำรงอยู่ต่อไป ทั้งอ้างว่า คสช. จำเป็นต้องอยู่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง อ้างว่ารัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 กำหนดให้ คสช. ดำรงอยู่จนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ หรืออ้างว่า คสช. ไม่เป็นอุปสรรคต่อการจัดการเลือกตั้ง

พวกเราขอตอบข้อโต้แย้งทั้งหมดที่กล่าวมา ดังนี้

1. การรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง เป็นภารกิจที่สามารถดำเนินการได้โดยรัฐบาลและหน่วยงานราชการตามระบบปรกติ ซึ่งรวมถึงตำรวจและกองทัพ ไม่จำเป็นต้องมีคณะบุคคลอย่าง คสช. เพิ่มเติมขึ้นมาให้สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินอีก ยิ่งเมื่อประกอบกับสภาวการณ์ของประเทศไทย ที่การก่อความไม่สงบที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากผู้มีอานาจรัฐไม่รู้เห็นเป็นใจ นั่นหมายความว่าหากรัฐบาลและหน่วยงานราชการปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะต้องตั้ง คสช. ขึ้นมาเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยตั้งแต่แรก

2. บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญไม่ใช่สิ่งจะต้องเป็นเช่นนั้นตลอดไป หากแต่สามารถเปลี่ยนแปลงได้หากมีเหตุผลอันสมควร โดยเฉพาะบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ตราขึ้นโดยฝ่าย คสช. เพื่อตอบสนองความต้องการและผลประโยชน์ของตัวเอง โดยนัยยะนี้ การกล่าวว่า "เพราะกฎหมายกำหนดไว้เช่นนั้น" จึงไม่ต่างกับการกล่าวว่า "เพราะ คสช. ต้องการให้เป็นเช่นนั้น" ซึ่งความต้องการที่ว่านี้ของ คสช. ได้ทำลายหลักประกันว่าจะเกิดการเลือกตั้งและไม่มีการสืบทอดอำนาจ จึงเป็นเหตุผลอันสมควรที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้เพื่อให้ยุติการดำรงอยู่ของ คสช. ได้

3. คสช. เป็นอุปสรรคที่สำคัญที่สุดต่อการจัดการเลือกตั้ง เพราะ คสช. เป็นผู้เสียผลประโยชน์โดยตรงจากการจัดการเลือกตั้ง แต่กลับเป็นผู้ถือครองอำนาจสูงสุดของประเทศ จึงมีโอกาสที่ คสช. จะใช้อำนาจนั้นเพื่อสนองประโยชน์ของตน โดยสั่งเลื่อนการจัดการเลือกตั้ง หรือใช้อิทธิพลของตนในฐานะผู้ถืออานาจสูงสุดชักจูงหรือข่มขู่องค์กรอื่นให้หาทางเลื่อนการจัดการเลือกตั้งได้เสมอ

ด้วยเหตุผลดังที่ได้อธิบายนี้ พวกเราจึงยังขอยืนยันในข้อเรียกร้องเดิมว่า คสช. จะต้องยุติการดำรงอยู่ของตัวเอง และรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องเปลี่ยนสถานะเป็นรัฐบาลรักษาการ เพื่อสร้างหลักประกันว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้นจริง และจะไม่มีการสืบทอดอำนาจของ คสช.

นอกจากนี้ในวันนี้ ณ กองบัญชาการกองทัพบกแห่งนี้ พวกเราขอเรียกร้องต่อกองทัพแห่งราชอาณาจักรไทย เรียกร้องต่อทหารทุกนายไม่ว่าจะเหล่าใด ชั้นใด หรือยศใด ให้ยุติการสนับสนุน คสช. และระบอบรัฐประหารที่ปกครองประเทศอยู่ในปัจจุบันนี้เสีย เราได้เห็นตัวอย่างจากนานาอารยประเทศแล้วว่ากองทัพสามารถดำรงอยู่ในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างมีศักดิ์ศรี การที่กองทัพกลายมาเป็นผู้ค้ำจุนความกระหายอานาจของนายทหารเพียงไม่กี่คน มีแต่จะทำให้กองทัพกลายเป็นที่รังเกียจของประชาชน และผู้ที่ต้องแบกรับความเสื่อมเสียที่ก่อโดยนายทหารเพียงไม่กี่คนนั้น ก็คือทหารทุกนายในประเทศนี้

เราหวังเป็นที่สุดว่าข้อเรียกร้องของเราในวันนี้จะถูกนำไปปฏิบัติ หาก คสช. และกองทัพต้องการให้เกิดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด และไม่คิดจะสืบทอดอำนาจเผด็จการจริง นี่คือวิธีการเดียวที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้ แต่หากยังเพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องนี้อีก ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า คสช. และกองทัพมีปณิธานที่จะแสวงหาผลประโยชน์แก่ตนเองและพวกพ้องจาก

เลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และน้ำตาของประชาชนอย่างเป็นการถาวร เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราจะกลับมาอีกครั้ง จะยกระดับการต่อสู้ให้สูงยิ่งกว่าแต่ก่อน เพื่อขับไล่พวกคุณออกไป

24 มีนาคม 2561.

อนึ่งในเวลา 19.30 น. ที่หน้ากองทัพบก ตำรวจได้เตือนให้ผู้ชุมนุมยุติการชุมนุมไปภายในเวลา 19.45 น. มิเช่นนั้นจะเปิดเครื่องขยายเสียงเพื่อให้ผู้ชุมนุมสลายตัว ขณะที่ผู้ชุมนุมยืนยันจะชุมนุมตามกำหนดการที่วางไว้คือจนถึงเวลา 20.00 น. จึงจะเลิกชุมนุม ทั้งนี้ยังตะโกนด้วยว่า "เลือกตั้ง เลือกตั้ง" โดยผู้ชุมนุมยังขอชุมนุมจนถึงเวลา 21.00 น. โดยระบุว่ายังเหลือคิวผู้ปราศรัยอีก 2 คน

กระทั่งในเวลา 20.12 น. รังสิมันต์ โรม แกนนำขึ้นปราศรัยคนสุดท้ายว่ากิจกรรมวันนี้เป็นครั้งสุดท้าย แต่ขอให้ผู้กิจกรรมอย่าหยุดจนกว่าการเรียกร้องประชาธิปไตยคืนให้ประชาชนจะสำเร็จ ตอนหนึ่งเขากล่าวถึงจตุภัทร บุญภัทรรักษา หรือ "ไผ่ ดาวดิน" ว่าเพิ่งเจอตอนเขาไปเยี่ยมที่เรือนจำขอนแก่น โดยยกย่องความเป็นนักต่อสู้ที่ไม่ยอมแพ้ จากนั้นผู้ชุมนุมได้ยุติการจัดกิจกรรมและออกจากพื้นที่เมื่อเวลา 20.30 น.

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ซาปาติสตาจัดงานประชุมรวมตัวผู้หญิงจากทั่วโลก แลกเปลี่ยนในแนวระนาบ

Posted: 24 Mar 2018 01:44 AM PDT

กลุ่มผู้หญิงขบวนการซาปาติสตาที่มีชื่อในระดับโลก จัดการประชุมใหญ่โดยเชื้อเชิญผู้หญิงจากทั่วโลกเข้าร่วมแลกเปลี่ยนและเรียนรู้ทั้งในประเด็นสตรีนิยมและประเด็นอื่นแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิง มีผู้เข้าร่วมจากหลายสิบประเทศด้วยกระบวนการที่เน้นการมีส่วนร่วมแนวระนาบ พวกเธอประกาศย้ำว่าจะไม่หยุดต่อสู้ดิ้นรนเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

 

24 มี.ค. 2561 ในวาระเดือนสตรีสากล กลุ่มผู้หญิงแห่งขบวนการซาปาติสตานับหมื่นคนรวมตัวกันที่เขตปกครองในรัฐเชียปาส พร้อมป้ายผ้า "ยินดีต้อนรับผู้หญิงของโลก" ตั้งตระหง่าน มีผู้หญิงจากหลายสิบประเทศมารวมตัวกันในพื้นที่เฉพาะของผู้หญิงแห่งนี้เป็นเวลาตลอด 3 วันเต็ม
 
นี่เป็นครั้งแรกที่กลุ่มซาปาติสตาจัดการรวมกลุ่มหญิงจากทั่วโลกในชื่อว่า การรวมกลุ่มของผู้หญิงผู้ต่อสู้ทั้งทางการเมือง, ศิลปะ, การกีฬา และวัฒนธรรมระดับนานาชาติ โดยมีการเชื้อเชิญ "สหายหญิง" ทั้งหลายเข้าร่วมเฉลิมฉลองและจัดตั้งกันเพื่อต่อสู้กับทุนนิยมและระบอบชายเป็นใหญ่
 
เอริกา หนึ่งในผู้ขบถต่อต้านกล่าวว่าพวกเธอไม่ได้ขอร้องให้มาช่วยกันสู้ แค่ขอให้ทุกคนอย่าหยุดต่อสู้ดิ้นรน อย่ายอมแพ้ อย่าขายวิญญาณตัวเอง และอย่าไปขัดขวางผู้หญิงที่ต่อสู้
 
ชนพื้นเมืองมายาแห่งซาปาติสตากำลังพยายามสร้างแนวทางเลือกใหม่นอกเหนือไปจากทุนนิยมโดยอาศัยฐานรากจากชนชั้นล่าง แนวทางของพวกเขาส่งแรงบันดาลใจให้กับขบวนการเคลื่อนไหวต่อต้านโครงสร้างรากฐานดั้งเดิมทั่วโลกมาเป็นเวลากว่ามากกว่า 20 ปี แล้ว พวกเขาเริ่มต้นจากการเป็นกลุ่มขบวนการใต้ดินที่ต่อต้านข้อตกลงการค้าที่จะส่งผลกระทบกับชีวิตทำให้ชีวิตชนพื้นเมืองอย่างพวกเขาแย่ลงและทำให้ความไม่เท่าเทียมเพิ่มมากขึ้น รวมถึงต่อมาได้เรียกร้องสิทธิในการตัดสินใจของตัวเองในด้านการเมือง วัฒนธรรม และที่ดิน รวมถึงมีกระบวนการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ แบบเน้นการมีส่วนร่วมจากคนในท้องถิ่น
 
สำหรับกลุ่มผู้หญิงซาปาติสตานั้น พวกเธอรวมตัวกันเพื่อโต้ตอบทั้งทุนนิยมและระบอบชายเป็นใหญ่ที่ไม่เพียงแค่กดขี่รังแกและลดทอนคุณค่าของผู้หญิงเท่านั้น แต่ยังเป็นระบอบที่มีส่วนในการสังหารผู้หญิงด้วย พวกเธอจึงเชื้อชวนผู้หญิงจากทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกความเชื่อ เพื่อ "พูดคุยและรับฟังกันแบบผู้หญิง" โดยมีการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันระหว่างกลุ่มผู้หญิงจากหลายแห่งในโลก
 
เช่นกรณีของหญิงสูงวัยรายหนึ่งที่พูดถึงประสบการณ์ตัวเองที่ถูก "รังแกซ้ำสอง" ทั้งจากเจ้านายและจากสามีเธอเอง ขณะที่เจ้านายอ้างใช้ระบบและทาสติดหนี้สินมาข่มเหงรังแกเธออย่างโหดร้าย สามีเธอก็อ้างใช้อำนาจแบบอาณานิคมในการทุบตีและดูหมิ่นเหยียดหยามเธอ เรื่องราวแบบนี้เองที่ทำให้การต่อสู้ของซาปาติสตาเป็นการต่อสู้ในฐานะของผู้หญิงคนหนึ่งด้วย
 
แม้แต่กลุ่มผู้หญิงในกระบวนการซาปาติสตาเองก็ต้องใช้เวลาต่อสู้ท้าทายกับการเหยียดเพศและการไม่รู้หนังสือของพวกเธอจนสามารถมีที่ทางของตัวเองในขบวนการได้ สหายหญิงมารีนาบอกว่าไม่ใช่ผู้ชายหรอกที่ให้พวกเธอมีสิทธิในการมีส่วนร่วม แต่เป็นสหายหญิงคนแรกที่ลุกขึ้นมาท้าทายและเปิดตาพวกเธอ 
 
สหายหญิงเหล่านี้ยังรวมตัวกันเฉลิมฉลองความก้าวหน้าอย่างใหญ่หลวงทั้งทางด้านสุขภาวะ, การศึกษา และสิทธิสตรี ที่ได้มาจากวิธีการจัดตั้งกันเอง โครงการชุมชน และการสร้างความตระหนักรู้ทางการเมือง โดยที่แนวคิดแบบชายเป็นใหญ่ถูกแฝงฝังอยู่ในการปฏิสัมพันธ์ของชีวิตประจำวัน แต่พื้นที่ของซาปาติสตาก็มีคนพยายามเปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ หรือกลุ่มผู้หญิงบางกลุ่มก็ได้รับแรงันดาลใจจากการต่อสู้ของซาปาติสตาไม่ว่าจะเป็นวินัย ความอดทน ความเป็นผู้นำ และความทรงจำร่วมกัน
 
ผู้ที่เข้าร่วมบางคนบอกว่าตนเองมาจากพื้นเพเป็น "หญิงคนขาวในเมืองที่มีอภิสิทธิ" แต่พอได้มาเรียนรู้จากผู้หญิงซาปาติสตาแล้วก็รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเอง หญิงอีกรายเป็นศิลปินชาวสเปนบอกว่าลักษณะการต่อสู้ของซาปาติสตาอาจจะนำไปใช้กับปาเลสไตน์ได้ แต่สำหรับตัวเธอเองแล้วต้องหันกลับไปดูการต่อสู้ของตัวเองในที่ของเธอ
 
ผู้เข้าร่วมอีกรายหนึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาเอกจากโคลอมเบียชื่อ แอสตริค คูโร มอนเตเนโกร กล่าวว่าการจัดประชุมสตรีนิยมของซาปาติสตามีความเปิดกว้างต่อการมีส่วนร่วมอย่างเน้นการรับฟังกันแทนการยัดเยียดความติดของตัวเอง อีกทั้งยังบอกว่าเป็น "สตรีนิยมที่มาจากประสบการณ์" แบบเดียวกับกลุ่มคนทำงานในบ้านที่ซานคริสโตบัล
 
ทั้งนี้ในการประชุมยังมีลักษณะเกื้อหนุนให้รับฟังอย่างเคารพกันโดยที่เอริกาพูดเน้นว่าพวกเธอไม่ได้ถูกเชิญมาเพื่อให้แข่งขันชิงดีชิงเด่นกัน แต่อยากให้มาร่วมกันในแบบที่ "แตกต่างอย่างเท่าเทียมกัน" โดยไม่ลบความแตกต่างหลากหลายของปัจเจกบุคคล ที่มาแลกเปลี่ยนประสบการณ์หลายประเด็น ตั้งแต่ความหลากหลายทางเพศ การเหยียดเพศ การเหยียดเชื้อชาติ การมีส่วนร่วมของผู้หญิงในการเมือง สิทธิชนพื้นเมือง สิทธิในการทำแท้งอย่างปลอดภัย
 
ในงานนอกจากการประชุมแล้วยังมีการจัดแสดงดนตรี หนังสือ การอ่านบทกวี การแสดงละคร การจัดแสดงศิลปะ สินค้าแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และการเล่นกีฬาหลายชนิด รวมถึงการเต้นรำและศิลปะป้องกันตัวต่างๆ กิจกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นมาเองจากความสนใจร่วมกันของพวกเธอโดยที่ไม่ได้มีการจัดตารางที่ตายตัว ทำให้เกิดทั้งการริเริ่มและการเพิ่มความเข็มแข็งในสิ่งที่มีอยู่แล้ว
 
หนึ่งในผู้ที่ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้คือ เบอร์นาร์ดา เปซัวร์ ทอร์เรส สมาชิกขององค์กรโคนามูรี องค์กรเกษตรกรชนพื้นเมืองปารากวัยพูดถึงวัฒนธรรมและการเคลื่อนไหวของพวกเขา เธอบอกว่าการได้แลกเปลี่ยนกับผู้หญิงทุกคนในงานประชุมของซาปาติสตาทำให้ได้รับรู้ถึงการต่อสู้ดิ้นรนในชีวิตประจำวันของคนอื่นๆ เป็นการเสริมพลังให้กับตัวเธอเองและพัฒนาการเป็นผู้นำในตัวเธอเองไปด้วย
 
ผู้หญิงซาปาติสตาเองก็รู้สึกประหลาดใจที่มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากจากหลายชาติ สหายหญิงดาเลียกล่าวว่าพวกเธอชอบฟังประสบการณ์ของผู้หญิงคนอื่นๆ ที่มาที่นี่มาก และบอกว่ามันเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเธอจะต้อง "จัดตั้งในฐานะผู้หญิงเพื่อต่อต้านระบบทุนนิยมแบบแย่ๆ" ซึ่งเป็นระบบที่ส่งผลกระทบต่อผู้หญิงในแง่ที่ทำให้ผู้หญิงกลายเป็นสินค้า เป็นการโฆษณาหรือเป็นแค่เครื่องประดับ ตามข้อความที่ระบุไว้บนภาพฝาผนังภายในงานประชุม
 
อย่างไรก็ตามมีเสียงสะท้อนถึงปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นในงานนี้เช่นกัน จูเลียนนา คาบัล ซอค นักมานุษยวิทยาผู้มีเชื้อสายชาวมายากล่าวว่ามีอยู่บางคนโดยเฉพาะหญิงคนขาวควรจะทำการบ้านมามากกว่านี้ในเรื่องประวัติศาสตร์ของซาปาติสตาและขวนการปลดปล่อยจากอาณานิคมก่อนที่จะเข้าร่วมกิจกรรม มันเป็นเรื่องท้าทายสำหรับเธอที่อยากเข้าร่วมพื้นที่ปลดปล่อยจากอาณานิคมแต่กลับต้องมาคอยสอนนั่นสอนนี่ให้พวกคนขาวและเจอการถือดีในแบบคนขาว (white entitlement)
 
อย่างไรก็ตามซอคบอกว่างานประชุมในครั้งนี้ก็ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่ "งดงาม" และทำให้ได้เห็นผู้หญิงซาปาติสตาผู้มีสายเลือดส่วนหนึ่งของ "นักรบหญิง (ชาวมายา) 2,000 ปี" กำลังเปลี่ยนแปลงสังคมจากล่างขึ้นบน
 
ในประวัติศาสตร์การต่อสู้ของซาปาติสตา ไม่เพียงแค่เรื่องของการต่อกรกับการรุกล้ำของทุนนิยมระดับโลกเท่านั้น แต่ยังมีการต่อสู้ของผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับการเหยียดเพศและการกีดกันที่ฝังรากลึกในสังคมเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและศักดิ์ศรีของตัวเอง รวมถึงการเป็นผู้นำชุมชน เช่นในช่วงราว 2533-2543 ผู้หญิงซาปาติสตาต่อสู้เพื่อให้มีกฎหมายคุ้มครองทั้งในแง่การมีส่วนร่วมทางการเมือง สุขภาวะ และการคุ้มครองจากความรุนแรง รวมถึทให้หญิงชนพื้นเมืองรับรู้คุณค่าในตัวเองเพื่อต่อต้านอำนาจตกค้างมาจากยุคอาณานิคม ส่วนเหล่านี้แม้จะเกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ก็กำลังพัฒนาไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง
 
 
เรียบเรียงจาก
 
"Don't Surrender, Don't Sell Out:" The Zapatistas' First International Gathering of Women Who Struggle, Toward Freedom, 19-03-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธนาคารเริ่มอายัดบัญชี 13 แกนนำพันธมิตรฯ แล้ว

Posted: 24 Mar 2018 01:26 AM PDT

'ไทยโพสต์' ระบุสัปดาห์ที่ผ่านมา บ.การท่าอากาศยาน ได้ประกาศจ้างบริษัทเอกชนสืบทรัพย์ (ค้นหาทรัพย์สิน) 13 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) นอกจากนี้กรมบังคับคดียังส่งเอกสารถึงทุกธนาคารให้ดำเนินการอายัดทุกบัญชีของทั้ง 13 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 
24 มี.ค. 2561 เว็บไซต์ไทยโพสต์ รายงานว่ากรณีศาลแพ่งอ่านคำสั่งศาลฎีกา  พิจารณาตามศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ยื่นขอขยายระยะเวลาฎีกา ในคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล และพวกรวม 13 คน แกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เป็นเงินกว่า 522 ล้านบาท รวมดอกเบี้บแล้วเกือบ 900 ล้าน เรื่องอยู่ระหว่างการบังคับคดีนั้น  
 
ล่าสุดมีรายงานว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา บ.การท่าอากาศยาน ได้ประกาศจ้างบริษัทเอกชนสืบทรัพย์(ค้นหาทรัพย์สิน)ทั้ง 13 คน  นอกจากนี้กรมบังคับคดี ส่งเอกสารถึงทุกธนาคาร ให้ดำเนินการอายัดทุกบัญชีของทั้ง 13 คนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
 
สำหรับ 13 แกนนำพันธมิตรฯ ประกอบด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายพิภพ ธงไชย นายสุริยะใส กตะศิลา นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ นายอมร อมรรัตนานนท์ นายนรัญยู หรือศรัณยู วงษ์กระจ่าง นายสำราญ รอดเพ็ชร นายศิริชัย ไม้งาม นางมาลีรัตน์ แก้วก่า และนายเทิดภูมิ ใจดี  ซึ่งตกเป็นจำเลยร่วมกันในคดีฟ้องละเมิดเรียกค่าเสียหาย จากกรณีร่วมกันปิดสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิเมื่อปี 2551 โดยต้องชดใช้พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 3 ธ.ค. 2551
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

58 พรรคการเมืองเก่าพร้อมประชุมกับ กกต. 28 มี.ค.นี้

Posted: 24 Mar 2018 01:12 AM PDT

24 มี.ค. 2561 มติชนออนไลน์ รายงานว่าพ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา รักษาการเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) กล่าวว่า ในวันที่ 28 มี.ค. 2561 สำนักงาน กกต.ได้เตรียมการเกี่ยวกับการจัดประชุมพรรคการเมืองไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ขณะนี้มีพรรคการเมืองที่จะเข้าแล้ว 58 พรรค ประมาณ 294 คน ทั้งนี้การจัดประชุมดังกล่าวจะให้เฉพาะพรรคการเมืองเก่าที่เคยจดทะเบียนกับ กกต.ไว้ เพราะ กกต.ได้จัดประชุมเฉพาะกลุ่มการเมืองใหม่ไปแล้วในวันที่ 9 ก.พ. ที่ผ่านมา ซึ่งจะต้องดูว่าก่อนจะถึงวันที่ 28 มี.ค. นี้ จะมีพรรคการเมืองเข้าร่วมประชุมดังกล่าวครบทั้ง 69 พรรคหรือไม่
 
สำหรับพรรคที่ตอบรับเข้าร่วมการประชุมชี้แจงแนวทางการดำเนินกิจการพรรคการเมือง ครั้งที่ 2/2561 เรื่อง แนวทางการดำเนินกิจการแก่พรรคการเมืองที่จัดตั้งหรือเป็นพรรคการเมืองตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ขณะนี้มี 58 พรรค 294 คน อาทิ พรรคประชาธิปัตย์ นำโดย นายอสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค น.ส.ผ่องศรี ธาราภูมิ นายทะเบียนพรรค พรรคเพื่อไทย นำโดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค และนายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย พรรคชาติพัฒนา นำโดยนพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล หัวหน้าพรรค และนายประเสิรฐ บุญชัยสุข เลขาธิการพรรค พรรคชาติไทยพัฒนา นำโดย นายธีระ วงศ์สมุทร หัวหน้าพรรค นายพิสิษฐ์ พิทยฐากุลเจริญ นายทะเบียนพรรค และนายวราวุธ ศิลปอาชา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค พรรคภูมิใจไทย นำโดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค นายศุภชัย ใจสมุทร รองเลขาธิการพรรค พรรคพลังชล นายพันธุ์ศักดิ์ เกตุวัตถา เลขาธิการพรรค เป็นต้น
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: “ออเจ้า” ปลุกไทยนิยม?

Posted: 23 Mar 2018 11:26 PM PDT



"ออเจ้าฟีเวอร์" ปลุกคนไทยแห่เที่ยวอยุธยามากกว่าปกติ 5-6 เท่า ฟังข่าวครั้งแรกก็ยังสงสัย อยุธยาใกล้แค่เนียะ ผมไปบ่อยจนไม่ตื่นเต้นอะไร แต่ดูอีกที อ้อ เขามีชุดไทยให้เช่าใส่ถ่ายเซลฟี่ โพสต์โชว์ลงโซเชี่ยลได้ ในบัดนั้นนั่นเอง

เห็นไหม เทรนด์สมัยนี้ ต้องมีโซเชี่ยลและสมาร์ตโฟน เป็นปัจจัยสำคัญ ไม่ใช่แค่ฟีเวอร์ละคร หรือปลื้มความเป็นไทยเท่านั้น แบบผู้หญิงแต่งชุดไทยไปวัดก็ยังธรรมดา ไม่ฮือฮาเหมือนนุ่งโจงกระเบนขี่มอเตอร์ไซค์ดูคาติ สนั่นโลกออนไลน์

สังคมกำลังเห่อละครบุพเพสันนิวาส ซึ่งไม่น่าประหลาดใจ ก็ละครดูสนุก แปลกใหม่ พาคนดูย้อนยุคไปกับสาวโก๊ะจากโลกปัจจุบัน ที่ดันประสบอุบัติเหตุย้อนเวลาไปอยู่สมัยพระนารายณ์ พบรักและมีชีวิตอยู่กับตัวละครในหนังสือประวัติศาสตร์

ก็เป็นเทรนด์ทั่วโลก เหมือน "เจาะเวลาจิ๋นซี" แต่ต้องยกย่อง "รอมแพง" ว่าแต่งได้กลมกลืนกับสังคมไทย ทั้งสังคมสมัยใหม่ และอิงประวัติศาสตร์ได้น่าเชื่อถือในฐานะที่เธอเรียนโบราณคดี เอกประวัติศาสตร์

ถามว่าจำเป็นต้องถูกเผงตามประวัติศาสตร์หรือไม่ ก็เปล่าเลย โธ่เอ๋ย คนไทยไม่ชินกับนิยายอิงประวัติศาสตร์ ซึ่งสามารถจินตนาการได้ ฝรั่งยังสร้างหนังประธานาธิบดีลินคอล์น นักล่าแวมไพร์ ไม่เห็นมีใครว่าบิดเบือน

ธงชัย วินิจจะกูล กล่าวไว้ว่านิยายประวัติศาสตร์ที่ดี ต้องอาศัยความรู้ประวัติศาสตร์เป็นจุดเริ่มต้นที่จะจินตนาการเลยออกไปจากเพดานจำกัดของหลักฐาน เพื่อจินตนาการถึงความน่าจะเป็น โดยไม่จำเป็นต้องถือว่าเป็นความจริง

เพียงแต่สังคมไทยสอนกันมาให้ทึกทักปักใจ ว่าประวัติศาสตร์ ที่เล่าเขียนเรียนกัน เป็นความจริงหนึ่งเดียวเท่านั้น ห้ามคิดต่าง

นั่นทั้งๆ ที่รอมแพงเชื่อว่า คนไทยสมัยนี้ไม่น่าจะเชื่อถือหรือยึดตาม จนไม่คิดต่อ ไม่ตั้งคำถาม ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วว่านี่คือตัวละคร คนอ่านส่วนใหญ่ของเธอจะไปค้นอาจารย์ Goo ว่าความจริงทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างไร ฟอลคอนเป็นอย่างไร แล้วมาแชร์กันในโซเชี่ยล

แต่ตอนที่เป็นละครช่อง 3 นี่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน เพราะดูเหมือนจะผ่านการเขียนบทเพิ่มความเป็น "หลังข่าว" ทำให้ถูกใจตลาดมากขึ้น

ที่แน่ๆ คือ "บุพเพสันนิวาส" น่าจะถูกใจคนดูสองด้าน คือด้านที่ตัวเอกเป็นผู้หญิงสมัยใหม่ สาวมั่น เป็นตัวของตัวเอง ต้องย้อนเวลาไปรับมือสังคมยุคข้าทาสบ่าวไพร่ กับด้านที่พยายามอิงประวัติศาสตร์อย่างมีการศึกษาค้นคว้า ไม่มักง่าย

แต่พอละครฮิต ก็กลายเป็นเครื่องมือโปรโมต "ความเป็นไทย" ไทยนิยม ชาตินิยม ในนิยามแบบรัฐไทย แบบอนุรักษนิยมไทย ไปเสียได้ (รัฐไทยเก่งจัง)

นี่ยังไม่นับ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ กรมศิลปากร หน้าบานเป็นจานเชิง กระทรวงวัฒนธรรมให้เงินใครไปทำหนังไม่เคยประสบความสำเร็จ แต่พอเขาทำเองแล้วดัง ก็เฮมาให้ทุนสร้างภาคต่อ

ขำๆ นะครับ อ่านเจอว่านักประวัติศาสตร์ที่รอมแพงชอบมากที่สุดคือ ธงชัย วินิจจะกูล แต่พอละครดัง คนที่ออกมาตีปี๊บชี้นำให้ภูมิใจไทยนิยม กลับกลายเป็นวิษณุ เครืองาม แล้วรัฐบาลก็ฉวยกระแสออเจ้า ไปชวนแต่งชุดไทย

ถามว่ามีปัญหาอะไรนัก กับความรักชาติ รักความเป็นไทย ไม่มีหรอก ถ้าไม่ใช่เพราะมักถูกอ้างเป็นเครื่องมือของอำนาจ โดยเฉพาะอำนาจที่ไม่มาจากประชาชน แล้วโทษว่าประชาธิปไตย ที่อำนาจตรวจสอบได้ เป็นของ "ฝรั่ง"

ความเป็นไทยจริงๆ น่ารักจะตาย ถ้าหมายถึงความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แต่ไม่ใช่ความเป็นไทยแบบรัฐนิยม ที่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชี้ว่าเน้นให้คนจงรักภักดีและเชื่อฟังรัฐ ใครทำตัวเป็นเด็กดีจึงถูกนับว่าไทย ถ้ารักชาติ ภูมิใจในความเป็นไทย ก็ต้องอยู่ในโอวาทของลุง

ความเป็นไทยกลายเป็นเครื่องมือของรัฐราชการ ที่ปลูกฝังความคิดเจ้าขุนมูลนาย ผู้น้อยต้องเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ "ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่" ก็ต้องส่งทหารส่งข้าราชการไปสอนสั่ง

เรื่องขำๆ ก็คือถ้าถาม "เกศสุรางค์" ยอมรับความเป็นไทยแบบเชื่อฟังไหม โธ่ถัง ผู้หญิงสมัยใหม่ เป็นตัวของตัวเอง ต้องการ มีชีวิตเสรี เสมอภาค กันทั้งนั้น

ระหว่างซาบซึ้งโลกโบราณ ไม่รู้ใคร ดันปล่อยคลิปพี่หมื่นหวังทำลาย แต่สังคมก็เข้าใจ เฮ้ย นี่โลกปัจจุบัน เขาไม่ได้ข่มขืนใคร มีเสรีที่จะซดกัน One Night Stand เป็นเรื่องปกติไปแล้ว ในสังคมไทย

อาการโหยหาอดีต ที่จริงก็ไม่น่าแปลกใจ ถ้าฟังคำพูดวิษณุดีๆ

"อนาคตต้องมีประเทศไทย ไม่ยอมให้ผู้ใดมาย่ำยี ตอนนี้ ผมสนใจละครเรื่องบุพเพสันนิวาส ย้อนกันไปเถอะอดีต มองอนาคตไม่เห็น" แต่วิษณุอ้างว่าอนาคตตามนิยายนะ ไม่รู้จะจบอย่างไร

 

ที่มา: www.khaosod.co.th

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ยุคนี้ดีกว่ายุค ‘บุพเพสันนิวาส’ ตั้งเยอะ

Posted: 23 Mar 2018 11:17 PM PDT


 

ตอนนี้ละคร 'บุพเพสันนิวาส' กำลังดังกระฉ่อน ผมก็ขอร่วมชื่นชมในความสามารถของผู้เกี่ยวข้องด้วยแต่ขณะเดียวกันก็มีกระแสโหยหาอดีต ผมจึงขออนุญาตมองต่างมุมสักเล็กน้อย

ปกติเรื่องอะไรที่เกี่ยวกับไทยๆ มักจะถูกมองเป็นสิ่งเชยๆ ยกเว้นเวลาเราไปต่างประเทศ เขาให้แสดงความเป็นไทย เราก็อาจงัดเอามุกรำไทยพร้อมใส่ชุดไทยมาแสดงความเป็นไทยเป็นครั้งคราว  อันที่จริงเสื้อผ้าแบบไทยๆ กลายเป็นความแปลกแยกในสังคมไทยยุคใหม่ไปแล้ว  คนที่จะมีโอกาสแต่งได้บ่อยมักเป็นพวกกระฎุมพีที่พอมีเงิน มีเวลาที่จะทำอวดตัวเช่นนี้ ส่วนประชาชนที่ปากกัดตีนถีบง่วนอยู่กับการทำงานหาเลี้ยงชีพคงไม่มีเวลามาโหยหาอดีตมากนัก

หลายคนมองว่าในอดีตไทยรุ่งเรืองมาก แต่ความเป็นจริงผ่านมาสามร้อยกว่าปี ประเทศไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้นกว่าเดิมมากมายนัก เพียงแต่เราอาจไม่ทันสังเกต ในเบื้องต้น ผมจึงขอยกตัวอย่างบางข้อดังนี้:

1. เดี๋ยวนี้เรามีประเทศไทยให้หวงแหนแล้ว มีอาณาเขตแน่นอน แต่ในสมัยนั้น เป็นแค่นครรัฐ เช่น กรุงศรีอยุธยา กรุงอังวะ นครเชียงใหม่ นครเวียงจันทน์ เป็นต้น

2. สมัยนั้น ยังค่อนข้าง 'เถื่อน' เจ้าครองนครไหนรบชนะก็กวาดต้อนผู้คน ปล้นชิงเมืองที่อ่อนแอกว่าอยู่เนืองๆ

3. สมัยนั้นการรบพุ่ง ฆ่าฟันเพื่อช่วงชิงอำนาจในแต่ละนครรัฐเป็นไปอย่างน่าละอายและปรากฏอยู่บ่อยๆ ในสมัยประชาธิปไตยยังดีกว่านี้ (แต่ตอนนี้อาจไม่เป็นประชาธิปไตยชั่วคราว) และในสมัยประชาธิปไตยอาจมีฆ่ากันบ้าง แต่ไม่โหดร้ายเท่าสมัยก่อน

4. ประชาชนถูกเกณฑ์แรงงานปีละ 3-6 เดือนไปรบ ไปสร้างปราสาทราชวัง วัดวาอารามเพื่อเป็นการเสริมบารมีผู้มีอำนาจ

5. สมัยนั้นเหยียดเชื้อชาติกันมาก สมัยนี้ก็ยังมีอยู่บ้าง แต่เบาบางลงไปมากแล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่แสดงออกอย่างโจ๋งครึ่ม

6. สมัยนั้นไม่มีคำว่าสิทธิมนุษยชน พวก 'ขี้ข้า' ถูกเหยียดหยามลงเป็นดั่งไม่ใช่คน ทางออกของบ่าวไพร่คือต้อง 'เลีย สถานเดียว จึงมักมีคำว่า 'นายว่าขี้ข้าพลอย' 'ขุนพลอยพยัก' แต่คนสมัยนี้ (นางเอกตามท้องเรื่อง) ยังเรียกผู้ที่ต่ำต้อยแต่อาวุโสกว่าว่า 'พี่'

7. การใช้ความรุนแรงในกรณีต่างๆ โดยเฉพาะต่อผู้ที่ต่ำต้อยกว่า ปรากฏอยู่ทั่วไป เช่นการ 'ตบ' เป็นต้น  แสดงถึงความล้าหลังทางวัฒนธรรมอย่างชัดแจ้ง

8. สตรีในสมัยนั้นถูกกดขี่ทางเพศเป็นอย่างยิ่ง กลายเป็นพลเมืองชั้นสอง เป็นยุคที่ชายเท่านั้นที่มีสิทธิ์มีเสียง โดยเฉพาะชายที่เป็นไทแก่ตัว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งชายที่เป็นพวกศักดินา แต่ในสมัยใหม่นี้ ประชาชนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน (แต่แน่นอน คนรวยจัดๆ ยังเป็นอภิสิทธิ์ชนอยู่มาก)

9. สภาพแวดล้อมดีขึ้น บางคนอาจบอกว่าสมัยนั้นไม่มีมลพิษ แต่อายุขัยของผู้คนสมัยนั้นเฉลี่ยอาจตายตอนอายุ 40-50 ปีเพราะโรคภัย ความอดอยากและสงคราม สมัยนี้ที่ว่าแย่ๆ นั้น อายุขัยคนไทยก็เกือบ 80 ปีเข้าไปแล้ว

อย่าโหยหาอดีตจนเกินไป ประเทศไทยมีพัฒนาการ คลื่นลูกหลังต้องไล่ทันคลื่นลูกหน้า ประเทศชาติจึงจะเจริญครับ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: แด่..ไผ่และผองเพื่อนที่ด่าเผด็จการได้โดยเสรี..

Posted: 23 Mar 2018 10:46 PM PDT

 

วลีคมแต่ขมขื่น
ไม่ต้องฝืนเสแสร้งแต่งเป็นหงส์
เมื่อสัตว์สาย่อมป่าต่ำเหยียบย่ำพง
เปลือกปลอมย้อมประจงภาพลวงตาฯ
.....
ไม่ใช่ความงามในนามศิลปินแต่สิ้นศรี
ไม่ใช่นักเขียนไม่ใช่กวีแค่ขี้ข้า
เพียงเหลือบหมัดสุนัขไพร่รับใช้มายา
เปลือยใจโสมมมาก็หมดงามฯ
......
ยุคเผด็จการพระคุณล้น
เราในนามประชาชนกล้าเหยียดหยาม
เสรีภาพกักขฬะในประนาม
เราก้าวข้ามอิสระประชาชัยฯ
...
ทุรยุคน่าเย้ยหยาม
ยุคประชาชนประนามเผด็จการได้
โดยเสรีมวลมหาประชาไทย
ยุคนี้อัปรีย์จัญไรได้เสรีฯ

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตั้ง กก.สอบวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าปลอม

Posted: 23 Mar 2018 10:34 PM PDT

รมต.เกษตรฯ ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงปัญหาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าปลอม มุ่งสี่ประเด็นให้เสร็จใน 30 วัน

 
 
24 มี.ค. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่านายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ลงนามในคำสั่งแต่ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีปัญหาการจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่กำลังเป็นกระแสสังคม ลงวันที่ 23 มีนาคม 2561 เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและเกิดความชัดเจนในเรื่องดังกล่าวโดยเร่งด่วน
 
กรรมการชุดดังกล่าวมี นายสุรพงษ์ เจียสกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานคณะกรรมการฯ และมีผู้อำนวยการกองคลัง ผู้อำนวยการฝ่ายกฎหมาย สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และผู้แทนสัตวแพทยสภา เป็นกรรมการในการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าวให้เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน
 
โดยให้ตรวจสอบประเด็นที่มีการกล่าวหา 4 ประเด็น ได้แก่ 1. กรณีครอบครัวข้าราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ค้าขายวัคซีนปลอมให้กรมปศุสัตว์เป็นเวลาหลายสิบปี 2. กรณีที่มีการนำวัคซีนที่ไม่มีคุณภาพไปฉีดให้สัตว์ 3. ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงสาธารณะสุข และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า และ 4. ใครเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมายนี้ โดยจะเชิญผู้ที่เกี่ยวข้อง หรือมีการแจ้งเบาะแสงว่ามีส่วนเกี่ยวข้องมาให้รายละเอียดเพื่อให้ได้ข้อสรุปข้อเท็จจริงโดยเร่งด่วนต่อไป
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประชุม 'พรรคทางเลือกใหม่' เลือกอดีต กปปส. นนทบุรี เป็นหัวหน้าพรรค

Posted: 23 Mar 2018 10:22 PM PDT

พรรคทางเลือกใหม่จัดประชุมครั้งแรกหลัง คสช.อนุญาต โดยมติที่ประชุมเลือก 'ราเชน ตระกูลเวียง' อดีตประธาน กปปส.จ.นนทบุรี เป็นหัวหน้าพรรค ลั่นไม่ใช่นอมินี คสช.- กปปส. เผยเตรียมส่งผู้สมัครหน้าใหม่ลงสมัครครบทุกเขต

 
24 มี.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่าหลังได้รับอนุญาตจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ตัวแทนคณะกรรมการจดจัดตั้งพรรคทางเลือกใหม่ได้จัดประชุมสามัญพรรคทางเลือกใหม่ ครั้งที่ 1 วันนี้  (24 มี.ค.)  เพื่อมีมติเห็นชอบให้คำรับรองการประชุมยื่นคำขอจดทะเบียนจัดตั้งพรรคทางเลือกใหม่  และที่ประชุมพรรคยังมีมติเลือกนายราเชน ตระกูลเวียง อดีตประธาน กปปส.จ.นนทบุรี เป็นหัวหน้าพรรค นายไพโรจน์ กระทุ่มทองเลิศ เป็นเลขาธิการพรรค มีกรรมการบริหารพรรค รวม 30 คน 
 
นายราเชน ยืนยันว่าแม้จะเคยเป็นประธาน กปปส.จ.นนทบุรี แต่ปัจจุบันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับ กปปส. การตั้งพรรคก็ไม่เคยหารือกับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย และไม่คิดจะเป็นคู่แข่งขันกับพรรคการเมืองใด วิธีการหาเสียงจะเน้นเดินเคาะประตูบ้าน เพื่อขอคะแนนเสียงให้พรรคทางเลือกใหม่ครอบครัวละ 1 เสียง คาดว่าจะได้ ส.ส.ประมาณ 50 คน
 
"ผู้สมัครของพรรคเป็นคนรุ่นใหม่และหน้าใหม่ทั้งหมด ไม่รับอดีตผู้สมัคร ส.ส.เก่า โดยพื้นที่กรุงเทพฯ จะส่งคนรุ่นใหม่ อายุ 25-40 ลงเลือกตั้ง และพรรคจะส่งผู้สมัครครบทั้ง 350 เขต หากได้เสียงข้างมากผมก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีเอง" นายราเชน กล่าว
 
นายราเชน ยืนยันว่าพรรคทางเลือกใหม่ไม่ใช่พรรคนอมินี กปปส.และ คสช. แต่พร้อมสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี หากพรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ได้เสียงข้างมาก 
 
สำหรับพรรคทางเลือกใหม่ มีชื่อภาษาอังกฤษว่า "Alternative Party" ใช้ชื่อย่อภาษาไทยว่า "ทลม." ชื่อย่อภาษาอังกฤษว่า "NEWA"  มีเครื่องหมายเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดสีฟ้า และมีลูกศรทรงวงกลมในสี่เหลี่ยม โดยมีความหมายถึงความจงรักภักดีต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ และคววามสงบแห่งศรัทธาต่อประชาชน รวมถึง พลังการเชื่อมโยงเป็นหมู่คณะ มีสโลแกนว่า "กล้าคิด กล้านำ ทำจริง" และอุดมการณ์ทางการเมืองว่า "พรรคทางเลือกใหม่ยึดมั่นในอุดมการณ์ รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เพื่อประชาชนเท่านั้น"
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลระบุคนเชื่อโซเชียลมีเดียกระตุ้นให้คนออกมาเลือกตั้ง

Posted: 23 Mar 2018 10:07 PM PDT

กรุงเทพโพลเผยผลสำรวจประชาชนส่วนใหญ่ 73.9% จะติดตามข้อมูลการเลือกตั้ง การหาเสียง ของ กกต. และพรรคการเมืองผ่านสื่อโซเชียล67.8% เชื่อพลังสื่อโซเชียลจะช่วยกระตุ้นให้เกิดกระแส ทำให้คนอยากออกมาเลือกตั้ง 73.3% มองพลังสื่อโซเชียลทำให้รับรู้สถานการณ์การเมืองมากขึ้นช่วยสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย

 
 
กรุงเทพโพลโดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ  ดำเนินการสำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "พลังสื่อโซเชียลกับการเมืองไทยยุค 4.0"  โดยเก็บข้อมูลกับประชาชนจากทุกภูมิภาคทั่วประเทศจำนวน 1,192  คน พบว่า ประชาชนร้อยละ 67.8 เห็นว่าการเลือกตั้งที่จะถึงนี้ พลังสื่อโซเชียล  (IG, facebook ,twitter) จะช่วยกระตุ้นให้เกิดกระแส ทำให้คนอยากออกมาเลือกตั้ง รองลงมาร้อยละ 58.4 จะช่วยติดตามกิจกรรมการรณรงค์การเลือกตั้ง และร้อยละ 53.6 จะช่วยสร้างช่องทางให้พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายของพรรค
 
เมื่อถามว่าพลังสื่อโซเชียลมีผลอย่างไรต่อประชาชนในการสร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทย ส่วนใหญ่ร้อยละ 73.3 เห็นว่าทำให้รับรู้สถานการณ์การเมืองมากขึ้น รองลงมาร้อยละ 65.9 ทำให้การเมืองเข้าถึงประชาชนในวงกว้าง และร้อยละ 52.1 ทำให้มีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้นทั้งเป็นผู้รับและผู้ส่งสาร
 
สุดท้ายเมื่อถามว่าจะติดตามหรือไม่หากพรรคการเมืองหรือ กกต. มีการใช้สื่อโซเชียลประชาสัมพันธ์ข้อมูลการเลือกตั้งหรือ การหาเสียง ส่วนใหญ่ร้อยละ 73.9 จะติดตาม ขณะที่ร้อยละ 16.8 จะไม่ติดตาม ที่เหลือร้อยละ 9.3 ยังไม่แน่ใจ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เผย 'พรรคประชาธิปัตย์' เคยใช้บริการ SCL

Posted: 23 Mar 2018 09:46 PM PDT

เว็บไซต์ Blognone เผยพรรคประชาธิปัตย์เคยใช้บริการ SCL บริษัทที่เพิ่งถูกแบนจากเฟสบุ๊ค ให้ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเลือกตั้งเมื่อปี 2539

 

<--break- />(หมายเหตุ SCL Group และ Cambridge Analytica ถูกเฟสบุ๊คแบนแอคเคาท์จากกรณีไม่ทำตามข้อตกลงและนำข้อมูลผู้ใช้เฟสบุ๊คไปขาย ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรณีนี้)

เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา Blognone รายงานว่าท่ามกลางประเด็นร้อนแรงในสัปดาห์นี้ระหว่างเฟซบุ๊กกับ Cambridge Analytica ทำให้ทวิตเตอร์ Cambridge Analytica (CA) ได้ทวีตว่าที่ผ่านมา มีประเด็นที่คลาดเคลื่อนและบิดเบือนเกี่ยวกับสิ่งที่บริษัททำค่อนข้างมาก ก่อนจะมีคนทวีตตอบกลับว่า SCL บริษัทแม่ของ CA ได้ลบข้อมูลพอร์ทโฟลิโอที่บริษัทเข้าไปช่วยวิเคราะห์ข้อมูลและทำแคมเปญการเลือกตั้งในประเทศต่างๆ ออกจากบนเว็บ และหนึ่งประเทศนั้นมีประเทศไทยด้วย
 
แอคเคาท์ทวิตเตอร์ที่ชื่อว่า James Resist ทวีตตอบโต้พร้อมแคปภาพจากเว็บไซต์ SCL ที่ถูกลบออกไป ซึ่งเป็นพอร์ทโฟลิโอที่ทาง SCL เคยเข้าไปเก็บข้อมูลและช่วยทำแคมเปญการเลือกตั้ง ปรากฎว่าหนึ่งในภาพที่ถูกแคปมา มีภาพที่เป็นคำพูดหรือโควทจากนายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย พร้อมคำบรรยายของ SCL ว่าได้เข้ามาวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในไทยได้อย่างแม่นยำ ซึ่งช่วยลดต้นทุนการทำแคมเปญและสามารถใช้ทรัพยากรของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าถึงผู้มีสิทธิเลือกตั้งได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น
 
ขณะที่คำพูดของนายชวน หลีกภัยที่ปรากฎอยู่บนหน้าเว็บ SCL ที่ถูกแคปมาระบุว่า "การชนะการเลือกตั้งคือการเลือกสมรภูมิอย่างระมัดระวัง SCL เข้ามาช่วยชี้ว่า สมรภูมิไหนที่สามารถชนะได้, สมรภูมิไหนที่ไม่น่าชนะและสมรภูมิไหนที่ควรสู้เพื่อให้ชนะ"
 
อย่างไรก็ตามเว็บ หน้าเว็บของ Cambridge Analytica ที่เป็นบริษัทลูกของ SCL มีการพูดถึงประเทศไทยในฐานะหนึ่งใน case study พร้อมแสดงภาพนายชวน หลีกภัย บนปกนิตยสาร Times ฉบับวันที่ 30 มีนาคม 1998 (2541) ในลิงก์ Thailand เล็กๆ ด้านล่าง ทำให้คาดว่า SCL อาจเข้ามาทำแคมเปญการเลือกตั้งให้นายชวนและพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งปี 1996 (2539)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'สืบพยานโจทก์' ปากสุดท้ายคดี นปช.ก่อการร้ายเสร็จแล้ว-ทนายซัดคลิปตัดต่อ ‘ณัฐวุฒิ สั่งเผาปี 53’

Posted: 23 Mar 2018 08:18 PM PDT

สืบพยานฝ่ายโจทก์ คดี 24 แกนนำ นปช. ก่อการร้าย ปี 53 เสร็จแล้ว ทนายซักค้าน หลักฐาน ดีเอสไอ งัดคลิปปราศรัยของ ณัฐวุฒิ ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี โต้ พร้อมคลิปปราศรัยยุติชุมนุมที่ราชประสงค์ ที่ให้ประชาชนเดินทางกลับบ้าน 

 

ภาพจากคลิป ณัฐวุฒิ ปราศรัย 23 ม.ค.53 ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี ก่อนการประกาศวันชุมนุมใหญ่ที่สะพานผ่านฟ้า ซึ่งภายหลังมีการตัดต่อให้ดูเหมือนเป็นการปราศรัยที่ราชประสงค์

24 มี.ค.2561 คมชัดลึกออนไลน์ รายงานว่า  เมื่อวันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานโจทก์นัดสุดท้ายคดี 24 แกนนำ นปช.ก่อการร้าย หมายเลขดำ อ.2542/2553 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง วีระกานต์ มุสิกพงศ์ อายุ 70 ปี อดีตประธาน นปช., จตุพร พรหมพันธุ์ อายุ 53 ปี ประธาน นปช., ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 43 ปี อดีต รมช.พาณิชย์รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร, เหวง โตจิราการ อายุ 67 ปี, ยศวริศ ชูกล่อม หรือเจ๋ง ดอกจิก อายุ 60 ปี, อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อายุ 54 ปี แกนนำและแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) รวม 24 คน เป็นจำเลยที่ 1- 24 ในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้ายฯ จากการชุมนุมปี 2553

รายงานข่าวระบุว่า การสืบพยานโจทก์วันนี้ อัยการนำ วิโรจน์ ทูคำมี เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานในคณะของพนักงานสอบสวน มาให้ฝ่ายทนายความจำเลย ได้ซักค้านเป็นนัดที่ 2 ซึ่งมีการเปิดคลิปวิดีโอการปราศรัยของ ณัฐวุฒิ จำเลยที่ 3 ที่เขาสอยดาว จ.จันทบุรี เมื่อวันที่ 23 ม.ค.53 ขึ้นมาประกอบการซักค้านด้วย โดยเป็นคลิปที่ ณัฐวุฒิ พูดทำนองว่า ถ้าคุณยึดอำนาจให้เผาไปเลยพี่น้อง โดยทนายความจำเลยได้ซักพยานโจทก์เพื่อยืนยันว่าไม่ใช่การปราศรัยที่ราชประสงค์ และเป็นการบอกเงื่อนไขว่าถ้าหากเกิดรัฐประหารขึ้น แต่หลังการปราศรัยดังกล่าวก็ไม่เกิดการรัฐประหาร และแม้เกิดการรัฐประหารในปี 2557 ก็ไม่มีการเผา ขณะเดียวกันก็มีการเปิดคลิปที่ ณัฐวุฒิ ปราศรัยยุติการชุมนุมที่ราชประสงค์ด้วย เพื่อยืนยันว่าในวันดังกล่าว ณัฐวุฒิ บอกให้ประชาชนเดินทางกลับบ้าน ซึ่งทนายความจำเลยก็ได้ซักถามพยานปากนี้จนเสร็จสิ้นแล้ว ศาลจึงกำหนดนัดพร้อมคดีนี้ ในวันที่ 22 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น. เพื่อจะสอบถามความพร้อมของจำเลยในการนำพยานเข้าสืบต่อสู้คดี

วิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของจตุพร เปิดเผยว่า หลังสืบพยานโจทก์ปากสุดท้ายเสร็จแล้ว ต่อไปจำเลยจะให้พยานเข้าสืบซึ่งเตรียมกันไว้ประมาณ 100 กว่าปาก โดยก่อนจะเริ่มสืบพยานจำเลย ศาลก็ได้นัดพร้อมคู่ความก่อนเพื่อบริหารจัดการเวลาในการสืบพยาน ซึ่งที่ผ่านมาได้เริ่มสืบพยานโจทก์ต่อเนื่องมา แต่ที่เวลาหลายปีก็มีพยานโจทก์ช่วงหลังที่เลื่อนเวลาการสืบพยานบ้างโดยพยานที่อัยการนำสืบนั้นก็มีไม่ถึง 100 ปากจากเดิมที่เคยเสนอไว้ 300 ปาก

อย่างไรก็ดีสำหรับพยานโจทก์ปากสุดท้ายนี้ก็ไม่ใช่พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าว แต่ฝ่ายอัยการนำมาเบิกความเพื่อรับรองพยานเอกสารบางอย่างที่มีการนำส่งต่อศาล ซึ่งเราก็จะพิสูจน์ให้เห็นหลายประการว่า การสอบสวนของดีเอสไอ เเละมติของดีเอสไอ สมัย สุเทพ เทือกสุบรรณ เป็น ผอ.ศอฉ.นั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างไร ส่วนความมั่นใจในการต่อสู้คดีนั้น ตนมั่นใจมาตั้งเเรกอยู่เเล้ว เนื่องจากเป็นการตั้งข้อหาที่เกินกว่าเหตุ ซึ่งพฤติการณ์ตามทางสืบพยานของโจทก์ เราเห็นถึงข้อพิรุธหลายเรื่องเเต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดเนื่องจากคดีอยู่ในการพิจารณาของศาล อย่างไรก็ดีฝ่ายจำเลยก็ไม่ได้หนักใจอะไร

ธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. กล่าวว่า การซักค้านพยานโจทก์ในคดีนี้มาถึงครึ่งทางแล้วแต่ที่น่าสังเกตคือ ในกลุ่ม กปปส.มีความพยายามเรียกร้องให้แยกจำเลยโดยไม่นำมารวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันแต่ของ นปช.กลับมีการนำมารวมกันหมดเป็นคดีเดียวกันซึ่งบางครั้งจำเลยไม่รู้จักกัน เช่น คนที่ทำงานอยู่กับ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผลหรือ เสธ.เเดงนั้น บางคนก็ไม่รู้จักกันส่วนตัวจึงตั้งข้อสังเกตว่าในคดีของ กปปส.นั้นจำเลยรู้จักกันแต่ยังขอแยกไม่ให้นำมารวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน

รายงานข่าวยังระบุด้วยว่า จำเลยคดีก่อการร้าย 24 คน ประกอบด้วย วีระ มุสิกพงศ์ อายุ 70 ปี, จตุพร พรหมพันธุ์ อายุ 53 ปี , ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อายุ 43 ปี , เหวง โตจิราการ อายุ 67 ปี , ก่อแก้ว พิกุลทอง อายุ 53 ปี , ขวัญชัย สาราคำ หรือขวัญชัย ไพรพนา อายุ 66 ปี , ยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก อายุ 60 ปี , นิสิต สินธุไพร อายุ 62 ปี อดีต ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย , การุณ หรือ เก่ง โหสกุล อายุ 51 ปีอดีต ส.ส.ดอนเมือง พรรคเพื่อไทย , วิภูแถลง พัฒนภูมิไท อายุ 67 ปี , ภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง อายุ 58 ปี อดีตลูกน้องคนสนิทเสธ.แดง (พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล) , สุขเสก หรือสุข พลตื้อ อายุ 42 ปี , จรัญ หรือยักษ์ ลอยพูล อายุ 47 ปี การ์ด นปช. , อำนาจ อินทโชติ อายุ 62 ปี อดีตทหารพราน ฉายามือปืน 9 นิ้ว , ชยุต ใหลเจริญ อดีตหัวหน้าการ์ด นปช. , สมบัติ หรือแดง หรือผู้กองแดง มากทอง อายุ 56 ปี , สุรชัยหรือหรั่ง เทวรัตน์ อายุ 33 ปี คนสนิท เสธ.แดง , รชต หรือกบ วงค์ยอด อายุ 37 ปี อดีตลูกน้อง เสธ.แดง , ยงยุทธ หรือบัง ท้วมมี อายุ 60 ปี ผู้ติดตาม เสธ.แดง จำเลยที่ 1-19 คดีหมายเลขดำที่ อ.2542/2553

อร่าม แสงอรุณ อายุ 57 ปี หัวหน้าการ์ด นปช. อดีตลูกน้องคนสนิท เสธ.แดง จำเลยคดี อ.4339/2553 , เจ็มส์ สิงห์สิทธิ์ อายุ 37 ปี อดีตคนสนิท เสธ.แดง , สมพงษ์ หรืออ้อ หรือแขก หรือป้อม บางชม และนายมานพ หรือเป็ด ชาญช่างทอง อายุ 57 ปี กลุ่มการ์ด นปช. จำเลยคดีหมายเลขดำที่ อ.757/2554และ อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อายุ 54 ปี จำเลย คดีหมายเลขดำที่ อ.4958/2554

ซึ่งถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย โดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดให้เกิดความเสียหายแก่ทรัพย์สินของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ โดยมีความมุ่งหมายขู่เข็ญรัฐบาลไทยให้กระทำการใดหรือเพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 ระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 3-20 ปี และปรับตั้งแต่ 60,000 บาท – 1 ล้านบาท , ขู่เข็ญว่าจะทำการก่อการร้าย โดยสะสมกำลังพลหรืออาวุธ หรือตระเตรียมการสมคบกันเพื่อก่อการร้าย ตาม ม.135/2 ระวางโทษ 2-10 ปี ปรับตั้งแต่ 40,000 -200,000 บาท ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หรือวิธีอื่นใดที่ไม่ใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดินฯ ม.116 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี , มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองโดยผู้กระทำความผิดคนหนึ่งคนใดมีอาวุธ หรือเป็นหัวหน้าสั่งการฯ ม.215 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกการกระทำแล้วไม่เลิก ม.216 ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ,ร่วมกันชุมนุมหรือมั่วสุม ณ ที่ใดตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในท้องที่ผู้รับผิดชอบประกาศกำหนด อันเป็นการฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตามความในมาตรา 9 แห่ง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวม 6 ข้อหา
 
ซึ่งอัยการยื่นฟ้องต่อศาล เมื่อวันที่ 11 ส.ค.53 โดยระบุพฤติการณ์ว่า ระหว่างวันที่ 28 ก.พ. – 20 พ.ค.53 กลุ่มจำเลยที่เป็นแกนนำ นปช. ได้ปลุกปั่นประชาชนให้เข้าร่วมชุมนุม และทำกิจกรรม โดยมุ่งหมายต่อต้านรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งจำเลยกับพวกจัดให้มีการชุมนุม และสะสมกำลังพล อาวุธสงครามร้ายแรง โดยจำเลยกับพวกฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ บุกรุกเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ และยิงระเบิดใส่สถานที่ต่าง ๆ ปิดถนนตั้งด่านสกัดตรวจค้นยานพาหนะ ก่อให้ความวุ่นวายและความไม่สงบในบ้านเมือง ชั้นพิจารณาจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธต่อสู้ทุกข้อกล่าวหา ขณะที่จำเลยได้ประกันตัวคนละ 600,000 บาท พร้อมถูกกำหนดเงื่อนไขห้ามออกนอกประเทศเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล และห้ามมิให้จำเลยกระทำการอันเป็นการยั่วยุ ปลุกปั่น ปลุกระดม เพื่อให้เกิดความปั่นป่วน วุ่นวายในบ้านเมือง หรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนที่จะทำให้ล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน หรืออาจก่อให้เกิดอันตรายกระทบต่อเกียรติยศ ชื่อเสียง และความเป็นอยู่ของผู้อื่น หรือความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนโดยคดีนี้ได้เริ่มสืบพยานนัดแรกเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.55 ที่มี พ.อ.ธนากร โชติพงษ์ นายทหารปฏิบัติการ กรมข่าวทหารบก เบิกความเป็นปากแรกสรุปเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มาของการชุมนุม พฤติการณ์การชุมนุมและความเสียหายที่เกิดขึ้น
 
รายงานข่าวระบุด้วยว่า ปัจจุบันจำเลย 24 คน มี 3 คนที่ถูกคุมขังในเรือนจำรับโทษคดีอื่น ศาลจึงเบิกตัวมาร่วมฟังการสืบพยาน ซึ่งในกลุ่มนั้นก็มี "จตุพร ประธาน นปช." และ "ขวัญชัย ไพรพนา" โดย จตุพร ที่มีร่างกายซูบผอมลงเเต่ สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส โบกมือทักทายสื่อมวลชนและประชาชนที่เดินทางมารอให้กำลังใจ ส่วนจำเลยที่เหลือในกลุ่ม แกนนำ-แนวร่วม ซึ่งได้ประกันตัวรวม 21 คนก็มาศาลพร้อมเพรียง 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น