โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันเสาร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ความเห็นต่อ บทความ "เปิดวิสัยทัศน์ ธนาธร และพรรคอนาคตใหม่ ต่อการแก้ไขปัญหา 3 จว.ชายแดนใต้

Posted: 17 Mar 2018 09:18 AM PDT

1. บทความชิ้นนี้ เป็นการเอานำบทสัมภาษณ์บางส่วนมาจาก นิตยสาร GM ฉบับเดือนพฤษภาคม 2560 ที่มีชื่อว่า The Edge of Life ไปให้สุดขั้ว สัมภาษณ์แบบ "ดิ่งลึก" กับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นการให้สัมภาษณ์ก่อนจะมีการจดทะเบียนพรรคการเมือง ในวันที่ 15 มีนาคม 61 คำสัมภาษณ์ข้างต้นไม่เป็นการให้สัมภาษณ์โดยตรงต่อการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะในฐานะพรรคการเมือง เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายทั้งผู้ให้สัมภาณ์และผู้อ่าน ผู้จัดรายงานชิ้นนี้ควรสัมภาษณ์คุณธนาธรใหม่ หลังจากการมีการจดทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวคือหลังวันที่ 15 มีนาคม 2561

2. ในบทความชิ้นนี้ได้นำความเห็นของสมาชิกผู้ก่อตั้งพรรค 2 คน คือคุณเปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ และคุณฟาริด ดามาเราะ เป็นการให้สัมภาษณ์วันที่ 16 มีนาคม 2561 ก็นับว่าความเห็นของสมาชิกพรรคการเมือง ไม่อาจจะนับได้ว่าเป็นความเห็นในนามของพรรคการเมือง ดั่งที่ได้จวกหน้าข่าวข้างต้น

3. และหากว่าเป็นวิสัยทัศน์ของพรรคอนาคตใหม่ ผมแลเห็นว่าเป็นทัศนะที่ไม่ยึดโยงกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ ตั้งแต่เรื่องหยิบยกข้อเสนอของฮัจยีสุหลง ซึ่งที่ผ่านมามีรายงานจำนวนมากที่เป็นข้อเสนอทางด้านนโยบายในรอบ 14 ปีที่ผ่านมา ยิ่งเสนอภาษามลายูเป็นภาษาราชการ (Official anguage) ก็ไม่อยู่ในพื้นที่ฐานของความเป็นจริง ข้อเสนอของรายงาน กอส. (คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ) เสนอให้ภาษามลายูเป็นภาษาทำงาน(Working language) เพื่อเป็นการเปิดทางให้อัตลักษณ์ท้องถิ่นมีทีทางในโลกแห่งการสื่อสาร การบอกว่าให้ภาษามลายูเป็นภาษาราชการ แสดงให้เห็นว่าไม่ได้เข้าใจสถานะพลวัตของภาษามลายู (ยาวี) และการใช้งานจริงของคนท้องถิ่น ยังไม่นับรวมกลุ่มคนพุทธที่อยู่ในพื้นที่ ซึ่งเป็นคนกลุ่มน้อย

4. ในฐานะที่เป็นแฟนคลับสำนักข่าวประชาไท การก่อตั้งเว็บประชาไท เกิดจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมในเหตุการณ์ตากใบ 2547 ที่นำเสนอมุมมองแตกต่างจากสื่อหนังสือพิมพ์ ข่าวทีวีกระแสหลักในช่วงนั้น ทำให้สังคมไทยได้เข้าใจปัญหาสามจังหวัดมากขึ้น ต่อประเด็นการรายงานข่าวชิ้นนี้นับว่าเป็นการเขียนข่าว ในฐานะผู้อ่านที่เห็นว่าทีมงานประชาไทมีประสบการณ์สะสมมานาน ไม่คิดว่าจะให้รายงานข่าวชิ้นนี้ออกมาได้ โดยประเด็นเนื้อหาสาระผมเองก็อ่านไม่เข้าใจว่าต่อการสื่อสารอะไร ทั้งในหัวข้อรายงาน การโค๊ตคำ และกราฟิก ที่เสนอออนไลน์ออกมา

5. ท้ายที่สุดปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นพื้นที่สงครามที่ไม่ต้องการความห้าว กระบวนการคิดที่เป็นระบบและความเยือกเย็นจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่นหนุนเสริมกระบวนการพูดคุยระหว่างรัฐกับผู้เห็นต่างให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเพื่อลดความรุนแรงต่อผู้คนที่นั้น การให้ความสำคัญกับคุณภาพการศึกษาทั้งด้านสามัญและศาสนา เพื่อสร้างทรัพยากรบุคคลให้เป็นกำลังหลักแก่พื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ฯลฯ

 

ที่มา: Facebook Ekkarin Tuansiri
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ข้อสังเกตบางประการเรื่องพรรคอนาคตใหม่

Posted: 17 Mar 2018 06:48 AM PDT


ภาพประกอบจาก แฟนเพจ ไข่แมว

ช่วงเวลานี้ ประชาชนจำนวนมากก็คงรู้สึกปลื้มปิติกับบรรยากาศทางการเมืองที่มีสัญญาณแห่งประชาธิปไตย อันเนื่องมาจากข่าวการยื่นขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นช่วงเริ่มต้นที่ประชาชนจำนวนหนึ่ง โดยยกตัวอย่างกลุ่มคนรุ่นใหม่ พวกเขาก็เริ่มมีความหวังมากขึ้นกับการร่วมพัฒนาประเทศชาติ หลังจากที่พวกเขารู้สึกหมดหวังมาเป็นเวลานานจากการที่รัฐบาลทหารชุดปัจจุบันปกครองประเทศไทย ซึ่งนโยบายหลายๆ อย่างของรัฐบาลชุดนี้อาจดูขัดกับหลักวิชาที่พวกเขาร่ำเรียนมา เมื่อมีการยื่นขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองจำนวนมาก พวกเขาเหล่านี้จึงมีความหวังในการเลือกรัฐบาลผู้ปกครองของพวกเขาเอง อันเป็นรัฐบาลผู้ปกครองที่มีแหล่งที่มาจากการทำสัญญาประชาคมกับประชาชนในรัฐ โดยในบทความนี้มุ่งนำเสนอถึงข่าวของการยื่นขอจดจัดตั้งพรรคการเมืองของพรรคอนาคตใหม่ โดยตั้งข้อสังเกตบางประการที่ผู้เขียนวิพากษ์เพื่อเป็นประโยชน์แก่กลุ่มพรรคอนาคตใหม่ หรือประชาชนที่อยากฝากความหวังของชาติไว้กับพวกเขาเหล่านี้


พินิจแนวทางนโยบายที่เป็นไปได้และวิพากษ์เรื่องพรรคอนาคตใหม่

สืบเนื่องจากยังไม่มีการชี้แจงนโยบายพรรคอนาคตใหม่ ผู้เขียนจึงพินิจและนำเสนอถึงความเป็นไปได้ของนโยบายพรรคจากปัจจัยต่างๆ และตั้งข้อสังเกตในลักษณะดังต่อไปนี้

1.พรรคอนาคตใหม่นี้มีผู้ร่วมก่อตั้งพรรคที่โดดเด่นได้แก่ คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และคุณปิยบุตร แสงกนกกุล โดยทั้งสองท่านนั้นอยากนำเสนอแนวทางการเมืองลักษณะแบบใหม่ โดยเป็นการเมืองแห่งอนาคตที่คนรุ่นใหม่ร่วมกำหนด ต้องการเรียกความเชื่อมั่นต่อประชาธิปไตยในระบบรัฐสภากลับมาจากผู้ที่สนับสนุนการทำรัฐประหาร โดยนี่นับว่าเป็นโจทย์ใหญ่ของพรรคเลยทีเดียว ที่จะเปลี่ยนทัศนคติของประชาชนผู้ไม่เชื่อมั่นต่อระบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา สืบเนื่องจากจำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนวัฒนธรรมพลเมือง (civic culture) ของพวกเขาเลยทีเดียว ที่ผู้เขียนเชื่อว่าจะส่งผลต่อวัฒนธรรมทางการเมืองของพวกเขาด้วย โดยผู้เขียนจะขอยกการนำเสนอแนวคิดจากงานของคุณทินพันธุ์ นาคะตะ ซึ่งเป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัย 6 แห่ง และตีพิมพ์ในปี 2514 และงานเขียนเรื่อง "ประชาธิปไตยไทย" ซึ่งพิมพ์ในปี 2545 ได้กล่าวถึงปัญหาประชาธิปไตยไทย ซึ่งพิจารณาผ่านวัฒนธรรมทางการเมืองของประชาชนที่เป็นมรดกตกทอดตั้งแต่โบราณ ดัง 9 ลักษณะ ต่อไปนี้

1.อำนาจนิยม คนไทยส่วนใหญ่ชอบการใช้อำนาจเผด็จการ เคารพเชื่อฟังและอ่อนน้อมต่อผู้มีอำนาจ

2.ระบบเจ้านายกับลูกน้อง

3.ยึดมั่นตัวบุคคลมากกว่าหลักการหรือระบบ

4.มีการจัดลำดับฐานะในคงามสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

5.ความเป็นอิสระนิยม

6.ยึดมั่นในประเพณีดั้งเดิม

7.เฉื่อยชา ไม่กระตือรือร้น

8.ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มองโลกแง่ร้าย และขาดความไว้วางใจผู้อื่น

9.ประนีประนอม หนีความขัดแย้ง[1]

ซึ่งการที่พรรคอนาคตใหม่จะสร้างการเมืองแบบใหม่ จะต้องรับโจทย์ยากในการเปลี่ยนแปลงการเมืองในระดับวัฒนธรรมกันเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อพิจารณาสังเกตเพิ่มเติมจากรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้งพรรค[2] อาจมีนโยบายพรรคที่ไม่ตอบสนองถูกจุดเท่าที่ควร พรรคอาจควรพิจารณาการสรรหาผู้มีประสบการณ์ หรือศึกษาเกี่ยวกับเรื่องวัฒนธรรมทางการเมือง สังคมวิทยา จิตวิทยาสังคม หรือด้านสหวิทยาการ มาร่วมเป็นฝ่ายพัฒนานโยบายพรรคในกรณีนี้อย่างเป็นรูปธรรม

2.ลักษณะของพรรคมีความเป็นไปได้ที่จะเน้นพลังของกลุ่มภาคประชาสังคม สังเกตจากรายชื่อผู้ร่วมก่อตั้งพรรคที่มีประสบการณ์ลักษณะองกรค์พัฒนาเอกชน หรือที่เรียกว่าเอ็นจีโอ (NGOs) โดยเอ็นจีโอนี้เป็นกลุ่มองค์นอกระบบราชการ (Extra-Bureaucracy) แนวทางนโยบายหลักพรรคจึงอาจพยายามหลีกเลี่ยงการมีส่วนร่วมกับระบบราชการ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐไทยปัจจุบันกำลังถูกครอบงำด้วยระบบราชการในลักษณะอำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) หากพรรคอนาคตใหม่ต้องการจะมีอำนาจในระบบการเมืองแบบใหม่ของพวกเขา ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความขัดแย้งกับระบบราชการในประการใดประการหนึ่ง ซึ่งนำมาสู่แนวทางนโยบายที่จะหาทางออกอย่างไรจึงจะเหมาะสมและเกิดผลดีต่อทั้งระบบการเมืองและระบบราชการ และแก้ปัญหาอำมาตยาธิปไตยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ข้าราชการทั้งหลายจะได้เป็นผู้รับใช้ประชาชนได้อย่างภาคภูมิ ไม่ใช่ผู้รับใช้นักอำนาจนิยมมากบารมีจอมปลอม โดยทั้งนี้ ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งที่ภาพลักษณ์ผู้ร่วมก่อตั้งอาจจะหลักเลี่ยงนโยบายที่กระทบกับระบบราชการ จึงเป็นสิ่งที่ควรต้องมีการคิดแก้ปัญหา โดยมีแนวทางที่เกิดประโยชน์แก่ทั้งระบบการเมืองและระบบราชการเอง ที่เป็นไปได้ เช่น นโยบายการพัฒนาระบบข้าราชการ ในลักษณะการพัฒนาทักษะการฝึกอบรมข้าราชการเพื่อส่งเสริมสมรรถนะ (competency) มีนโยบายระบบแรงจูงใจข้าราชการในการรักษาบุคลากรผู้เป็น "คนดี คนเก่ง" ให้อยู่ทำงานในระบบ มีนโยบายที่ส่งเสริมระบบคุณธรรม (Merit System) อันส่งเสริมหลักความเสมอภาคในโอกาส หลักความสามารถ หลักความมั่นคงในอาชีพการงาน และหลักความเป็นกลางทางการเมือง เพื่อพัฒนาข้าราชการให้มีความเป็นข้าราชการที่เป็นมืออาชีพ แก้ปัญหาระบบอุปถัมภ์ (Patronage System) นอกจากจะส่งผลดีต่อการบริหารในระบบการเมืองและในระบบราชการเอง ผลประโยชน์ที่สูงสุดก็เกิดแก่ประชาชน โดยทั้งนี้ ในทางกลับกัน ทางพรรคอนาคตใหม่เองก็จะต้องมีนโยบายเป็นหลักประกันว่าข้าราชการประจำจะไม่ถูกใช้อำนาจกดดันโดยข้าราชการการเมือง เช่นกัน

3.พิจารณาบริบทการหาฐานเสียง สืบเนื่องจากปัจจัยการรวมตัวของผู้ก่อตั้งพรรคในลักษณะเอ็นจีโอ ซึ่งมาด้วยประวัติแนวทางที่โดดเด่นของแต่ละคนแตกต่างกันไป เช่น การชูประเด็นผู้พิการ ซึ่งเป็นประเด็นที่ค่อนข้างแปลกใหม่ในแวดวงการเมืองไทย แต่การชูประเด็นเหล่านี้ก็ สังเกตได้ว่ามีปัญหาในตัวเองเมื่อต้องการฐานเสียงจากประชาชนหมู่มาก เพราะกลุ่มประชาชนที่มีความเป็นไปได้ที่จะสนใจในนโยบายลักษณะนี้ส่วนมากจะเป็นชนชั้นกลางรุ่นใหม่ที่มีความเป็นวิชาการค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ (จากปัจจัยการเข้าถึงการศึกษาได้สะดวกกว่า) เมื่อพิจารณาถึงประชาชนกลุ่มชนชั้นอื่น เช่น กลุ่มชนชั้นล่างที่หาเช้ากินค่ำ พวกเขาก็คงมีความสนใจมากกว่าว่าวันนี้จะได้ค่าจ้างต่อวันเท่าใด หรือสินค้าเกษตรของพวกชาวไร่จะสามารถขายได้ราคาเท่าใด กลุ่มแรงงานจะมีแนวทางปกป้องการละเมิดสิทธิแรงงานของพวกเขาหรือไม่อย่างไร มากกว่าโรงงานที่กลุ่มแรงงานทำงานอยู่มีอาคารที่ผ่านการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล (universal design) หรือไม่ ซึ่งการที่จะได้รับฐานเสียงจากชนชั้นล่างนั้น นโยบายควรจะต้องมีอะไรที่จับต้องได้ที่เป็นรูปธรรมซึ่งส่งผลต่อสุขภาวะ (well-being) ของพวกเขาหมู่มากที่เห็นได้ชัดเจน (ซึ่งในบริบทนี้จะไม่กล่าวถึงประเด็นเชิงปรัชญาที่ว่า ทำไมภาษีที่มีส่วนร่วมมาจากประชาชนร่างกายปกติ จึงต้องถูกนำไปช่วยเหลือประชาชนผู้พิการ) นอกจากนี้ หากพรรคอนาคตใหม่คิดจะขยายฐานเสียงสู่มวลชนจำนวนมากในต่างจังหวัด โดยเฉพาะการมองจากบริบทคะแนนเสียงจากท้องถิ่น พิจารณาจากประวัติของบุคคลผู้ก่อตั้งพรรคแล้ว ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่จะสามารถประสานผลประโยชน์เชิงนโยบายของพรรคกับกลุ่ม "ผู้กว้างขวาง" ที่มีอำนาจนำทางความคิดของประชาชนในท้องถิ่น ซึ่งอยากพัฒนาท้องถิ่นของตน อันจะสามารถส่งอิทธิพลต่อคะแนนเสียงในท้องถิ่นได้

4.หากพิจารณาในบริบทของอุดมการณ์ แนวทางที่ทางพรรคเคยสนใจ และเปิดตัวมานำเสนอไปในลักษณะคุณค่า (value) ของกลุ่มเสรีนิยม และสังคมนิยม ซึ่งตอนนี้สังเกตได้ว่ายังขาดประเด็นการนำเสนอคุณค่าบางประการที่กลุ่มอนุรักษ์นิยมให้ความสำคัญ เช่น ประเด็นความมั่นคง ซึ่งหากพิจารณาบริบทแล้ว ทางกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคก็ยังไม่ได้มีใครนำเสนอสาระสำคัญในเรื่องนี้ การมีจุดยืนแน่วแน่ในอุดมการณ์เป็นเรื่องที่น่าเคารพ แต่เมื่อต้องการเป็นรัฐ ในฐานะกลุ่มผู้ปกครองของประชาชน ก็จะต้องให้ความสำคัญกับความต้องการของประชาชนผู้มีอุดมการณ์แบบอื่นอันอยู่ภายใต้กฎหมายด้วย หากในอนาคต พรรคอนาคตใหม่จะสนใจนำเสนอนโยบายที่ให้ความสำคัญแก่คุณค่าอนุรักษ์นิยมเพิ่มขึ้น ก็คงจะสร้างความพึงพอใจต่อกลุ่มอนุรักษ์นิยม และพรรคคงได้รับฐานเสียงเพิ่มจากคนกลุ่มนี้เช่นกัน นี่ก็นับเป็นอีกแนวทางที่ทางพรรคอนาคตใหม่ควรพิจารณา


บทสรุป

ผู้เขียนมุ่งเสนอความเป็นไปได้ของนโยบายพรรค และตั้งข้อสังเกตต่างๆ ผ่านมุมมองภาพรวม โดยประการแรกนั้นนำเสนอการเมืองแบบใหม่ที่มุ่งให้ผู้สนับสนุนการรัฐประหารกลับมาเชื่อมั่นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา ประการที่สองนั้นมีนโยบายพัฒนาระบบราชการที่มีระบบการเมืองช่วยขับเคลื่อน ประการที่สามนั้นมองเรื่องฐานเสียงพรรค พิจารณาความเป็นไปได้จากลักษณะกลุ่มผู้ก่อตั้งพรรคแนวเอ็นจีโอที่อาจนำเสนอนโยบายเฉพาะกลุ่มซึ่งไม่ตอบสนองความต้องการพื้นฐานคนหมู่มาก และความเป็นไปได้น้อยในการประสานผลประโยชน์กับผู้กว้างขวางท้องถิ่นที่มีอำนาจนำทางความคิดของประชาชนในท้องถิ่น และมีความต้องการพัฒนาท้องถิ่นของตน อันจะสามารถส่งอิทธิพลต่อคะแนนเสียงในท้องถิ่นนั้นๆ ประการที่สี่ พิจารณาผ่านบริบทคุณค่าของอุดมการณ์ ที่นำเสนอว่าทางพรรคอนาคตใหม่ในภายภาคหน้าสมควรพิจารณาถึงคุณค่าอุดมการณ์อื่นๆ นอกแนวทางหลักของพรรค เช่น คุณค่าของกลุ่มอนุรักษ์นิยม เพื่อที่จะสร้างความพึงพอใจของพวกเขาที่มีต่อพรรคอนาคตใหม่ อันส่งผลต่อฐานเสียงที่สามารถเพิ่มขึ้นได้ โดยทางพรรคอนาคตใหม่ หรือประชาชนที่อยากฝากความหวังของชาติไว้กับพวกเขาเหล่านี้ ก็สมควรลองนำไปคิดพิจารณาเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่พรรคอนาคตใหม่ ที่สามารถนำพาประชาชนไปสู่อนาคตใหม่ของชาติ ท้ายที่สุดนี้ ผู้เขียนต้องขอขอบคุณผู้สันทัดท่านหนึ่งและนักรัฐศาสตร์ท่านหนึ่ง (ไม่ประสงค์ให้ผู้เขียนแจ้งนามจริง) ที่ได้มีส่วนร่วมให้คำปรึกษาผู้เขียนในการเขียนบทความนี้

 

 

เชิงอรรถ

[1] นำเรื่องแนวคิดงานเขียนของมาจากคุณทินพันธุ์ นาคะตะ จากวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกที่ศึกษาวัฒนธรรมทางการเมืองของนักศึกษามหาวิทยาลัย 6 แห่ง และตีพิมพ์ในปี 2514 และจากงานเขียนเรื่อง "ประชาธิปไตยไทย" ซึ่งพิมพ์ในปี 2545 มาจากเอกสารประกอบการสอน รหัสวิชา 2400107 เศรษฐกิจ สังคม และการเมืองไทย เขียนโดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ประภาส ปิ่นตบแต่ง ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อีกทีหนึ่ง

[2] อ้างอิงจาก http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/795665



เกี่ยวกับผู้เขียน: ธรณ์เทพ มณีเจริญ เป็นนิสิตชั้นปีที่ 2 สาขาวิชาการปกครอง
คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาสนาจะเป็นอย่างไร ถ้าเพนกวินได้เป็นนายก

Posted: 17 Mar 2018 05:53 AM PDT



วงการศาสนาเป็นวงการที่ถูกท้าทายมาโดยตลอด ทั้งจากคนที่ไม่เชื่อเลย (เชื่อในวิทยาศาสตร์มากกว่า) และคนที่เสื่อมศรัทธา (เห็นข่าวฉาวจากวงการศาสนาแล้วปลง) แต่ศาสนาก็ยังเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นศรัทธาและจิตวิญญาณของคนนับล้าน ๆ

ศาสนาในโลกสมัยใหม่จะต้องปรับตัวบนหลักการพื้นฐาน 3 ข้อ คือเท่าเทียม โปร่งใส และสร้างประโยชน์ให้สังคม ถ้าวันหนึ่งผมได้เป็นนายก ฯ ก็จะเอาหลักการสามข้อไปเขียนเป็นนโยบายได้ประมาณนี้

1. ทุกศาสนาและความเชื่อมีศักดิ์ศรีและคุณค่าเท่าเทียมกัน ดังนั้น ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไร เชื่อในอะไร หรือกระทั่งไม่เชื่อในอะไรเลยจะต้องได้รับการสนับสนุนอย่างเท่าเทียมกัน ในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยเหมือนกัน

และที่สำคัญ เราจะต้องดูแลให้คนในสังคมอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ไม่ยอมให้ใครเอาศาสนาของตัวเองไปคุกคามหรือถือสิทธิเหนือกว่าคนอื่น

2. ศาสนาเป็นศูนย์รวมศรัทธาของประชาชน แต่การเมืองเบื้องหลังวงการศาสนากลับสะเทือนศรัทธาบ่อยครั้ง ทั้งยศช้างขุนนางพระ ผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่เป็นเช่นนี้เพราะการเมืองภายนอกเข้ามาแทรกแซงวงการศาสนาอย่างหนักหน่วง จนถึงขั้นที่พูดกันว่าจะเลื่อนสมณศักดิ์แต่ละครั้ง วิ่งเต้นกันหนักกว่าเลื่อนยศทหารเสียอีก

ดังนั้น เราจะคืนความน่าเลื่อมใสให้ศาสนาด้วยการให้ภาคการเมืองเลิกยุ่งกับศาสนา หน่วยงานหลายหน่วยเช่นสำนักพระพุทธศาสนาอห่งชาติหรือมหาเถรสมาคมนี่ก็ตั้งขึ้นเพื่อให้ภาครัฐควบคุมศาสนาได้ง่าย ๆ ควรจะให้กลายเป็นองค์กรเอกชนที่ดำเนินการโดยภาคศาสนา ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับภาครัฐและระบบราชการ ฆราวาสก็อยู่ส่วนฆราวาส เรื่องของวัดก็ให้วัดจัดการกันเอง

3. สืบเนื่องจากข้อที่แล้ว ยังเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่ามีเม็ดเงินมหาศาลหมุนเวียนในวงการศาสนา ไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหน จะเห็นได้ว่ามีข่าวฉาวไม่ชอบมาพากลว่าด้วยเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ของวัด (และศาสนาอื่น ๆ) มาสั่นคลอนศรัทธาของผู้คนเรื่อย ๆ

ดังนั้น เราจะทำให้ระบบทรัพย์สินของวัดและสถาบันศาสนาต่าง ๆ มีความโปร่งใส อาจมีข้อบังคับให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินต่อสาธารณชนหรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ให้มีการทุจริตเกิดขึ้นได้

4. ต่อจากเรื่องทรัพย์สินของสถาบันศาสนาตามข้อที่แล้ว ทุกวันนี้กลายเป็นว่าวัดเป็นที่สะสมทรัพย์สินมหาศาล ถึงขั้นมีคนพูดกันว่าอยากรวยทางลัดให้เข้าวัดไปบวช เป็นเรื่องที่น่าอับอายมาก เพราะการเป็นนักบวชนั้นคือการเรียนรู้ที่จะสละ ไม่ใช่บวชหวังเงินทองของไหว้

ดังนั้น เราจะต้องมีนโยบายให้สถาบันศาสนาไม่สะสมทรัพย์สินมากเกินกว่าที่ต้องใช้ หรือให้ใช้ในทางสาธารณกุศลเหมือนที่บางวัดทำอยู่ เพื่อให้นอกจากวัดจะรับเงินบริจาคแล้ว วัดยังตอบแทนอะไรบางอย่างให้สังคมอีกด้วย

5. สุดท้าย ยังคงต้องยืนยันในหลักการข้อแรกว่าทุกศาสนาเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิที่จะนับถือศาสนาใดก็ได้ และจะต้องทำให้ทุกคนไม่ว่าศาสนาไหนอยู่อย่างสบายใจได้ในสังคม ดังนั้น ในส่วนของการศึกษา จะต้องไม่มีการบังคับให้นักเรียนเรียนหลักศาสนาที่ตนเองไม่ได้นับถือ เช่น คนพุทธไม่ต้องเรียนคัมภีร์ไบเบิล คนมุสลิมไม่ต้องเรียนพระไตรปิฎก หรือคนที่ไม่ได้นับถืออะไรเลยก็ไปเรียนอย่างอื่น

ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าเราจะห้ามการเรียนรู้เรื่องศาสนา ผมเชื่อว่าเราควรเรียนรู้ศาสนาเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมที่มีหลายศาสนาต่างกัน แต่ทุกศาสนาจะมีพื้นที่ในสังคมเท่าเทียมกัน

ถ้าเราเชื่อว่าศาสนาสามารถสร้างสันติภาพได้ เราต้องเริ่มต้นจากการมีกติกาที่เท่าเทียมและเป็นธรรม ต่อทุกคน ไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาไหน หรือไม่นับถืออะไรเลยก็ตาม

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

พบเอกสารราชการเรียกประชุมภารกิจ “ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่”

Posted: 17 Mar 2018 04:46 AM PDT

พบหนังสือเรียกประชุมของสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น เพื่อเตรียมตัวต้อนรับนายกรัฐมนตรี ภายใต้ภารกิจ "ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่" ต่อมาทำหนังสือเปลี่ยนแปลงภารกิจใหม่เป็น "ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ความเท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง"

17 มี.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พบการแชร์เอกสารราชการ ซึ่งเป็นหนังสื่อเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยสำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่นเป็นผู้ออกหนังสือ เลขที่ ขก.0023.1/7063 เรื่อง ขอเชิญประชุมเพื่อเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี ลงนามโดย สุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ออกเมื่อวันที่ 9 มี.ค. 2561 โดยเนื้อหาในหนังสือดังกล่าวระบุว่า

ด้วยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการจะเดินทางการประชุมสัญจร และลงพื้นที่จัดหวัดขอนแก่น เพื่อเป็นการเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี ในการนี้ จังหวัดขอนแก่นได้รับมอบหมายภาระกิจให้สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ร่วมกันดำเนินการในภารกิจ "ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่"

ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินภารกิจบรรลุวัตถุประสงค์ และได้ข้อมูลเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กที่อยู่ในความรับผิดชอบ รวมถึงศูนย์พัฒนาเด็กเล็กในสังกัด จึงขอเชิญท่านร่วมประชุมในวันอังคารที่ 13 มี.ค. 2561 เวลา 10.00 น. ห้องประชุมศรีบริรักษ์ ชั้น 5 สำนักงานส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น

ต่อมาได้มีหนังสืออีกฉบับหนึ่งจากหน่วยงาน และผู้ลงนามคนเดียวกัน โดยเป็นหนังสือที่อ้างถึง หนังสือเลขที่ 0023.1/7063 ออกเมื่อวันที่ 12 มี.ค. 2561 โดยระบุว่า

ตามที่จังหวัดขอนแก่น ได้แจ้งเชิญประชุมเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 13 มี.ค. 2561 ณ ห้องประชุมศรีบริรักษ์ ชั้น 5 ศาลากลางจังหวัดขอนแก่น โดยจังหวัดขอนแก่น ศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษา และสำนักงานสาธารณสุข ร่วมกันดำเนินการในภาพกิจด้านการศึกษา นั้น

เนื่องจากหนังสือดังกล่าว มีถ้อยคำทีไม่เหมาะสมทำให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ ดังนั้น เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามวัตถุประสงค์ จึงขอเชิญท่าน หรือผู้ท่านร่วมประชุมเพื่อรว่วมหารือแนวทางในการดำเนินการในภารกิจ "ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ความเท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง" ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าวข้างต้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โรงแรมในอินเดียเน้นจ้างงานคนพิการ-ผู้ขาดโอกาส เผยเป็นโมเดลธุรกิจประสบความสำเร็จ

Posted: 17 Mar 2018 04:45 AM PDT

สื่อไฟแนนเชียลไทม์รายงานถึงโรงแรมแห่งหนึ่งในอินเดียที่มีนโยบายการจ้างงานโดยเน้นผู้ที่ขาดโอกาสทางสังคม ทั้งคนพิการและคนในระดับล่างทางเศรษฐกิจและสังคมเช่นเด็กกำพร้าในสถานเลี้ยงเด็ก โดยย้ำว่ามันเป็นโมเดลธุรกิจที่ส่งผลดีต่อพวกเขา ไม่ใช่การทำการกุศลหรือ CSR 

 
 
17 มี.ค. 2561 โรงแรมเลมอนทรี เป็นโรงแรมขนาดกลางที่มีสาขามากที่สุดในอินเดีย และในทุก 44 สาขาของโรงแรมแห่งนี้ก็มีนโยบายเน้นจ้างงานกลุ่มคนที่ขาดโอกาส พวกเขาจ้างงานคนพิการ 550 ตำแหน่งซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้พิการทางการได้ยิน รวมถึงคนพิการนั่งรถเข็น ผู้พิการแขนขา รวมแล้วเป็นร้อยละ 12 ของตำแหน่งงานทั้งหมด 4,600 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังมีการเน้นจ้างงานคนที่มีพื้นเพมาจากครอบครัวยากจนด้วย
 
ไฟแนนเชียงไทม์ยกตัวอย่างกรณีของสีมา ราวัต แม่ลูกสองจากครอบครัวชนชั้นแรงงานผู้ถูกกดดันจากสามีและแม่สามีให้ต้องหางานทำเพราะมีค่าใช้จ่ายในครัวเรือนสูงขึ้นรวมถึงค่าเล่าเรียนของลูกๆ ราวัตเป็นคนพิการทางการได้ยินมาแต่กำเนิด เคยเข้าโรงเรียนสำหรับคนพิการทางการได้ยินเมื่ออายุ 15 ปี เธอสื่อสารด้วยภาษามือซึ่งอาจจะทำให้มีความยากลำบากสำหรับผู้ไม่รู้ภาษานี้
 
ในช่วงแรกๆ ที่โรงแรมการดำเนินนโยบายจ้างงานคนพิการมีลูกจ้างรายอื่นๆ ต่อต้านนโยบายเช่นนี้เพราะกลัวว่าคนพิการจะทำงานไม่ได้และอาจจะเกิดปัญหาเป็นภาระแก่คนทำงานอื่นๆ แต่ทางผู้ก่อตั้งโรงแรม ปาตู เกสวานี และผู้บริหารอื่นๆ ก็จัดประชุมชี้แจงทำความเข้าใจว่าผู้พิการทางการได้ยินเหล่านี้สามารถทำงานร่วมกับทีมได้โดยที่ความพิการไม่ได้เป็นภาระกับคนอื่นอย่างที่พวกเขาเข้าใจ
 
อาราธนา ลัล รองประธานด้านการริเริ่มเพื่อความยั่งยืนของเลมอนทรีกล่าวว่าสิ่งที่พวกเขาทำไม่ใช่เพื่อการกุศล และไม่ใช่นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมขององค์กร (CSR) แต่เป็นส่วนหนึ่งของโมเดลธุรกิจที่ปฏิบัติกันจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของพวกเขาแล้ว
 
เรื่องนี้มาจากการริเริ่มของเกสวานีผู้ที่เปิดเผยว่าในตอนแรกเขารับคนพิการรุ่นใหม่เข้ามาทำงานโดยที่ไม่ได้คิดอะไรหรือมีวิสัยทัศน์อะไรเป็นพิเศษ แต่แค่รู้สึกว่าความสำเร็จทางธุรกิจของเขาทำให้เขารู้สึก "อยากขอบคุณ" ท่ามกลางความไม่เท่าเทียมที่เกิดขึ้นในสังคมอินเดีย
 
ในแง่การบริหารจัดการนั้น ทางโรงแรมจะมีการจัดอบรมการใช้ภาษามือ รวมถึงการอบรมการทำงานร่วมกับคนพิการอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ไม่เปลี่ยนแปลงกำหนดการแบบกระทันหันในนาทีสุดท้าย การวางแผนล่วงหน้า ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้พนักงานคนพิการทำงานได้อย่างลุล่วง จนกระทั่งคนทำงานของเลมอนทรีเริ่มชอบแนวคิดการทำงานร่วมกับคนพิการ
 
"ในฐานะชาวอินเดีย พวกเราคุ้นชินกับความทุกข์ พวกเราอยากจะทำอะไรสักอย่างแต่ก็รู้สึกไร้พลัง ดังนั้นเมื่อคุณได้เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรที่เน้นในเรื่องนี้คุณก็จะเริ่มรู้สึกว่าคุณไม่ได้ทำงานเพียงเพื่อผลกำไร แต่เพื่ออะไรที่ยิ่งใหญ่กว่า เป็นหนทางเล็กๆ น้อยๆ ในการช่วยสร้างชาติ" เกสวานีกล่าว
 
นอกจากคนทำงานแล้ว แขกที่มากพักก็แสดงความประทับใจและวิจารณ์ในแง่บวกบนเว็บไซต์ท่องเที่ยวเกี่ยวกับนโยบายของโรงแรมนี้ การสื่อสารกับคนที่มาพักก็ไม่เป็นปัญหาเพราะคนพิการทางการได้ยินจะมีเข็มกลัดติดบอกและใช้ภาษาท่าทางในการสนทนา รวมถึงใช้วิธีให้แขกที่มากพักเขียนบอกได้ถ้าหากต้องการอะไรเพิ่มเติม
 
โมฮัมหมัด ดานิช คนหูหนวกอายุ 27 ปี จากเดลีทำงานในเลมอนทรีมาได้ 4 ปี แล้ว และในตอนนี้เขาได้ทำงานเป็นหัวหน้างานของแผนกอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม เขาบอกว่าเขารู้สึกดีที่ได้ทำงานที่เลมอนทรีเพราะเขาสามารถติดต่อสื่อสารกับทุกคนได้
 
ผู้จัดการระดับสูงของเลมอนทรีบอกว่าการจ้างคนพิการไม่ใช่แค่ต้องการทำให้เกิดปัจจัยแบบ "สร้างความรู้สึกดี" (feelgood factor) แต่มันเป็นการตัดสินใจทางธุรกิจที่สมเหตุสมผล เพราะกลุ่มคนพิการจะตั้งใจทำงานและสร้างผลผลิตมากเพราะรู้สึกว่ามีคนให้โอกาสพวกเขา
 
"ผมรู้สึกละอายใจอยู่นิดหน่อยที่จะหาเงินในประเทศนี้ ในประเทศที่มีความไม่เท่าเทียมกันด้านรายได้สูงมาก" เกสวานีกล่าว "ถ้าหากภาคเอกชนไม่เน้นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม พวกเราในฐานะประเทศก็จะล้มเหลว"
 
 
เรียบเรียงจาก
 
Lemon Tree Hotels hires 'opportunity-deprived' people as a key part of its workforce, Financial Times, 16-03-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ตร.คุมตัวคนเสื้อแดงสอบกว่า 1 วัน หลังชูป้ายประท้วง คสช. ไม่แก้ปัญหา ศก.

Posted: 17 Mar 2018 02:31 AM PDT

คนเสื้อแดงมหาสารคาม ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจคุมตัวไปสอบกว่า 1 วัน หลังชูป้ายประท้วง คสช. ไม่แก้ปัญหาเศรษฐกิจ สอบปากคำ-รับสารภาพแล้วถูกเปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 1,500 บาท คดียุติ

 
17 มี.ค. 2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่าเมื่อวันที่ 15 มี.ค. 2561 เวลาประมาณ 20.00 น. ที่สถานีตำรวจภูธรเมืองมหาสารคาม (สภ.เมืองมหาสารคาม) นายอุดรหรือศรวัชษ์ กุระจินดา คนเสื้อแดงจังหวัดมหาสารคาม ถูกเจ้าหน้าที่ชุดสืบ สภ.เมืองมหาสารคาม พร้อมด้วย พ.ต.อ.สันต์ชัย มัยญะกิต ผู้กำกับกองกำกับการ 2 กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1 นำตัวมาให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา เป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะ หรือเป็นผู้เชิญชวนหรือนัดให้มีการร่วมชุมนุมโดยไม่ได้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ตามหมายจับศาลจังหวัดมหาสารคามที่ 41/2561 ลงวันที่ 22 ก.พ. 2561
 
หลังจัดทำบันทึกการจับกุม แจ้งข้อหา และสอบปากคำโดยนายอุดรให้การรับสารภาพแล้ว พนักงานสอบสวนได้เปรียบเทียบปรับเป็นเงิน 1,500 บาท เป็นอันคดียุติ
 
คดีดังกล่าวนี้สืบเนื่องจากมีการจัดกิจกรรมชูป้ายประท้วงรัฐบาล คสช. กรณีที่ประชาชนเดือดร้อนจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ  ที่บริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดมหาสารคามเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2561 หลังกิจกรรมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจได้ติดตามแกนนำคนเสื้อแดงในอำเภอโกสุมพิสัย เชียงยืน และยางสีสุราช รวม 4 คน มาสอบถามหาคนที่ริเริ่มจัดกิจกรรม ต่อมา พ.ต.อ.ชัยโรจน์ นาคราช ผู้กำกับการ สภ.เมืองมหาสารคาม ได้กล่าวโทษให้ดำเนินคดีบุคคลรวม 5 คน ในข้อหา จัดการชุมนุมโดยไม่แจ้งการชุมนุมฯ และเรียกแกนนำเสื้อแดงทั้ง 4 คน ข้างต้นมาแจ้งข้อกล่าวหา และเปรียบเทียบปรับคนละ 1,500 บาท รวมทั้งมีหมายเรียกมายังนายอุดร กุระจินดา แต่นายอุดรได้หลบหนีออกจากพื้นที่ไปแล้ว เมื่อนายอุดรไม่มาตามหมายเรียก พ.ต.ท.สมมาส สถิตวัฒน์ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สภ.เมืองมหาสารคาม พนักงานสอบสวนในคดีก็ขอให้ศาลจังหวัดมหาสารคามออกหมายจับ
 
นายอุดร วัย 62 ปี เปิดเผยในวันที่กลับมาใช้ชีวิตปกติกับครอบครัวซึ่งประกอบกิจการขายอาหารตามสั่งว่า เหตุที่ลุกขึ้นมาจัดกิจกรรมชูป้ายเนื่องจากต้องการสะท้อนปัญหาปากท้องให้รัฐบาลรับทราบว่า ประชาชนลำบาก ทำมาค้าขายไม่ได้ เศรษฐกิจไม่ดี ถ้าเราไม่ทำอะไรบ้าง สังคมก็ดูจะเงียบไป ทั้ง ๆ ที่ปัญหาเศรษฐกิจมันหนักมากเกินกว่าที่ประชาชนจะทนได้แล้ว
 
"แต่พอเราทำกิจกรรมกันวันที่ 28 ม.ค. เช้าวันที่ 29 ผมก็ได้รับทราบข่าวว่ามีทหาร ตำรวจไปพบแกนนำ อ.ยางสีสุราช เชียงยืน และก็โกสุมฯ แต่ยังไม่มีมาหาผม ผมก็ตัดสินใจหลบออกจากบ้านไปก่อน ที่ตัดสินใจอย่างนั้นเพราะผมกังวลว่าจะถูกทหารเอาตัวไปค่ายอีก เหมือนที่ผมเคยโดนเอาตัวไป 7 วัน เมื่อปี 59 ผมไม่เชื่อใจทหาร และไม่ยอมรับวิธีการแบบนั้นของทหารก็เลยตัดสินใจว่า หลบไปก่อนดีกว่า ออกจากบ้านทั้งเสื้อยืด กางเกงขาสั้น แฟนผมก็ไม่รู้เรื่องอะไร ผมไม่ได้อธิบายอะไรให้เขาฟัง" นายอุดรเล่าถึงปฏิกิริยาของเจ้าหน้าที่รัฐ
 
หลังลุงอุดรออกจากบ้านไปไม่กี่วัน ตำรวจนอกเครื่องแบบก็มาที่ร้าน "ดอนโภชนา" ถามหา ลุงอุดรกับภรรยาของลุง พร้อมทั้งแจ้งว่า มีหมายเรียกมา เนื่องจากแกไปชูป้ายประท้วง คสช. ที่ บขส. แต่ภรรยาลุงไม่ได้เซ็นรับหมาย อ้างว่าไม่รู้เรื่องด้วย จากนั้น ตำรวจนอกเครื่องแบบก็ถือหมายแวะเวียนมาอีก 2-3 รอบ โดยไม่มีใครรับหมาย
 
เป็นเวลากว่า 1 เดือน ที่นายอุดรหลบออกจากบ้านไป เขาหาทางให้คนรู้จักเช็คข้อมูลจากแกนนำเสื้อแดงที่ทำกิจกรรมด้วยกัน และพนักงานสอบสวนเจ้าของคดี รวมทั้งปรึกษาทนายความ จนชัดเจนว่า เขาและพรรคพวกถูกดำเนินคดีในข้อหา เป็นผู้จัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่ได้แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ซึ่งตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 กำหนดให้ มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท และในกรณีของคนอื่น ๆ ตำรวจเรียกมาปรับคนละ 1,500 บาท ทำให้อุดรตัดสินใจกลับมาสู่กระบวนการดำเนินคดีของตำรวจ เพื่อที่จะได้กลับมาใช้ชีวิตกับครอบครัวได้ตามปกติ
 
อย่างไรก็ดี นายอุดรยังคงระแวงต่ออำนาจทหารในยุค คสช. เขาจึงตัดสินใจแจ้งให้ชุดสืบของ สภ.เมืองมหาสารคามไปรับตัวที่จังหวัดหนึ่งในอีสานตอนบน แต่กลับทำให้เวลาเดินทางกลับบ้านของเขายาวนานกว่าที่ควรจะเป็น
 
อุดรเล่าว่า ดาบตำรวจชุดสืบไปรับตัวเขาหลังเที่ยงวันที่ 14 มี.ค. เขานัดหมายกับครอบครัวและทนายความว่า เช้าวันที่ 15 มี.ค. จะเข้าไปมอบตัวที่สถานีตำรวจ แต่หลังจากออกเดินทางมากับดาบตำรวจคนดังกล่าวไม่นานเขาก็เริ่มรู้สึกว่า การนัดหมายอาจจะล่าช้าออกไป แม้ตำรวจจะไม่ได้บอกว่าเขาถูกจับ และไม่ได้แสดงหมายจับ แต่ก็เท่ากับเขาถูกจับแล้ว เนื่องจากไม่สามารถปฏิเสธว่าไม่ไปพบใคร หรือไม่ไปไหนตามที่ตำรวจกำหนดได้
 
ดาบตำรวจพาอุดรไปพบรองผู้กำกับจาก สภ.อุดรฯ จากนั้นมีผู้กำกับการตำรวจสันติบาล แนะนำตัวเองว่าชื่อ พ.ต.อ.สันต์ชัย มัยญะกิต เดินทางมาจากกรุงเทพฯ เพื่อสอบปากคำ และให้พาไปชี้จุดที่เขาพักระหว่างการหลบหนี เจ้าหน้าที่พาตัวนายอุดรมาถึง สภ.เมืองมหาสารคาม ในเวลาประมาณ 20.00 น.ของวันที่ 15 มี.ค. โดยในช่วงเวลากว่า 30 ชั่วโมงที่นายอุดรถูกควบคุมตัวอยู่กับตำรวจสันติบาล ญาติและทนายความที่รออยู่ไม่ได้รับการชี้แจงจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องว่า นายอุดรถูกนำตัวไปที่ใดบ้าง ด้วยวัตถุประสงค์อะไร มีเพียงคำอธิบายว่า "กำลังเดินทาง" และจะนำตัวมาส่งบ้านในคืนวันที่ 15 แล้วจึงเข้าพบพนักงานสอบสวนในเช้าวันที่ 16 มี.ค. จนกระทั่งเมื่อนายอุดรมาถึงสถานีตำรวจในเวลาค่ำ ซึ่งไม่เป็นตามที่แจ้งญาติไว้ นายอุดรต้องการแจ้งให้ญาติและทนายทราบเพื่อเข้าร่วมกระบวนการดำเนินคดี แต่กลับถูกปฏิเสธจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ
 
ทั้งนี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดไว้ว่า กรณีที่มีหมายจับ เจ้าหน้าที่ที่ทำการจับต้องแสดงหมายจับ และแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ถูกจับทราบ พร้อมทั้งแจ้งถึงสิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ รวมทั้งสิทธิที่จะพบและปรึกษาทนายความ จากนั้น เจ้าหน้าที่ต้องนำตัวผู้ถูกจับไปยังสถานีตำรวจท้องที่ที่ถูกจับ หรือท้องที่ที่ถูกดำเนินคดีโดยทันที เพื่อทำบันทึกจับกุม แจ้งข้อกล่าวหา อ่านหมายจับให้ฟัง และแจ้งสิทธิของผู้ถูกจับในการพบและปรึกษาทนายความ และให้ทนายความเข้าฟังการสอบสวน รวมทั้งแจ้งให้ญาติทราบถึงการจับกุมและสถานที่ที่ถูกควบคุมตัว หากเจ้าหน้าที่ที่จับนำตัวผู้ถูกจับไปสถานีตำรวจท้องที่ที่ถูกจับ หลังทำบันทึกจับกุมแล้ว ต้องส่งผู้ถูกจับให้พนักงานสอบสวนที่รับผิดชอบคดีโดยด่วน (มาตรา 83, 84, 84/1) เห็นได้ว่า กระบวนการในช่วงเวลากว่า 30 ชั่วโมงที่นายอุดรถูกนำตัวมายัง สภ.เมืองมหาสารคาม ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดดังกล่าวมา
 
นอกจากนี้ ในกระบวนการสอบปากคำและถามคำให้การที่ผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายหรือผู้ไว้ใจเข้าฟังการสอบปากคำได้ ตามมาตรา 134/3 และ 134/4 ก็ยังถูกเจ้าหน้าที่ปฏิเสธ เช่นเดียวกับกรณีของผู้ต้องหาอีก 4  คน ในคดีนี้ที่ถูกดำเนินคดีไปก่อนแล้ว
 
หลังเสร็จสิ้นกระบวนการตามกฎหมายที่ไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว นักกิจกรรมเสื้อแดงแสดงความเห็นประโยคสุดท้ายว่า "ผมไม่เห็นด้วยที่การทำกิจกรรมสะท้อนปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนให้รัฐบาลรับรู้แค่นี้แล้วต้องมาถูกดำเนินคดี ถูกปรับกันคนละ 1,500 บาท ทั้ง ๆ ที่เป็นเรื่องปกติของสังคมประชาธิปไตย ที่ผ่านมาเราก็ทำกันได้"
 
ก่อนหน้านี้ หลังเกิดเหตุการณ์ระเบิด 17 จุด ใน 7 จังหวัดภาคใต้ เมื่อเดือน ส.ค. 2559 นายอุดรถูกทหารหลายนายเข้าควบคุมตัวจากบ้าน นำไปควบคุมตัวที่ มทบ.11 เป็นเวลา 7 วัน ก่อนถูกดำเนินคดีร่วมกับคนอื่น ๆ รวม 17 คน ในข้อหา ร่วมกันเป็นอั้งยี่ (ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 209) และร่วมกันชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คน (ฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 3/58 ข้อ12) โดยมีพฤติการณ์ตามที่ถูกกล่าวหา คือ ร่วมกันชุมนุมจัดตั้งพรรคแนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตย เพื่อร่วมมือกับมวลชนพื้นที่ต่างๆ ที่มีแนวคิดต่อต้านรัฐบาล ซึ่งต่อมาอัยการศาลทหารกรุงเทพมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีเนื่องจากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลผ่านทวิตเตอร์ระบุ 'พรรคอนาคตใหม่' คะแนนนำโด่ง

Posted: 17 Mar 2018 02:15 AM PDT

'คมชัดลึกออนไลน์' ทำโพลผ่านทวิตเตอร์ @jin_nation ผู้ร่วมโหวต 4,078 คน ส่วนใหญ่ 57% บอกว่าเลือก 'พรรคอนาคตใหม่' พรรคเพื่อไทยได้ 13% พรรคประชาธิปัตย์ 9%

 
 
เว็บไซต์คมชัดลึก รายงานเมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2561 ว่าหลังจากพรรคอนาคตใหม่นำโดย นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เปิดตัวออกมาอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางกระแสที่ว่าพรรคนี้จะมาเป็นพรรคทางเลือกใหม่ให้กับการเมืองไทย 
 
'คมชัดลึกออนไลน์' ได้ทำโพลผ่านทวิตเตอร์ @jin_nation ปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้ามาร่วมโหวต 4,078 คน โดยส่วนใหญ่ คือ 57 เปอร์เซ็นต์ บอกว่าเลือกพรรคอนาคตใหม่ พรรคเพื่อไทยได้ 13 เปอร์เซ็นต์ พรรคประชาธิปัตย์ 9 เปอร์เซ็นต์ และอีก 20 เปอร์เซ็นต์ บอกเลือกพรรคอื่นๆ
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'อภิสิทธิ์-ปริญญา' ชี้พลังโซเชียลเปลี่ยนแปลงการเมือง 'ใบตองแห้ง' เห็นต่าง

Posted: 17 Mar 2018 01:50 AM PDT

'อภิสิทธิ์-ปริญญา' ชี้พลังโซเชียลเปลี่ยนแปลงการเมืองได้จริงถือเป็นประชาธิปไตยยุคใหม่มีพลังในการตรวจสอบถ่วงดุล นักการเมืองต้องปรับตัว ด้าน 'ใบตองแห้ง' เชื่อพลังโซเชียลไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันที แต่เป็นเพียงเครื่องมือในการระบายความรู้สึกทางอารมณ์ของคนที่สุดโต่ง ทวง 'อภิสิทธิ์' รับผิดชอบชัตดาวน์กรุงเทพฯ

 
 
17 มี.ค. 2561 สำนักข่าวไทย รายงานว่าสถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย จัดสัมมนาสาธารณะ หัวข้อ "พลังโซเชียลเปลี่ยนการเมืองไทย...จริงหรือ?" โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและความยั่งยืน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และนายอธึกกิต แสวงสุข คอลัมนิสต์ เจ้าของนามปากกาใบตองแห้ง เข้าร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็น
 
โดยนายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าพลังโซเชียลเปลี่ยนแปลงการเมืองได้จริง เพราะการเมืองเป็นเรื่องของความคิด การต่อสู้ทางความคิด และข้อมูล ซึ่งการสื่อสารมีรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป โซเชียลมีเดียสามารถทำให้ทุกคนเป็นผู้ผลิตสื่อได้ จึงทำให้ไม่แน่ใจว่าการสื่อสารต่อจากนี้ ประชาชนจะเชื่อสื่อหลักเพียงอย่างเดียวหรือไม่ เพราะสื่อกระแสหลักที่เคยมีอิทธิพลในอดีต ยังให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดีย ทำให้นักการเมืองต้องปรับตัวและให้ความสำคัญกับโซเชียลมีเดีย ใช้เป็นสมรภูมิหลักในการต่อสู้ทางการเมือง โดยเฉพาะกับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีโอกาสเลือกตั้งครั้งแรกถึง 7 ล้านคนที่ใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งทำให้นักการเมืองต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการหาเสียง จากเดิมที่ต้องจัดเวทีปราศรัย มาเป็นเฟซบุ๊คไลฟ์ ที่อาจมีคนติดตามมากเช่นกัน
 
นายอภิสิทธิ์ ยอมรับว่าโซเชียลมีเดียมีพลังในการตรวจสอบถ่วงดุล เห็นได้จากหลายกรณี เช่น กรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่แม้ยังไม่ได้คำตอบ แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลก็ได้รับผลกระทบทางคะแนนนิยมอย่างหนัก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต้องระมัดระวังในการตรวจสอบ จากเดิมที่อาจจะมีแผนให้ออกมาในทิศทางใดทิศทางหนึ่งก็อาจจะต้องคิดหนัก ขณะเดียวกันการใช้โซเชียลมีเดียในทางกลับกันต้องระมัดระวัง เพราะยังขาดการควบคุม แยกแยะ  และไตร่ตรองข้อเท็จจริง โดยเฉพาะทางการเมือง ในช่วงเลือกตั้ง กกต.ควรวางกติกาให้ชัดเจนเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นเท็จ ซึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบและเสียเปรียบ ดังนั้นโจทย์ใหญ่ คือ จะทำอย่างไรในการนำพลังตรงนี้ไปสู่พลังที่สร้างสรรค์
 
ด้านนายปริญญา กล่าวว่าโซเชียลมีเดียทำให้คนอยู่ในโลกความจริงมากขึ้น เพราะสมาร์ทโฟนเปรียบเสมือนกล้องวงจรปิดเคลื่อนที่ที่พร้อมจะบันทึกเหตุการณ์ต่าง ๆ ไว้เป็นหลักฐาน เช่น กรณีนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร ที่เริ่มต้นจากการเปิดเผยข้อมูลจากเว็บเพจในโซเชียล ก่อนที่สื่อกระแสหลักจะตามประเด็นต่อ ซึ่งถือว่าโซเชียลทีเดียมีผลทำให้เกิดกระแสต่อสังคม เกิดการรวมกลุ่มของคนที่มีแนวคิดคล้ายกัน และในทางการเมืองปัจจุบันถือเป็นยุคที่ใช้สมาร์ทโฟนขับเคลื่อนประเทศ ประชาชนสามารถเรียกร้องในสิ่งที่ตนเองต้องการได้ ขณะเดียวกันโซเชียลมีเดียถือเป็นประชาธิปไตยยุคใหม่ คือ ประชาธิปไตยที่เป็นของคนทุกชนชั้น ทุกคนมีสิทธิแสดงออกทางความคิด ไม่มีเพศและอายุ ที่สำคัญการชุมนุมเรียกร้องสามารถเกิดได้ในโซเชียล
 
นายอธึกกิต เชื่อว่าพลังโซเชียลจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในทันที เพราะทิศทางการเคลื่อนไหวยังไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีผลทางกฎหมาย และเป็นเพียงเครื่องมือที่ใช้ในการะบายความรู้สึกทางอารมณ์ จนเป็นที่มาของคำว่า ลูกขุนออนไลน์ มีการสร้างกระแสอารมณ์ของคนที่สุดโต่ง และตัดสินเรื่องราวไปบนพื้นฐานความรู้สึก โดยไม่ฟังความรอบข้าง ซึ่งบางครั้งเกิดการตีกลับเมื่อมีข้อมูลใหม่ ๆ ออกมา เช่น คดีหวย 30 ล้าน หรือกรณีป้าทุบรถ ซึ่งสะท้อนปรากฎการณ์ของรัฐที่ล้มเหลว แต่สิ่งที่ตามมาคือการเรียกร้องให้รัฐใช้อำนาจแบบสุดขั้ว และต้องเอาใจโซเชียล ดังนั้นโซเชียลยังมีภาพของความสุดโต่ง ซึ่งจะเกิดปัญหาตามมา ซึ่งถือเป็นจุดอ่อน ดังนั้นภาพรวมโซเชียลมีเดียจึงเป็นภาวะของสังคมที่เกิดการสะท้อนภาพการไม่ไว้ใจอำนาจเชิงระบบรัฐ นักการเมือง นักวิชาการ สื่อ พระภิกษุ ครู หรือแม้แต่องค์กรอิสระ ที่เกิดความเสื่อม
 
ทวง 'อภิสิทธิ์' รับผิดชอบชัตดาวน์กรุงเทพฯ
 
ด้าน มติชนออนไลน์ รายงานเพิ่มเติมว่าระหว่างสัมมนาได้เกิดการปะทะคารมราว 5 นาทีระหว่างนายอธึกกิตกับนายอภิสิทธิ์ โดยนายอธึกกิตได้กล่าวพาดพิงนายอภิสิทธิ์ให้ยอมรับผิดกรณีปิดทำเนียบรัฐบาล ขัดขวางการเลือกตั้ง และปิดสถานที่ราชการ เมื่อครั้งเข้าร่วมการชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.ในการต่อต้านรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในช่วงปี 2557 ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้โต้แย้งว่า "อย่างน้อยผมก็เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่หนีไปต่างประเทศครับ"
 
ต่อมานายอธึกกิตได้ยืนยันจุดยืนว่าจะไม่เลิกใช้คำว่าสลิ่ม เลิกไม่ได้ เพราะเป็นปัญหาหลักการว่า ใครเอาประชาธิปไตย ใครไม่เอาประชาธิปไตย ซึ่งทั้งหมดมาจากสองมาตรฐานในกระบวนการยุติธรรมในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้ออกจากความขัดแย้งไม่ได้ โดยยกตัวอย่างฟุตบอลที่แข่งขันกัน ถ้ากรรมการเป็นกลางก็ไม่มีปัญหา
 
จากนั้น ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่าทั้งสองข้างก็เหมือนเรียกกรรมการรักษาความสงบออกมา แต่นายอธึกกิตบอกว่าเรียกได้ฝั่งเดียว
 
ในที่สุด นายอภิสิทธิ์ก็ชี้แจงว่า "ที่บอกว่ามาปิดสนามเพราะแพ้ ขอให้กลับไปดูได้ การเลือกตั้งปี 2550 ปี 2554 ถามว่ามีปัญหาไหม คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชนะเลือกตั้ง นับคะแนนเสร็จ ผมยอมรับความพ่ายแพ้ และขอให้เดินตามนโยบายที่ประกาศไว้ แต่อย่าคิดล้างผิดให้กับคนโกง เพราะสัญญากับประชาชน ซึ่งยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ" 
 
"ปี 2554 มีน้ำท่วม เรื่องจำนำข้าว คุณยิ่งลักษณ์ก็อยู่ได้ ปัญหาทั้งหมดคือเรื่องพยายามนิรโทษกรรม ทั้งยังกล่าวหาผมเป็นฆาตกร จะดำเนินคดีผม จะประหารชีวิตผม จะมานิรโทษกรรมให้ผม คนที่ออกกฎหมายตรงนั้นจะไม่เอาผิด เพียงแต่จะล้างความผิด นี่แหละปัญหา ตนจึงอยากถามว่า มีคนไปเรียกทหารเข้ามาไหม ก็มี ซึ่งช่วงก่อนรัฐประหาร 2557 ผมมีข้อเสนอทางออก แต่รัฐบาลตอนนั้นบอกไม่ต้องยุ่ง เขาเป็นเสียงข้างมาก ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องฝ่ายแพ้ไปปิดสนาม แต่เป็นเรื่องการแสดงออกไม่ยอมรับนิรโทษกรรม ความเสื่อมศรัทธาเกิดขึ้น ถ้าเลือกตั้งจะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ดังนั้นทุกฝ่ายมีส่วนผิดทั้งหมด"
 
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่าตนแพ้การเลือกตั้งปี 2550 ไม่มีม็อบ มามีทีหลังด้วยเงื่อนไขอื่น ปี 2554 ตนแพ้การเลือกตั้งก็ไม่มีม็อบ แต่มาเกิดช่วงนิรโทษกรรม ซึ่งมีกรณีเดียวที่พรรคพลังประชาชนแพ้เสียงในสภาที่ให้ผมเป็นนายกฯ แล้วมีม็อบทันที ออกจากสภาเอาน้ำกรด อิฐมาปา เพราะมวลชนไม่รู้สึกเป็นธรรม
 
"วันนี้ไม่ใช่เรื่องมาบอกว่าเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทุกคนมีส่วนจากกระบวนการที่สั่งสมมา ถ้าไม่อยากให้เกิดอีกต้องถามแต่ละฝ่าย จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร ถ้ามีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง ไม่ใช้อำนาจเกินขอบเขต ปัญหาก็จะไม่มี และให้มีกลไกองค์กรอิสระแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว เราควรต้องมาพูดกันว่าควรจะทำอย่างไร" นายอภิสิทธิ์กล่าว
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เก็บตกความไม่ก้าวหน้าด้านสิทธิผู้หญิงในหลายประเทศ

Posted: 17 Mar 2018 01:20 AM PDT

เก็บตกปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ทำให้เรื่องสิทธิผู้หญิงกับการทำงานในหลายประเทศยังไม่คืบหน้านัก เช่น สเปน-สถิติความรุนแรงทางเพศในสเปนสูงสุดเป็นประวัติกาล, ออสเตรเลีย-ผลสำรวจระบุผู้หญิง 1 ใน 10 คน ถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน และสหภาพแรงงานในยุโรปเรียกร้อง 'งานสมดุลกับชีวิต' ของคนทำงานหญิง ฯลฯ

 

 

สเปน-สถิติความรุนแรงทางเพศในสเปนสูงสุดเป็นประวัติกาล

ตัวเลขความรุนแรงทางเพศที่รุนแรงที่สุดในสเปนได้รับการเผยแพร่ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์หลังจากที่ผู้หญิงกว่า 5.3 ล้านคน นัดหยุดงานระท้วงเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเพศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ (อ่านเพิ่มเติม: ผู้หญิงในสเปน 5.3 ล้านหยุดงานประท้วงใหญ่วันสตรีสากล ต้านวัฒนธรรม 'อ้างความเป็นชายกดข่ม')

ข้อมูลจากสำนักงานศาลยุติธรรมของสเปน (CGPJ) ระบุว่าผู้หญิงในประเทศสเปนจำนวน 158,217 ราย ถูกกระทำรุนแรงโดยผู้ชายในปี 2560 ที่ผ่านมาตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.7 เมื่อเทียบกับสถิติ 2559 และถือว่าสูงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกสถิติเอาไว้ นอกจากนี้ศาลสเปนได้รับคำร้องเรียนเพิ่มเติมเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศมากกว่า 166,620 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.4 จากปี 2560 และมีผู้ชายกว่า 33,146 คนได้รับโทษจำคุกในสเปนในปี 2560 ในข้อหาก่ออาชญากรรมเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางร่างกายและทางวาจาต่อผู้หญิง

ออสเตรเลีย-ผลสำรวจระบุผู้หญิง 1 ใน 10 คน ถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน

ศูนย์วิจัยผู้หญิง การทำงาน และความเป็นผู้นำ (Women, Work & Leadership Research Group) ของมหาวิทยาลัยซิดนีย์ ได้ทำการสำรวจความเห็นคนทำงานหญิง 2,100 คน และชาย 500 คน โดยผู้หญิงร้อยละ 10 ที่ตอบแบบสอบถามระบุว่าพวกเธอเคยถูกคุกคามทางเพศในที่ทำงาน โดยในงานศึกษานี้ระบุว่าผู้หญิงที่มีความพิการ, เป็นผู้ที่มาจากวัฒนธรรมที่แตกต่าง หรือกำลังศึกษาอยู่ มักจะถูกล่วงละเมิดทางเพศ

เกาหลีใต้-ผู้หญิงสุดทน ประท้วงต่อต้านการคุกคามทางเพศ

ผู้หญิงเกาหลีใต้รวมตัวชุมนุมสนับสนุนความเคลื่อนไหวต่อต้านการคุกคามทางเพศ #MeToo เนื่องในวันสตรีสากล (8 มี.ค.) โดยผู้ประท้วงซึ่งมีจำนวนมากแต่งกายด้วยชุดสีดำและถือป้ายสีดำระบุข้อความ #MeToo ได้รวมตัวกันบริเวณใจกลางกรุงโซล เรียกร้องให้ผู้กระทำความผิดทางเพศเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตลอดจนเรียกร้องความเป็นธรรมทางเพศ และลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างหญิงและชาย ด้านรัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศจะยกระดับกฎหมายต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศและใช้มาตรการต่างๆ เพื่อลดการคุกคามทางเพศ

โดยในเดือน มี.ค. นี้มีข่าวรายงานว่าเลขานุการของผู้ว่าการเมืองชุงชองใต้ ได้ออกมาเปิดเผยว่าถูกเจ้านายซึ่งเป็นนักการเมืองที่มีอนาคตไกลและถูกวางตัวลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในการเลือกตั้งครั้งต่อไปล่วงละเมิดทางเพศหลายครั้งในช่วงปี 2559-2560 รวมทั้งนักแสดงชายชาวเกาหลีใต้วัย 52 ปี ฆ่าตัวตาย เนื่องจากถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศนักศึกษาหญิงหลายคนที่เรียนในสาขาการละครของมหาวิทยาลัยชองจู

ธุรกิจจีนมุ่งหาเงินจากวันสตรีสากล

ส่วนบรรยากาศวันสตรีสากลในจีนพบว่าร้านค้าปลีกทั้งออฟไลน์และออนไลน์ต่างมีโปรโมชั่นส่งเสริมการขายสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ ตัวอย่างเช่นสถานออกกำลังกายแห่งหนึ่งโฆษณาว่า "เป็นราชินีภายใน 3 เดือน" ส่วนอาลีบาบา อีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่เชิญชวนสาวน้อยสาวใหญ่ "มาทำให้พลังแห่งสตรีมีชีวิตชีวา" คาดการณ์ว่าตลาดสินค้าสำหรับผู้หญิงภายในปี 2562 จะมีมูลค่าถึง 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 21.9 ล้านล้านบาท) ส่วนอาลีบาบาเผยว่าปี 2560 ผู้หญิงจีนใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ถึงร้อยละ 64

ส่วนกลุ่มสิทธิสตรีในจีนระบุว่า แม้ผู้หญิงจีนมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจประเทศมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ได้รับความเสมอภาคเรื่องโอกาสทางธุรกิจและการเมือง ผู้หญิงจีนยังได้เงินเดือนน้อยกว่าชายที่ทำงานในตำแหน่งเดียวกันร้อยละ 22 ซึ่งช่องว่างนี้ยิ่งมากขึ้นเมื่อตำแหน่งสูงขึ้น ส่วนในสภามีผู้หญิงเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น

สหภาพแรงงานในยุโรปเรียกร้อง 'งานสมดุลกับชีวิต' ของคนทำงานหญิง

เนื่องในวันสตรีสากล 8 มี.ค. สหภาพแรงงานยุโรปออกมาเรียกร้องให้มีการยอมรับข้อกำหนดของสหภาพยุโรปว่าด้วยเรื่องความสมดุลในชีวิตและการทำงาน ที่จะช่วยเพิ่มโอกาสในการจ้างงานของผู้หญิงและทำให้ 'สามี-ภรรยา' มีเวลาในการเลี้ยงบุตรที่เท่าเทียมกัน

เมื่อวันที่ 7 มี.ค. 2561 สมาพันธ์สหภาพแรงงานยุโรป (ETUC) รายงานว่าเนื่องในวันสตรีสากล 8 มี.ค. สหภาพแรงงานยุโรปออกมาเรียกร้องให้มีการยอมรับ ข้อกำหนดของสหภาพยุโรปว่าด้วยเรื่องความสมดุลในชีวิตและการทำงาน (EU Directive on work-life balance) ซึ่งข้อกำหนดนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการจ้างงานของผู้หญิงและทำให้ 'สามี-ภรรยา' มีเวลาในการเลี้ยงบุตรที่เท่าเทียมกัน

นอกจากนี้จากการศึกษาของสมาพันธ์สหภาพแรงงานยุโรประบุว่าหากนำข้อกำหนดนี้มาใช้ คนทำงานในกลุ่มสหภาพยุโรปหลายประเทศจะได้รับประโยชน์มากขึ้น เช่น การลาเลี้ยงลูกที่ได้รับการจ่ายค่าแรง 10 วัน จะเป็นสวัสดิการใหม่ของคนทำงานในออสเตรีย ไซปรัส สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนี โครเอเชีย และสโลวาเกีย

 

 

ที่มาเรียบเรียงจาก
2017 worst year on record for violence against women in Spain (The Local, 12/3/2018)
One in 10 women sexually harassed at work: survey (In Daily, 6/3/2018)
Civic groups join hands for 'Me Too' movement (Yonhap, 15/3/2018)
In China, retailers cash in on 'she' economy for Women's Day (businesstimes.com, 9/3/2018)
Time to deliver on women's rights: YES to the work-life balance directive! (ETUC, 7/3/2018)

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

คณะ กก.อิสลามปัตตานีเตรียม 'เซฟเฮ้าส์' เพื่อการพูดคุยจัดตั้ง 'พื้นที่ปลอดภัย'

Posted: 16 Mar 2018 11:24 PM PDT

คณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขอใช้พื้นที่สำนักงาน กก.อิสลามปัตตานี อ.หนองจิก จัดตั้งสำนักงานประสานงานของฝ่ายรัฐบาลไทย ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบ และภาคพลเรือน หรือ 'เซฟเฮ้าส์' เพื่อเตรียมการจัดตั้ง 'พื้นที่ปลอดภัย' ในอำเภอใดอำเภอหนึ่งในสามจังหวัดชายแดนใต้ต่อไป

 
ที่มาภาพ: คณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้
 
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2561 ที่ผ่านมา เว็บไซต์เบนาร์นิวส์ รายงานว่านายแวดือราแม มะมิงจิ ประธานคณะกรรมการอิสลามปัตตานี ระบุว่าคณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ขอใช้พื้นที่สำนักงานของคณะกรรมการฯ ในอำเภอหนองจิก จังหวัดปัตตานี เพื่อจัดตั้งสำนักงานประสานงานของฝ่ายรัฐบาลไทย ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบ และภาคพลเรือน หรือที่เรียกกันว่า "เซฟเฮ้าส์" ที่จะใช้ในการดำเนินการเพื่อเตรียมการจัดตั้ง "พื้นที่ปลอดภัย" ในอำเภอใดอำเภอหนึ่งในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ต่อไป
 
ในวันนี้ นายแวดือราแม ได้เรียกคณะกรรมการและที่ปรึกษา 60 คน มาชี้แจงแนวทางการทำงาน กรณีที่คณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะขอใช้สถานที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามเป็น เซฟเฮ้าส์ และยังใช้เป็นที่พำนักของผู้ที่มาพักโทษ ซึ่งเป็นสมาชิกขบวนการก่อเหตุรุนแรงที่ถูกจำคุก จำนวนสามราย
 
นายแวดือราแม กล่าวว่า คณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี ยินดีดำเนินการจัดปรับปรุงพื้นที่ภายในสำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานี เพื่อเป็นสถานที่เตรียมการในการจัดพื้นที่การพูดคุยสันติสุขระหว่างรัฐกับผู้เห็นต่าง ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐ ส่วนทางคณะกรรมการจะจัดสถานที่ให้เท่านั้น
 
ในประเด็นที่สอง คือ จัดพื้นที่เซฟเฮ้าส์ ให้กับผู้ที่มีคดีความมั่นคง จำนวน 3 ราย ที่จะพักโทษ โดย 2 ราย มาจากนราธิวาส และอีก 1 ราย มาจากจังหวัดยะลา เนื่องจากเขาไม่กล้าที่จะกลับพื้นที่ จึงได้จัดสถานที่ในคณะกรรมการอิสลาม เพื่อเป็นพื้นที่พักโทษให้ โดยจะพักประมาณ 7-8 เดือน
 
"เราจะอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตความเป็นอยู่ จัดสถานที่ สังเกตการณ์ รักษาความปลอดภัยให้เขาทุกอย่าง" นายแวดือราแม กล่าวแก่ เบนาร์นิวส์
 
ในเรื่องการจัดสถานที่ให้กับคณะการพูดคุย และการตั้งเซฟเฮ้าส์ ที่สำนักงานคณะกรรมการอิสลามปัตตานีนั้น คณะที่ปรึกษาและคณะกรรมการเห็นชอบ เพื่อตอบสนองนโยบายของรัฐ ซึ่งทางคณะกรรมการฯ จะปรับปรุงในเรื่องสถานที่ ซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอให้เรียบร้อย เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์
 
"เราได้ตั้งคณะกรรมการ 1 ชุด เพื่อสังเกตการณ์ ในการขับเคลื่อนงานทั้ง 2 ประเด็น เพื่อต้องการให้โครงการของรัฐประสบความสำเร็จ และเพื่อต้องการให้บ้านเมืองเกิดความสงบสันติสุขยั่งยืนตลอดไป" นายแวดือราแม กล่าวเพิ่มเติม
 
ด้าน ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตรภิรมย์ศรี ผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังจังหวัดชายแดนภาคใต้ กล่าวว่า ในขณะนี้ การจัดตั้งเซฟเฮ้าส์ ยังไม่เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจน ส่วนพื้นที่เซฟเฮ้าส์นั้น มีความเหมาะสมดี
 
"กระบวนการทำงานที่เซฟเฮ้าส์ยังไม่ชัดเจน หรืออาจเพราะยังไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการ ทราบแค่ว่าจะมีคณะทำงานฝ่ายละ 7 คน มาอยู่ขับเคลื่อนงานพื้นที่ปลอดภัย และในส่วนของมารา จะต้องมีบางคนที่อยู่ระหว่างพักโทษก็จะอยู่ที่นั่นเลย โดยใช้บริเวณสำนักงานคณะกรรมการอิสลาม จังหวัดปัตตานี ที่อยู่บริเวณบ้านทุ่งนเรนทร์ หมู่ที่ 1 ตำบลบ่อทอง อ.หนองจิก จ.ปัตตานี จึงเหมาะสมที่ใช้จุดนั้นเป็นศูนย์ รวมทั้งมีความปลอดภัยและง่ายต่อการขับเคลื่อนงาน" ผศ.ดร.ศรีสมภพ กล่าวแก่เบนาร์นิวส์
 
แหล่งข่าวใกล้ชิดมาราปาตานี ในมาเลเซีย กล่าวว่าการตั้งเซฟเฮ้าส์ที่คณะกรรมการอิสลามปัตตานี ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะจะสามารถมีที่รวมตัวพูดคุยเพื่อสร้างความสงบสุขในพื้นที่ได้ โดยไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเจ้าหน้าที่รัฐบาลไทยจับกุม ที่สำคัญคือฝ่ายประสานงานของขบวนการได้มีโอกาสกลับบ้าน
 
ด้านเจ้าหน้าที่ไทยไม่ได้แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ค้านการห้ามคนอ้วนนั่งชั้นธุรกิจการบินไทย ชี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

Posted: 16 Mar 2018 10:16 PM PDT

สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทยออกแถลงการณ์คัดค้านการห้ามคนอ้วนนั่งชั้นธุรกิจการบินไทย ระบุกฎ FAA เป็นกฎของสหรัฐฯ ไม่ใช่กฎของไทย และเครื่องบิน 2 ลำดังกล่าวก็ไม่ได้ใช้บินเข้าสหรัฐฯ ชี้ขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้โดยสารที่มีรอบเอวมากว่า 56 นิ้ว ขัดต่อ ม.4 ม.26 ม.27 และ ม.61 รัฐธรรมนูญ 2560

 
17 มี.ค. 2561 สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ออกแถลงการณ์คัดค้านการห้ามคนอ้วนนั่งชั้นธุรกิจการบินไทยเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ระบุว่าตามที่การบินไทยได้ออกประกาศบังคับใช้กฎพิเศษเกี่ยวกับการจำหน่ายตั๋วโดยสารบนที่นั่งชั้นธุรกิจ (Business Class) ของเครื่องบินแบบโบอิ้ง 787-9 ดรีมไลน์เนอร์รุ่นล่าสุด 2 ลำที่การบินไทยซื้อมา โดยอ้างว่าเป็นการปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยด้านการบินของสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (เอฟเอเอ) โดยการขอสงวนสิทธิ์ ในการรับสำรองที่...นั่งและจำหน่ายบัตรโดยสารสำหรับ Obese Passenger (ซึ่งหมายถึงผู้โดยสารที่มีรอบเอวมากกว่า 56 นิ้ว) ซึ่งไม่สามารถคาดเข็มขัดนิรภัยได้ (Airbag Seatbelt) รวมถึงผู้โดยสารที่มีทารกเดินทางพร้อมกัน และนั่งตัก Infant Lap-held บนที่นั่งชั้นธุรกิจ Business Class ของเครื่องบินแบบโบอิ้ง 787-9 ดรีมไลน์เนอร์รุ่นล่าสุดนั้น
       
สมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ขอคัดค้านการใช้อำนาจดังกล่าวเพราะกฎ FAA เป็นกฎของสหรัฐไม่ใช่กฎของไทย และเครื่องบิน 2 ลำดังกล่าวก็ไม่ได้ใช้บินเข้าสหรัฐ แล้วทำไมการบินไทยจึงอ้าง FAA มาเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจของการบินไทย แต่กลับนำไปสู่การขัดต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้โดยสารที่มีสภาพร่างกายที่มีรอบเอวมากว่า 56 นิ้ว ซึ่งขัดต่อมาตรา 4 มาตรา 26 มาตรา 27 และมาตรา 61 ของรัฐธรรมนูญ 2560 โดยชัดแจ้ง เพราะถือว่าเป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลเกินสมควร รวมทั้งขัดต่อหลักนิติธรรม ทั้ง ๆ ที่การบินไทยอยู่ในฐานะสายการบินของชาติพึงจะต้องให้การคุ้มครองผู้โดยสารโดยไม่แยกสภาพทางกายหรือสุขภาพ หรือสถานะของบุคคล เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าข่าย "การเลือกปฏิบัติ" ได้
       
นอกจากนั้นยังถือได้ว่าเป็นการขัดต่อหลักปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ที่ทั่วโลกให้การรับรองเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2491 แล้ว โดยเฉพาะในข้อ 2 ข้อ 7 ข้อ 25(2) และข้อ 28 ที่บัญญัติไว้ว่า มนุษย์ทุกคนมีเกียรติและคุณค่ามีความเสมอภาคกันและมีสิทธิที่จะได้รับความคุ้มครองเท่าเทียมกันโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติใด ๆ และควรได้รับการยอมรับนับถือเกียรติศักดิ์ประจำตัวและสิทธิเท่าเทียมกันและโอนมิได้ของบรรดาสมาชิกทั้งหลายแห่งครอบครัวมนุษย์อันเป็นหลักมูลเหตุ แห่งอิสรภาพ และความยุติธรรม และสันติภาพโดยไม่นำพาและเหยียดหยามต่อมนุษยชน 
        
ทั้งนี้หากการบินไทยจะอ้างกฎเพื่อความปลอดภัยก็ควรต้องเสนอให้รัฐนำไปออกกฎหมายมาบังคับจึงจะชอบด้วยปฏิญญาสากล และที่สำคัญเครื่องบินโบอิ้งรุ่นดังกล่าว การบินไทยเป็นผู้สั่งซื้อย่อมมีอำนาจที่จะสั่งการให้ผู้ผลิตสามารถที่จะแก้ไขแบบที่นั่งเพื่อรองรับผู้โดยสารที่มีน้ำหนักพิเศษได้ เพราะหลักการตลาดนั้นผู้ซื้อย่อมมีอำนาจเหนือผู้ขาย และหากโบอิ้งไม่ยอมผลิตให้ก็ไม่ควรจัดซื้อจัดหาเครื่องบินจากบริษัทนี้อีกต่อไป และเครื่องบินทั้ง 2 ลำควรจะขายกลับคืนให้กับโบอิ้งไปเสีย เพราะเมื่อนำมาใช้แล้วจะเป็นการละเมิดต่อหลักกฎหมายไทยและหลักปฏิญญาสากลอันเป็น "การละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์" ดังได้กล่าวแล้ว และหากการบินไทยไม่ทบทวนประกาศดังกล่าวสมาคมฯจำต้องใช้สิทธิทางศาลในการหาข้อยุติในทางคดีต่อไป
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เนชันแนลจีโอกราฟฟิก ยอมรับเรื่องเคยเหยียดเชื้อชาติสีผิว พร้อมปรับปรุงการนำเสนอใหม่

Posted: 16 Mar 2018 10:01 PM PDT

นิตยสารเนชันแนลจีโอกราฟฟิกกำลังจะออกฉบับใหม่ประจำเดือน เม.ย. นี้ซึ่งมีเนื้อหาอุทิศให้กับประเด็นเรื่องเชื้อชาติ และนั่นทำให้พวกเขาหันกลับไปมองอดีตของตัวเอง แล้วยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกเขาก็เคยเหยียดเชื้อชาติสีผิวมาก่อนเช่นกัน แต่นั่นก็ถือเป็นบทเรียนที่พวกเขาต้องการจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยให้พื้นที่ผู้คนที่เล่าเรื่องจากมุมตัวเองแทนการเล่ากลบทับพวกเขาเหล่านั้น

 
16 มี.ค. 2561 ซูซาน โกลด์เบิร์ก หัวหน้าบรรณาธิการของของเนชันแนลจีโอกราฟฟิกขอให้จอห์น เอ็ดวิน เมสัน ศาตราจารย์ประวัติศาสตร์แอฟริกันและช่างภาพประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียช่วยสำรวจว่าตลอดช่วงเกือบ 130 ปีที่ผ่านมาเนชันแนลจีโอกราฟฟิกนำเสนอในเรื่องเชื้อชาติอย่างไรบ้าง ซึ่งเมสันพบว่าก่อนหน้านี้เนชันแนลจีโอกราฟฟิกมีประวัติการนำเสนอเรื่องราวในเชิงเหยียดเชื้อชาติมายาวนานมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคัดสรรเนื้อหาหรือภาพถ่ายที่มีชื่อเสียง
 
โกลด์เบิร์กระบุว่าเนชันแนลจีโอกราฟฟิกละเลยนผิวสีมาโดยตลอดจนถึงช่วงคริสตทศวรรษที่ 1970s นานๆ ครั้งถึงจะพูดถึงพวกเขาในแง่มุมอื่นๆ นอกเหนือจากผู้ใช้แรงงาน นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอภาพชนพื้นเมืองในที่อื่นๆให้มีลักษณะดูเป็นของแปลก (exotics) และมักจะมีลักษณะภาพเหมารวม
 
ตรงจุดนี้พวกเขายอมรับว่าทำได้ไม่ดีเท่านิตยสารอีกฉบับหนึ่งคือ Life จากการที่จีโอกราฟฟิกมักจะนำเสนอแต่ภาพการมองคนนอกแบบเหมารวมจากสายตาของวัฒนธรรมคนขาวอเมริกัน
 
เมสันสำรวจย้อนกลับไปว่าการตัดสินใจตีพิมพ์รูปถ่ายของเนชันแนลจีโอกราฟฟิกโดยกองบรรณาธิการยุคก่อนหน้านี้มีอคติแฝงอยู่ โดยตั้งข้อสังเกตว่าพวกเขามักจะเลือกรูปที่นำเสนอชนพื้นเมืองของคนชายขอบให้ดูแปลก ดูประหลาด กลายเป็นการสร้างลำดับขั้นกดทับอีกแบบหนึ่งที่ให้คนขาวดูเหนือกว่า โดยการสร้างภาพให้โลกตะวันตกดูมีพลวัติ เคลื่อนไปข้างหน้า และดูมีเหตุผลมาก และแสดงให้เห็นว่าโลกของคนผิวสีดู "เป็นบุพกาล" ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เช่นภาพที่แสดงให้เห็นชนพื้นเมืองดูตะลึงพรึงเพริดกับเทคโนโลยีตะวันตก
 
นอกจากนี้เมสันยังระบุถึงอีกปัญหาหนึ่งนการนำเสนอของจีโอกราฟฟิกในยุคก่อนหน้านี้คือนโยบายของกองบรรณาธิการที่จะไม่นำเสนอ "สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา" จึงมีน้อยมากที่ผู้อ่านจะได้เห็นภาพของสงคราม ความอดอยาก และความขัดแย้งในประเทศเหล่านั้น เช่นในช่วงที่ตำรวจทำการสังหารหมู่ประชาชนที่เมืองชาร์ปเพวิลล์จนมีผู้เสียชีวิต 69 ราย ก็มีการนำเสนอน้อยมากในบทความเกี่ยวกับแอฟริกาใต้ของจีโอกราฟฟิก
 
เมสันกล่าวว่านิตยสารของพวกเขาในอดีตไม่นำเสนอเสียงของคนดำแอฟริกาใต้ มีแต่ภาพที่พวกเขาอยากจะนำเสนอเท่านั้น นอกจากนี้ยังมักจะนำเสนอรูปของผู้หญิงคนผิวสีที่เปลือยท่อนบนที่บางรูปแทบจะมีการถ่ายรูปในมุมที่มีลักษณะดึงดูด เมสันบอกว่าน่าจะเป็นเพราะบกองบรรณาธิการในยุคนั้น "ต้องการใช้เป็นจุดขายผู้ชาย"
 
หลังจากที่โกลด์เบิร์กขึ้นเป็นหัวหน้าบรรณาธิการนิตยสารเนชันแนลจีโอกราฟฟิกเมื่อปี 2557 เธอก็เป็นหญิงคนแรกและชาวยิวคนแรกที่ได้รับตำแหน่งหัวหน้าบรรณาธิการนี้ จากการที่เธอบอกว่าตัวเธอมีอัตลักษณํที่ถูกกีดกันสองอัตลักษณ์ซ้อนทับในตัวเอง โกลด์เบิร์กจึงมีนโยบายว่านิตยสารจีโอกราฟฟิกจะต้องไม่ทำเรื่องเชื่อชาติสีผิวโดยที่ไม่มีการตระหนักรู้ว่าพวกเขาก็เป็นผู้มีส่วนร่วมในการปั้นแต่งความรู้ความเข้าใจในเรื่องเชื้อชาติและลำดับขั้นจากเชื้อชาติ
 
เมสันกล่าวว่าการเป็นผู้มองวิถีชีวิตของผู้คนในพื้นที่ห่างไกลไม่ได้เป็นเรื่องผิดในตัวมันเอง ทุกคนย่อมมีความอยากรู้อยากเห็นเป็นธรรมดา พวกเขาไม่ได้วิจารณ์ความใฝ่รู้และความต่าง แต่ต้องการชี้ให้เห็นปัญหาของเรื่องการสร้างความเหนือกว่าและความด้อยกว่าจากการนำเสนอในอดีต ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ชาวแอฟริกันบางคนเองก็เคยบอกกับเมสันว่าการนำเสนอรูปภาพของพวกเขามีปัญหา
 
นั่นทำให้เนขันแนลจีโอกราฟฟิกในฉบับเดือน เม.ย. จะปรับปรุงตัวเองใหม่จากเดิมที่มีแต่คนตะวันตกมองและเล่าเรื่องแบบพูดแทนชาวแอฟริกา เอเชีย หรือละตินอเมริกา ก็จะมีผู้นำเสนอเรื่องราวจากที่ต่างๆ หลากหลายมากกว่านี้ ซึ่งไม่ใช่แค่นำเสอนเรื่องราวตัวเอง แต่อยากเชื้อชวนให้ช่างภาพจากที่ต่างๆ ทั่วโลกนำเสนอมุมมองสายตาของพวกเขาที่มีต่อพื้นที่ต่างๆ ในโลกตะวันตกเช่น ซินซินนาติ ของโอไฮโอ
 
 
เรียบเรียงจาก
 
'National Geographic' Reckons With Its Past: 'For Decades, Our Coverage Was Racist', NPR, 12-03-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เปิดตัว 'สถานีสุขภาพวัยรุ่นชาย' คลินิกออนไลน์ครบวงจร มุ่งลดเอชไอวีในวัยรุ่นกลุ่มเสี่ยง

Posted: 16 Mar 2018 09:24 PM PDT

องค์กรพันธมิตร 7 หน่วยงานร่วมมือกันเปิดตัว Lovecare YM2M Young Men's Health Station สถานีสุขภาพวัยรุ่นชาย ผ่านคลินิกออนไลน์แบบครบวงจร เพื่อให้การปรึกษาเรื่องเพศเรียลไทม์แก่วัยรุ่นชาย

 
 
เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 2561 จากการที่ปัจจุบันพบผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทยเป็นกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย (MSM) เป็นจำนวนสูงกว่าประชากรกลุ่มอื่นๆ วันนี้องค์กรพันธมิตร 7 หน่วยงาน ได้แก่ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กรมควบคุมโรค มูลนิธิแพธทูเฮลท์ คลินิกบางกอกเฮลท์ฮับ สำนักการแพทย์-สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย และศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข จึงได้ร่วมมือกันเปิดตัว Lovecare YM2M Young Men's Health Station สถานีสุขภาพวัยรุ่นชาย ผ่านคลินิกออนไลน์แบบครบวงจร http://ym2m.lovecarestation.com/ เพื่อให้การปรึกษาเรื่องเพศเรียลไทม์แก่วัยรุ่นชาย ซึ่งรวมถึงกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง พร้อมจัดบริการส่งต่อไปยังคลินิกหรือโรงพยาบาลต่างๆ เพื่อให้วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงเข้าถึงการตรวจรักษาที่จำเป็นและปลอดภัย
 
ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขพบว่าร้อยละ 52 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศไทยในพ.ศ. 2560 คือกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย ในจำนวนนี้เป็นผู้มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ถึงร้อยละ 55 นอกจากนี้ ยังพบว่ากรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ที่มีอัตราความชุกของเอชไอวีในกลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชายสูงที่สุด คืออยู่ที่ร้อยละ 20 ในพ.ศ. 2557 เมื่อเทียบกับร้อยละ 1.1 ในประชากรทั่วไป
 
อย่างไรก็ตาม อัตราการตรวจเลือดเพื่อหาเอชไอวีในกลุ่มวัยรุ่นดังกล่าวกลับอยู่ในระดับต่ำ โดยข้อมูลจากโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ พบว่า เพียงร้อยละ 31 ของชายมีเพศสัมพันธ์กับชายในประเทศไทยทราบว่าตนเองมีเชื้อเอชไอวีหรือไม่
 
วัยรุ่นชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสอง เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เนื่องจากหลายสาเหตุ เช่น การขาดวุฒิภาวะ มีคู่นอนหลายคนและมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่มีการป้องกัน ทั้งนี้ YM2M http://ym2m.lovecarestation.com/ สถานีสุขภาพวัยรุ่นชาย เป็นบริการออนไลน์ครบวงจรที่เน้นเข้าถึงประชากรกลุ่มนี้ โดยได้เปิดเป็นแชทรูมที่มีแพทย์ พยาบาล และผู้เชี่ยวชาญคอยแชทสดกับกลุ่มเป้าหมายในหลากหลายหัวข้อ ตั้งแต่ความรัก เพศสัมพันธ์ เพศสภาวะ โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ไปจนถึงการตรวจเลือดและการรักษา นอกจากนี้ สถานีวัยรุ่นชายยังมีการจัดบริการส่งต่อวัยรุ่นที่ต้องการเข้ารับการรักษา หรือตรวจหาเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ไปยังโรงพยาบาลหรือคลินิกในเครือข่ายจำนวน 23 แห่งทั่วกรุงเทพฯ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการอบรมพร้อมให้บริการด้วยความเป็นมิตร โดยไม่มีค่าใช้จ่ายหรือมีอัตราค่ารักษาที่ไม่แพง
 
นายโธมัส ดาวิน ผู้แทนองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย กล่าวในงานแถลงข่าววันนี้ว่า "แม้ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการลดการติดเชื้อเอชไอวีในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา แต่อัตราการติดเชื้อกลับเพิ่มขึ้นในประชากรบางกลุ่ม เรื่องนี้เป็นประเด็นทางสาธารณสุขที่น่ากังวลอย่างยิ่งของประเทศไทย เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยให้วัยรุ่นกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้เข้าถึงข้อมูลและบริการที่จำเป็น และช่วยให้พวกเขาสามารถป้องกันตนเองจากเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ได้"
 
นายแพทย์เทียรี่ โรลส์ โครงการเอชไอวีและวัณโรค ศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุข กล่าวว่า "การให้การปรึกษาแนะนำด้านสุขภาพทางออนไลน์กับวัยรุ่นชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย เป็นกิจกรรมที่เสริมขึ้นมาจากงานอื่นๆ ที่เราได้ทำอยู่แล้วเพื่อรับมือกับการระบาดของเอชไอวีในกลุ่มเสี่ยงนี้ เนื่องจากช่องทางออนไลน์เป็นที่นิยมกันมากในกลุ่มวัยรุ่น เราหวังว่าบริการทางออนไลน์เหล่านี้จะก่อให้เกิดผลในวงกว้างอย่างแท้จริง"
 
นายแพทย์สมาน ฟูตระกูล ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กล่าวในงานแถลงข่าววันนี้ว่า "การเข้าถึงการตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวีในวัยรุ่นที่มีความเสี่ยงยังมีความครอบคลุมต่ำ สำนักโรคเอดส์ วัณโรค และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ร่วมกับภาคีเครือข่ายในการส่งเสริมการเข้าถึงบริการที่เป็นมิตรสำหรับวัยรุ่นฯ กลุ่มเสี่ยง สามารถรับการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวีได้ฟรีในสถานบริการสาธารณสุขของรัฐในเครือข่าย YM2M และร่วมกันจัดทำระบบส่งต่อสำหรับผู้ที่มีการติดเชื้อ สำหรับวัยรุ่นที่ไม่ติดเชื้อและมีความเสี่ยงเข้าเกณฑ์จะมีการสนับสนุนการให้บริการเพร็พเพื่อป้องกันเอชไอวีก่อนการสัมผัส โดยส่งเสริมให้ใช้ควบคู่กับการใช้ถุงยางอนามัยและการให้การปรึกษาเพื่อลดพฤติกรรมเสี่ยงต่อไป"
 
ใหม่ - ดาวิกา โฮร์เน่ Friend of UNICEF (เฟรนด์ ออฟ ยูนิเซฟ) ซึ่งมาร่วมพูดคุยในงานแถลงข่าววันนี้กล่าวว่า "ใหม่ได้มีโอกาสไปเยี่ยมคลินิกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ และรู้สึกประทับใจกับโครงการนี้มาก คือ เราเห็นเลยว่าวัยรุ่นต้องรู้สถานะตัวเอง และต้องเข้าถึงข้อมูลและบริการที่จะช่วยปกป้องพวกเขาและเพื่อนๆ จากเอชไอวีและโรคอื่นๆ ได้ มันสำคัญมากที่บริการแบบนี้ต้องเข้าถึงง่าย เป็นส่วนตัว มีการเก็บข้อมูลเป็นความลับและต้องเป็นมิตรกับวัยรุ่น ใหม่อยากให้น้องๆ วัยรุ่นชายลองเข้าไปในเว็บไซต์ YM2M และลองเข้าไปรับบริการที่คลินิกที่อยู่ในโครงการดู บริการที่นั่นเป็นมิตรมากและถูกออกแบบมาเพื่อวัยรุ่นชาย ซึ่งรวมถึงวัยรุ่นชายมีเพศสัมพันธ์กับชายและสาวประเภทสองโดยเฉพาะเลยค่ะ"
 
เยี่ยมชมเว็บไซต์สถานีสุขภาพวัยรุ่นชาย YM2M ภายใต้การสนับสนุนจากองค์การยูนิเซฟ และ PEPFAR โดยศูนย์ความร่วมมือ-ไทยสหรัฐ ด้านสาธารณสุข ได้ที่  http://ym2m.lovecarestation.com/
 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมอชี้ 'บุหรี่ไฟฟ้า' นิโคตินมากกว่าบุหรี่มวน 180 เท่า แนะอย่าลองจะทำให้ติดทั้งสองอย่าง

Posted: 16 Mar 2018 09:06 PM PDT

ประชุมวิชาการ HA National Forum หมอระบุธุรกิจยาสูบพัฒนาผลิตภัณฑ์ยาสูบไฮบริด หากำไรบนความเสี่ยงด้านสุขภาพ ย้ำบุหรี่ไฟฟ้าอันตรายกว่าบุหรี่มวน มีนิโคตินมากกว่า 180 เท่า ไม่ควรใช้เพื่อเลิกบุหรี่เพราะจะทำให้ติดทั้งสองอย่าง

 
 
17 มี.ค. 2561 ปัจจุบันบุหรี่ไฟฟ้ากำลังแพร่ระบาด ด้วยมีความเชื่อว่ามีอันตรายน้อยกว่าการสูบบุหรี่มวนและเป็นหนทางหนึ่งในการเลิกบุหรี่ แต่ในงานการประชุมวิชาการ HA National Forum ครั้งที่ 19 ระหว่างวันที่ 13 – 16 มี.ค. 2561 ณ อิมแพ็คฟอรั่ม เมืองทองธานี ในวงสนทนาหัวข้อ Change 4 Health: "เปลี่ยน" ด้วยคุณภาพ เพื่อสุขภาพ เปี่ยมคุณธรรม รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒน์ ได้ชี้แจงว่าความเชื่อข้างต้นเป็นเรื่องที่ผิด
 
รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าวว่าขณะนี้ผลิตภัณฑ์ยาสูบมีพัฒนาการไปไกลมากเพื่อหาผลกำไรบนความสุ่มเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ใช้ โดยสามารถแบ่งผลิตภัณฑ์ยาสูบออกเป็น 3 กลุ่มคือ หนึ่ง-บุหรี่ก้นกรอง สอง-บุหรี่ไฟฟ้า และสาม-บุหรี่ไฮบริด
 
"ยาสูบประเภทนี้มีศัพท์เฉพาะว่า Heat not Burn Device" รศ.นพ.สุทัศน์ ขยายความ "บุหรี่แบบเดิมใช้ไฟแช็คจุดที่ปลายมวน บุหรี่ไฟฟ้าไม่ต้องพกไฟแช็ค แค่ชาร์จไฟ แล้วเกิดความร้อนไประเหิดน้ำยาที่อยู่ในอุปกรณ์ออกมาเป็นไอ แต่แบบไฮบริดหมายความว่าสามารถใช้บุหรี่แบบมวนได้ แต่ไม่ต้องซื้อไฟแช็ค แค่ซื้ออุปกรณ์รุ่นใหม่ที่เรียกว่า Heat not Burn Device แล้วเสียบปลั๊กชาร์จอุปกรณ์ แล้วเอามวนบุหรี่ธรรมดาเสียบเข้าไปในฐานของอุปกรณ์นี้ กดสวิชต์ สิ่งที่อุปรกรณ์ทำคือจะใช้ความร้อนประมาณ 350 องศาเซลเซียสให้ความร้อนไปที่มวนบุหรี่จนเกิดไอแบบบุหรี่ไฟฟ้า โดยไม่จุดไฟเผา ปกติถ้าจุดไฟจะเกิดความร้อนประมาณ 800 องศาเซลเซียสที่ปลายมวน แล้วดูดเอาควันที่มีความร้อนสูงเข้าไป
 
"แต่ Heat not Burn Device จะเหลือแค่ 350 องศาเซลเซียส แล้วสูดเอาสารระเหยในใบยาสูบเข้าไปในปอด ได้ทุกอย่างครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างการสูบบุหรี่และการใช้บุหรี่ไฟฟ้า จึงเรียกว่าไฮบริด มวนจะหดสั้นลงเรื่อยๆ มีขี้เถ้านิดหน่อยในอุปกรณ์ ดึงทิ้ง แล้วเอามวนใหม่มาจุด นี่คือลูกครึ่ง"
 
ย้อนกลับมาที่ประเด็นบุหรี่ไฟฟ้า รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้ปลอดภัยดังที่ผู้ผลิตพยายามป้อนข้อมูลด้านเดียว โดยยกตัวอย่างว่าในบุหรี่มวนมีปริมาณนิโคติน 1 มิลลิกรัม แต่น้ำยาที่ใช้เติมบุหรี่ไฟฟ้า 1 ซีซี มีปริมาณนิโคตินสูงถึง 180 มิลลิกรัม สูงกว่าบุหรี่มวนถึง 180 เท่า เขาจึงตั้งคำถามว่า
 
"เมื่อเป็นแบบนี้ การใช้บุหรี่ไฟฟ้าแล้วจะสามารถเลิกบุหรี่ได้หรือไม่ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยพบว่านิโคตินเป็นสารที่ก่อให้เกิดการเสพติดสูงสุดมากกว่าเฮโรอิน ดังนั้น ผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่โดยหันไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ามักลงเอยเป็น Dual User คือสูบทั้งสองอย่างและเลิกไม่ได้เลยสักอย่าง"
 
สอดคล้องกับธามัน เต้พันธ์ อดีตสมาชิกวงดราก้อน ไฟว์ ที่เล่าประสบการณ์ใกล้ตัวว่า เพื่อนของตนที่หวังจะเลิกบุหรี่ด้วยการหันไปใช้บุหรี่ไฟฟ้า ปัจจุบัน 28 คนจาก 30 คนติดทั้งสองอย่าง
 
"ผมว่าบุหรี่ไฟฟ้าน่ากลัว มันเริ่มจากการตลาด บอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย ที่เห็นอยู่คือไอน้ำ ทั้งที่หน่วยงานทางการแพทย์ก็บอกแล้วว่า อะไรที่เผาแล้วมีควันก็มีพิษหมด สองคือมีกลิ่น มีการเติมสาร บางทีอาจมีการใส่แอมเฟตามีนลงไป เพื่อให้เกิดความรู้สึกหวือหวาในการสูบมากยิ่งขึ้น"
 
 อย่างไรก็ตาม ธามันกล่าวด้วยความเข้าใจวัยรุ่นว่า การจะห้ามวัยรุ่นไม่ให้สูบบุหรี่ในยุคนี้ ซึ่งมีความคิดเป็นของตัวเองและชอบทดลองสิ่งใหม่ถือเป็นเรื่องยาก เขาเห็นว่าการที่วัยรุ่นชอบทดลองไม่ใช่เรื่องผิด สิ่งที่สังคมควรทำคือการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง ขณะที่ผู้ใหญ่จะต้องเข้าหาเยาวชนเพื่อทำความเข้าใจและไม่ตีตรา เพื่อดึงเยาวชนเหล่านี้กลับมา
 
ด้านศรสุทธา กลั่นมาลี หรือถั่วแระ เชิญยิ้ม ได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์ของตนว่า
 
"ในอดีตผมเคยสูบบุหรี่ ตอนนี้เลิกมาแล้ว 30 ปี ตอนที่เล่นตลก เป็นบรรยากาศที่ไม่มีใครไม่สูบบุหรี่ สาเหตุที่ติดเพราะเพื่อนฝูงเยอะ ขึ้นรถก็สูบ ก่อนขึ้นเวทีก็สูบ เราอยู่ในสังคมแบบนี้ เราจึงเลิกบุหรี่ได้ยากมาก ตอนแรกก็ไม่คิดว่าเราจะติดบุหรี่ แต่มันมีช่วงหนึ่งของชีวิตที่ทำให้ผมต้องเลิกบุหรี่ ผมเห็นคนอื่นสูบตลอดเวลา ผมถามตัวเองว่าตื่นขึ้นมาเราสูบหรือเปล่า ไม่สูบ กินข้าวเสร็จก็ไม่ต้องสูบ ไปเจอผู้หลักผู้ใหญ่เราก็ไม่กล้าสูบ นี่แสดงว่าเราติดหรือเปล่า เราถามตัวเอง เราก็ไม่ติด ถ้าไม่ติด แล้วทำไมเราไม่เลิก"
 
ช่วงนั้นธุรกิจคาเฟ่เริ่มซบเซาทำให้ศรสุทธาเริ่มห่างจากกลุ่มเพื่อนฝูง เขาจึงสามารถเลิกบุหรี่ได้ง่ายขึ้น จากประสบการณ์ทำให้เขาเรียนรู้ว่า สิ่งแวดล้อมมีผลต่อการสูบหรือเลิกสูบบุหรี่ แต่เขาก็เชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่ใจ
 
"คนที่เลิกบุหรี่จะมีอาการหงุดหงิด น้ำหนักขึ้นหรือไม่ มันอยู่ที่ใจ ถ้าใจอยากเลิก ผมไม่เชื่อว่าอดบุหรี่แล้วจะต้องกินของหวานเพิ่มขึ้น ต้องหาอะไรมาทดแทนบุหรี่ เพราะตัวผมเอง พอตัดแล้วตัดเลย น้ำหนักก็ไม่เพิ่ม แล้วถ้าใครอยากเลิกผมแนะนำให้ไปออกกำลังกาย"
 
ในช่วงท้าย รศ.นพ.สุทัศน์ กล่าวเสริมว่า ปัจจุบัน โรคไม่ติดต่อเรื้อรังกำลังเป็นปัญหาเร่งด่วนในสังคมไทย อันเกิดจากพฤติกรรมเสี่ยง 4 ประการคือการสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องแอลกอฮอล์มากเกินไป การรับประทานอาหารขยะ และการไม่ออกกำลังกาย การละเลิกพฤติกรรมเหล่านี้ได้ย่อมทำให้สุขภาพดีขึ้น
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น