โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ตัวแจกทั้งคู่ ‘ธนาธร-บก.ลายจุด’ ลุยดันป้อม RoV ตบท้ายนั่งคุยเรื่อง ศก.ดิจิทัล

Posted: 18 Mar 2018 03:16 PM PDT

มันแกวหลังแทบหักแบก 'ทีมเกรียน' สองเกมส์ในศึก RoV ดวลเฉพาะกิจ บก.ลายจุด ปะทะ เอกทีเจ 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' ต่างฝ่ายต่างคุยข่ม ธนาธรลั่นจะตีให้ครบ 25 ป้อม ลายจุดบอก 25 ป้อมก็ 25 กรรม สุดท้ายรู้ผลแพ้ชนะแล้วชวนกันคุยความฝันเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล

ถึงเวลาเผชิญหน้ากันเสียทีสำหรับศึกท้าดวล E-Sport RoV รอบพิเศษ ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หนึ่งในผู้ร่วมจดทะเบียนพรรคอนาคตใหม่ กับ บก.ลายจุด หรือสมบัติ บุญงามอนงค์ ผู้ที่มีความคิดจดทะเบียนพรรคเกรียน

ชวนตีป้อม 'ธนาธร ปิยบุตร' ท้า บก.ลายจุด ดวล RoV

ล่าสุดวันที่ 18 มีนาคม 2561 เวลา 20.00 เฟซบุ๊คแฟนเพจ Echo ได้ถ่ายทอดสอบการแข่งขันระหว่างทีมธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งตั้งชื่อทีมในการแข่งขันครั้งนี้ว่า "ทีมงูพิษ" กับทีม บก.ลายจุด ที่ใช้ชื่อว่า "ทีมเกรียน" โดยมีทีมพากษ์สุดมันส์อย่าง จิ๊บ ปกฉัตร, วินซี่ มาวิน มาแวะ และฮิวโก้ นักพากษ์ในเวทีการแข่งขันใหญ่ระดับประเทศมาร่วมสร้างสีสรร และสร้างความสนุกให้กับผู้ชมการแข่งขันด้วย

วินซี่ มาวิน มาแวะ,จิ๊บ ปกฉัตร และฮิวโก้

เช็คขุนพล: มันแกวคือความหวังของทีมเกรียน ส่วนธนาธรรับเป็นแค่มือสมัครเล่น แต่พา "งูพิษแห่งวงการไอที" มาด้วย

บก.ลายจุดและเพื่อนร่วมทีมเกรียน

ก่อนเริ่มต้นการแข่งขันเมื่อเช็คชื่อขุนพลทั้งสองทีมพบว่า ทีมเกรียนเป็นต่ออยู่พอสมควรเพราะได้ขุนพลเจ้าของฉายา "นมคุณธรรม" อย่าง มันแกว รุ่งตะวัน ชัยหา ที่ว่าเป็นต่อนั้นไม่ได้เกี่ยวกับความเซ็กซี่ของเธอแต่อย่างใด แต่มาจากฝีมือของเธอมากกว่า ว่ากันว่ามันแกวเล่น RoV มานานแล้ว และเธอได้รับการจัดอันดับอยู่ในระดับ Conqueror ซึ่งถือเป็นอันดับที่สูงที่สุดใน RoV ส่วนผู้ร่วมทีมอีกสามคนประกอบด้วย หนึ่งสาวที่เดินทางมาจากเชียงรายเป็นอดีตคุณครูที่ตั้งใจจะมาสอนเด็กเล่นเกมส์ และสองหนุ่ม คนหนึ่งประกาศตัวเป็นโอตาคุ ที่โอชิ น้องปัญ BNK48 ขณะที่อีกหนึ่งหนุ่มประกาศตัวเป็นพังพอนแห่งวงการเกมส์เมอร์ที่จะมาปราบงูพิษแห่งวงการไอที

ธนาธรและเพื่อนร่วมทีมงูพิษ

ในขณะที่ทีมงูพิษของธนาธร และพ้องเพื่อน ได้ดาวเด่นอย่าง ท็อปฟี่เป็นตุ๊ดซ่อมคอม หรือ จักรพงศ์ พุ่มไพจิตร เจ้าของฉายา งูพิษแห่งวงการไอที เข้าร่วมศึกครั้งนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่รู้กันดีคนเก่ง IT ใช่ว่าจะเล่นเกมส์เก่งเสมอไป นอกจากนี้ผู้ร่วมทีมที่เหลือประกอบด้วย เท่าพิภพ หนุ่มนักปรุงเบียร์ และสองนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมจัดทะเบียนพรรคอนาคตใหม่ด้วยเช่นกัน

ก่อนเริ่มการแข่งขัน บก.ลายจุด ทิ้งท้ายไว้ด้วยว่า "ถ้าแพ้อย่าเสียใจนะเอก(ชื่อเล่นของธนาธร)" ด้านธนาธรดูท่าจะไม่ยอมง่ายๆ ตอบกลับไปว่า "ผมจะตีป้อมบก.ให้ครบ 25 ป้อม" ฟังดูเหมือนคนคุยโว เพราะเกมส์หนึ่งมีป้อมให้ตีแค่ 10 ป้อม แต่ก็มีโอกาสเป็นไปได้ถ้าแข่งกันครบ 3 เกมส์ ก็มีโอกาสที่ทีมงูพิษจะตีป้อมได้ครบ 25 เรือน เอ้ย 25 ป้อม ได้ตามคำคุย

ชมการเเข่งขันได้ที่เพจ Echo 

ผลการการแข่งขัน: มันแกวแบกทีมเกรียนเกือบหลังหัก สุดท้ายเอาชนะ 2 แมทช์รวด ธนาธรยังกล้าถาม "สถิติผมกับ บก. ใครดีกว่า"

ผลการแข่งขันรอบแรก

สำหรับผลการแข่งขันในรอบแรกเป็นทีมเกรียนที่ได้รับชัยชนะไป โดยผู้เล่นที่ได้รับ MVP หรือผู้เล่นยอดเยี่ยมในรอบนี้คือ "นมสะท้านพิภพ" หรือมันแกว รุ่งตะวันนั่นเอง แม้เธอจะสังหารฝ่ายตรงข้ามไปเพียงคนเดียว แต่เธอได้ช่วยทีมสังหารฝ่ายตรงข้ามไปถึง 15 ครั้ง ในขณะที่ตัวเธอเองไม่ถูกสังหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว เรียกได้ว่า สะท้านพิภพกันเลยทีเดียว โดยตัวละคร

ส่วนหัวหน้าทีมอย่าง บก.ลายจุด เริ่มเกมส์มาได้ประมาณ 1-2 นาที ก็ถูกทางงูพิษแห่งวงการไอทีเก็บ Kill ไปได้อย่างง่ายดาย เรียกว่าจองศาลาวัดกันแทบไม่ทัน แต่โชคดีที่ผู้ร่วมทีมช่วยกันจนที่สุดเอาชนะไปได้ หากประเมินจากการเล่นของ บก.ลายจุดแล้วเรียกได้ว่าไม่เลวร้ายไปนักสำหรับคนเริ่มเล่นได้เพียง 2 สัปดาห์ แต่ก็พูดกันตามความจริงว่า บก. ยังเป็นตัวแจกอยู่ สิริรวมแล้ว ฆ่าไป 1 ตายไป 5 ช่วยเพื่อน 5

ข้ามมาที่ฝั่งผู้พ่ายแพ้ ในช่วงต้นเกมส์ดูเหมือนจะเริ่มต้นได้ดีจากการตัวรอดจากแผนบุกเข้าป่าฝ่ายตรงข้ามของทีมเกรียน มิหนำซ้ำงูพิษแห่งวงการไอทียังเปิดเกมส์ด้วยการสังหาร บก.ลายจุด กลายเป็นศพนอนเฝ้าป้อมไปคนแรก แต่ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะตื่นเต้นกับศึกแรกเกินไปหรือเปล่า คำโบราณท่านบอกสงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร สุดท้ายจังหวะเข้าตี วิ่งหนีติดๆ ขัดๆ แถมมีช็อตหนึ่ง พี่เอกทีเจของเราถูกขุนพลทีมเกรียนวิ่งเข้าไปกระชากตายคาป้อมของตัวเองอีก แม่ทัพโดนล้วง ลูกทีมคงเสียขวัญกำลังใจสุดท้ายแพ้ไปด้วยสกอร์ 13 ต่อ 21 ส่วนสถิติการเล่นของธนาธรคือ ฆ่าไป 1 ตายไป 5 ช่วยเพื่อน 4

ผลการแข่งขันรอบที่สอง

ส่วนผลการแข่งขันรอบที่สองเป็นทีมเกรียนเอาชนะไปได้อีกเช่นเคย แม้ว่าในรอบนี้ช่วง 5 นาทีแรกจะเป็นทางฝั่งงูพิษทำเกมส์ได้ดีตามล่า บก.ลายจุดให้กลายเป็น "ศพแรกผ่านไป ศพสอง ศพสามค่อยๆ ผ่านไป" แต่สุดท้ายเกมส์กลับมาพลิกในช่วง 5 นาทีหลัง ลูกทีมกลับมารวมพลังสร้างชัยชนะได้โดยทิ้ง บก.ลายจุดให้เดินเล่นอยู่ในเกมส์ สกอร์จบลงที่ 15 ต่อ 22 สถิติของพี่เอกทีเจคือ ฆ่าไป 2 ตายไป 4 ช่วยเพื่อน 2 ขณะที่บก.ลายจุดดำเนินแนวทางสันติวิธี ไม่ฆ่าใครเลย (หรือฆ่าไม่ได้กันแน่) ตายไป 5 และช่วยเพื่อนฆ่า 2

แม้การแข่งขันครั้งนี้จะไม่ได้เห็นลูกเล่นเทคนิคที่แพรวพราวเทียบเท่าเกมส์เมอร์มืออาชีพเขาเล่นกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องยกให้เป็นที่หนึ่งคือความฮา เพราะถึงจะพ่ายแพ้แต่ธนาธรยังคุยข่มอีกว่า ผมแบกทั้งทีม (โถ่พี่เอกคร้าบบบบบ ปีนเขา พายเรือ เดินป่าพี่ก็ผ่านหมดแล้ว มาเสียท่าเพราะ RoV แท้ๆ) ส่วนบก.ลายจุดหลังจากได้รับชัยชนะ ก็พูดออกมาว่า ยังงงอยู่ว่าชนะได้ไงเพราะตายเยอะ

รู้แพ้รู้ชนะ แต่รู้ไหมทำไมถึงชวนมาเล่นเกมส์ ธนาธรคุยความฝันเตรียมรับยุคเศรษฐกิจดิจิทัล

หลังจากทราบผลการแข่งขันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ดีๆ รายการนี้ก็เข้าสู่ช่วงสาระเข้มข้นซะงั้น หัวหน้าทีมของทั้งสองฝ่ายร่วมกันพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องของการเล่นเกมส์ เริ่มต้นจากคำถามง่ายๆ ของบก.ลายจุดว่า ทำไมอยู่ดีๆ ธนาธรถึงมาชวนเล่นเกมส์

ธนาธร เล่าว่า การเติบโตของอุตสาหกรรมเกมส์สมัยใหม่เป็นการเติบโตที่มีพลังมหาศาลมากกับเรื่องเศรษฐกิจ แต่ผู้ใหญ่หลายคนในประเทศไทยยังไม่เห็นถึงศักยภาพที่แท้จริง นี่มันเป็นเรื่องเศรษฐกิจชัดๆ เรื่องเกมส์เป็นความบันเทิงของคนเล่นก็จริง แต่ถ้ามีการวางกลยุทธ์ของประเทศดีๆ เรื่องเกมส์จะสามารถสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้อีกมหาศาล

ด้านบก.ลายจุด ได้ชี้ให้เห็นถึงทัศนะของคนรุ่นหนึ่งมักจะมักว่า การเล่นเกมส์มันเป็นการทำให้เด็กเสียเวลา ไม่เกิดผลิต ไม่ได้ส่งผลให้เกิดอะไรที่ดีขึ้น สมองก็ดูจะซ้ำวันๆ ไม่ได้ทำอะไร คนรุ่นหนึ่งมองว่าการเล่นเกมส์เป็นเรื่องของการสูญเสีย

ขณะที่ธนาธร ชวนคิดต่อไปว่า หากมองไปในอนาคต สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น และหากประเทศไทยยังไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจพื้นฐาน สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ คนงาน ของประเทศไทยจะตกงาน และกลายเป็นทาสของเทคโนโลยี แต่มีอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้เราเป็นเจ้านายของเทคโนโลยีได้ ยกตัวอย่างเบื้องต้นเช่น ในอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เมื่อประมาณ 17 ปีก่อน หุ่นยนต์มีราคาตัวละประมาณ 1 ล้านกว่าบาท มาถึงวันนี้หุ่นยนต์มีราคาอยู่ที่ประมาณ 7-8 แสน ส่วนค่าแรงของคนงาน 1 คน ปีหนึ่งอาจจะประมาณ 3 แสนบาท นั่นหมายความว่าหากหุ่นยนต์หนึ่งตัวราคารวมค่าติดตั้งเบ็ดเสร็จประมาณ 9 แสนบาท และถ้าหุ่นยนต์ 1 ตัวทดแทนแรงงานคนได้ 2 คน และผลตอบแทนจะการลงทุนจะได้แค่ปีกว่า หรือสองปีเท่านั้น สิ่งที่บริษัทผมทำก็คือหากหุ่นยนต์ 1 ตัวทดแทนคนได้ 2 คน เราจะลงทุน ซึ่งนี้คือทิศทางในอนคตาที่กำลังจะเป็นไป ไม่ใช่เฉพาะบริษัทผม แต่ทุกบริษัท

ด้าน บก.ลายจุด ถามต่อว่า หากการที่เอาหุ่นยนต์มาใช้แล้วทำให้คนตกงาน จะอธิบายอย่างไรในแง่การพัฒนาว่า จะพัฒนาไปเพื่อให้คนมีงานทำ หรือพัฒนาไปเพื่อให้หุ่นยนต์มีงานทำ

ธนาธรตอบว่า มันเป็นทิศทางที่หนีไม่พ้น เพราะในบริษัทเท่าไปต้องแข่งขัน และถ้าหากหุ่นยนต์ทำให้คุณมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูงกว่า การที่คุณไปเลือกใช้แรงงานคนต่อไปคุณจะแข่งขันไม่ได้ และบริษัทคุณก็จะเจ๋ง สุดท้ายคนงานก็จะตกงานอยู่ดี ปัญหาก็คือถ้าเราอยากจะเป็นเจ้านายของเทคโนโลยีเราจะเป็นได้อย่างไร อุตสาหกรรมเกมส์เป็นพื้นฐานสำคัญมากในการร้างอุตสาหกรรมใหม่ในอนาคต เพราะเกมส์เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กเข้าถึงเทคโนโลยีที่สำคัญมาก และหากเราสร้างอุตสาหกรรมเกมส์ดีๆ สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือตลาด เมื่อมีตลาด เมื่อมีความต้องการเกิด ระบบนิเวศที่รอบล้อมเศรษฐกิจเกมส์ทั้งหมดก็จะเกิดขึ้นตามด้วย ดังนั้นถ้ามีดีมานด์ดึงระบบนิเวศ ดึงความต้องการสมัยใหม่ขึ้นไป ก็จะเกิดซับพลายเช่น คนเขียนเกมส์ คนสร้างปัญญาประดิษฐ์ คนสร้าง virtual reality ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจจะไม่เกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว แต่มันเป็นการสร้างพื้นฐานรองรับคือการทำให้เด็กคุ้นเคยกับการใช้เทคโนโลยี

ธนาธร กล่าวต่อไปว่า Big Idea สำหรับโลกในวันข้างหน้าที่เราจะต้องอยู่คือ เรื่องปัญญาประดิษฐ์ คือเรื่องความจริงเสมือน คือเรื่องการสร้างโลกความจริงใหม่ นี่คือเทคโนโลยีที่คนรุ่นใหม่จะต้องอยู่กับมัน วิธีที่จะทำให้เราสามารถลดผลกระทบจากการแปรเปลี่ยนไปใช้หุ่นยนต์ในการผลิตในอุตสาหกรรม คือการสร้างเศรษฐกิจใหม่ขึ้นมารองรับ ให้เตรียมเด็กที่มีความสามารถเป็นเจ้านายเทคโนโลยีเป็นคนเขียนโปรแกรม เป็นคนสั่งงานหุ่นยนต์ และถ้าเราไม่เริ่มสร้างตั้งแต่วันนี้เราจะไม่มีคนในอนาคต

ด้านบก.ลายจุด ถามต่อว่า เด็กที่เล่นเกมส์จะสามารถไปถึงการที่จะไปสร้างซอปต์แวร์ สร้างหุ่นยนต์ สร้างเอไอได้อย่างไร

ธนาธรตอบว่า สิ่งที่ผมพูดถึงคือเราไม่ได้ตอบตรงขนานนั้น แต่เรากำลังผู้ถึงการสร้างความต้องการ และเมื่อมีความต้องการเราจะสามารถสร้างซับพลายในท้องถิ่นได้ ไม่จำเป็นต้องพึ่งซับพลายจากโลก วันนี้ซับพลายไม่ว่าจะเป็นเกมส์ หรือเอไอ เกิดจากตลาดต่างประเทศทั้งหมด แต่ถ้าเราสร้างอุตสาหกรรมเกมส์ที่มีขนาดใหญ่พอในประเทศได้ เราก็จะสามารถทพให้อุตสาหกรรมนั้นสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศไทยได้

บก.ลายจุดถามต่อว่า เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมเกมส์ย่อมหมายถึงตลาดที่ใหญ่ การที่จะสร้างเด็กไทยให้ไปสู่ตลาดโลกที่เขาเริ่มต้นทำกันมานานแล้วจะสามารถทำได้อย่างไร

ธนาธร ตอบว่า หากพูดในแง่การของการแข่งขันเล่นเกมส์มีคนไทยไปแข่งแล้วในระดับโลก และสามารถได้รับชัยชนะได้เงินรางวัลเป็นล้านบาท กลับมาที่คำถามหากเรามีความต้องการมากพอมันจะดึงดูดให้คนไทยสามารถผลิต อาจจะเป็นเกมส์ หรือระบบนิเวศที่ล้อมรอบมันทั้งหมด ถ้าเราทำได้สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เราจะมีความสามารถในการเข้าไปผลิตสิ่งต่างๆ ที่เรียกว่าเป็น โลกใหม่ ซึ่งทำได้ เพราะเด็กไทยสมัยนี้เก่งมาก สิ่งที่เราเห็นกันในภาคอุตสาหกรรม เช่นการโปรแกรมหุ่นยนต์สมัยก่อนคนที่จะมาทำตรงนี้ได้หายากมาก แต่เดี๋ยวนี้เด็กบ้านเราเรียนจบอาชีวะก็สามารถทำได้ แค่ให้เวลาเรียนรู้และทำงานจริงกับเขาสามารถทำได้  ถ้าเรามีตลาด ถ้าเรามีอะไรให้เขาลองทำ เริ่มทำ มันเกิดขึ้นได้

ขุดสารจากท่านผู้นำถึงเหล่าเกมเมอร์ "ชนะในเกมก็อย่าลืมชนะในชีวิตจริงด้วย"

ก่อนจะจบการรายงานผลการแข่งขัน ROV นัดพิเศษ พร้อมกับการแลกเปลี่ยนเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจดิจิทัล ระหว่างธนาธร กับบก.ลายจุด สิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับกับข้อเท็จจริงก็คือทั้งสองคนนี้ไม่ได้เป็นคนแรกที่พูดเรื่องของเกมส์ ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ไม่ไดพูดคนแรกเช่นกัน แต่ว่าเขาพูดมาก่อนเกือบ 4 ปี

โดยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2558 ประยุทธ์ ได้เป็นประธานกล่าวเปิดงาน THAILAND GAME SHOW BIG FESTIVAL 2015 ผ่านวิดีโอคลิป ความยาวประมาณ 1 นาทีเศษ ถอดความเป็นตัวอักษรให้อ่าน และท่องจำให้ขึ้นใจได้ดังนี้

"สวัสดีลูกหลาน เยาวชนไทยที่รักทุกคนนะครับ ปัจจุบันเกมส์คอมพิวเตอร์นั้นถือเป็นสิ่งหนึ่งที่มีอิทธพลต่อเยาวชน คงไม่ใช่แค่เยาวชนไทย แต่รวมถึงเยาวชนทั่วทั้งโลก ผมอยากให้ข้อคิดกับเยาวชนที่มาในวันนี้ว่า หากเราชนะในเกมส์ก็อย่าลืมชนะในชีวิตจริงด้วย เยาวชนมีหน้าที่หลักคือการเรียนหนังสือ เรียนรู้ในการดำรงชีวิตต่อไป พ่อแม่ของพวกเรานั้นทุ่มเททำงานหนัก เพื่อส่งเสียพวกเราให้ได้รับการศึกษาให้มีความรู้ ดังนั้นทุกคนต้องตั้งใจเล่าเรียนให้คุ้มค่ากับการเสียสละของพ่อแม่

ผมอยากให้เยาวชนของชาติได้ใช้จินตนาการในทางสร้างสรรค์ ใช้เกมส์ใช้เทคโนโลยีให้ถูกทางรู้จักเวลา และมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตนเอง คิดอยู่เสมอว่าการเติบโต และการมีพัฒนาการที่สมวัยของทุกคนนั้นจะส่งผลต่ออนาคตของตัวเอง  และประเทศชาติผมของให้ทุกคนมีความสุข สนุกกันเต็มที่กับความฝัน และจินตนาการ แต่ก็อย่าลืมว่าความฝันกับความเป็นจริงนั้นมันคนละเรื่องกันนะครับ ก็อยากให้เก็บความสนุกตรงนี้ไปแรงผลักดัน ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ในไปสู่นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสังคม และการพัฒนาทางเศรษฐกิจดิจิทัลของชาติต่อไป"

หมายเหตุ: ภาพประกอบทั้งหมด(ยกเว้นภาพพลเอกประยุทธ์)ได้มาจากการถ่ายทอดสดการแข่งขันของเพจ Echo

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย อ่านแถลงการณ์ เผาพริกเผาเกลือค้าน EIA ไม่เป็นธรรม

Posted: 18 Mar 2018 10:13 AM PDT

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายค้านโรงงานน้ำตาล-โรงไฟฟ้าชีวมวล เผาพริกเผาเกลือสาปแช่งกระบวนการพิจารณา EIA สร้างโรงน้ำตาล-โรงไฟฟ้าชีวมวล ชี้ขาดการมีส่วนร่วมจากประชาชนที่อาจจะได้รับผลกระทบ

เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2561 เวลา 09.00 น. ที่ศูนย์อนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายประมาณ 50 คนได้ร่วมกันทำพิธีเผาพริกเผาเกลือ และหุนฟางสาปแช่ง กระบวนการจัดทำรายงานผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมที่ไม่เป็นธรรม ในกรณีขออนุญาตสร้างโรงงานน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวลในพื้นที่ บ้านน้ำปลีก อ.เมืองอำนาจเจริญ จ.อำนาจเจริญ โดยประวิทย์ วิทยาศิลป์ เป็นตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย มีรายละเอียดดังนี้

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ต.เชียงเพ็ง จัดตั้งขึ้นโดยชาวบ้านในพื้นที่ ต.เชียงเพ็ง อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ที่มีจิตสำนึกเดียวกัน ที่มีความหวงแหนในทรัพยากรธรรมชาติในถิ่นฐานบ้านเกิดของตัวเอง ที่คนในพื้นที่ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ในอดีต มีวิถีชีวิตที่ผูกพันกับทรัพยากรธรรมชาติทั้งการทําเกษตรกรรมแบบอินทรีย์ การทำประมงจากลำน้ำเซบาย การเก็บหาของป่าจากป่าชุมชนดอนมะหรี่ โดยชุมชนต่างช่วยปกป้องและรักษาเพื่ สืบทอดให้ลูกหลานได้ใช้ต่อไปในอนาคต แต่กับมีสิ่งที่สร้างความกังวลใจให้กับพี่น้องใน ต.เชียงเพ็ง จากการได้รับข่าวสารว่าจะมีโรงงานอุตสาหกรรมมาตั้งในพื้นที่ ที่ชาวบ้านอาจจะได้รับผลกระทบ

ทหาร ตำรวจ กันกลุ่มค้านโรงงานน้ำตาล-โรงไฟฟ้าชีวมวล ร่วมเวทีรับฟังความเห็น อ้างที่ไม่พอ

เครือข่ายอนุรักษ์ลำเซบาย อำนาจเจริญ-ยโสธร ประกาศไม่ร่วมเวทีฟังความเห็นโรงงานน้ำตาล

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย ส่งจดหมายร้องเรียนโรงงานน้ำตาล-โรงไฟฟ้าใกล้แหล่งน้ำ ถึง สผ.

โครงการจัดตั้งโรงงานน้ำตาลขนาด 20,000 ตันอ้อย/วัน และโรงไฟฟ้าชีวมวล ขนาด 61 เมกะวัตต์ ที่จะสร้างในพื้นที่บ้านน้ําปลีก ต.น้ำปลึก อ.เมืองอํานาจเจริญ จ.อํานาจเจริญ ได้สร้างความกังวลใจให้กับชาวบ้านในหลายๆ ข้อ แต่ไม่เคยอธิบายถึงข้อเสียถึงและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต ที่จะเกิดต่อชุมชนของตนเอง และทรัพยากรธรรมชาติที่ชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์กําลังจะถูกแย่งชิงไป จึงเกิดเป็นการรวมตัว ของกลุ่มอนุรักษ์ลําน้ําเขบาย ต.เชียงเพ็ง เพื่อยืนหยัดคัดค้านการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ในพื้นที่มาโดยตลอด ตั้งแต่เวทีรับฟังความคิดเห็น ครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ทางกลุ่มอนุรักษ์ลําน้ำเซบาย ได้มีส่วนในการนําเสนอข้อมูลที่เป็นข้อมูลสําคัญในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิต การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ความ กังวลที่เกิดขึ้นหากทางบริษัทจะสร้างโรงงานในพื้นที่จริง ในการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบ สิ่งแวดล้อม (EIA) ต่อคณะกรรมการผู้ชํานาญการพิเศษ (คชก.) เพื่อให้ทางผู้พิจารณาได้ทราบถึงข้อมูลในพื้นที่อย่างแท้จริง ทั้งในการพิจารณา EIA ของทางโรงงานน้ําตาลและโรงไฟฟ้ามาโดยตลอด

แต่ในกระบวนการพิจารณารายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโรงงานน้ําตาลขนาด 20000 ตันอ้อย/วัน ในครั้งที่ 3 ที่ผ่านมา ที่ทาง คชก. มีมติให้ผ่านนั้น ทางกลุ่มอนุรักษ์ลําน้ําเซบาย ไม่ได้รับการติดต่อให้เข้าไปชี้แจงเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา  และไม่ได้รับกระทั่งการให้ข่าวสารต่อคนในพื้นที่ว่ามีผลการพิจารณาเป็นอย่างไร ซึ่งเป็นการกระทําที่มองข้ามภาคประชาชนที่มีความกังวลในพื้นที่อย่างไม่สมควร

กลุ่มอนุรักษ์ลุ่มน้ำลำเซบาย จ.ยโสธร ยื่นหนังสือค้านโรงงานน้ำตาล+โรงไฟฟ้าชีวมวล

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบาย รณรงค์ปกป้องทรัพยากรชุมชน ค้านโรงงานน้ำตาล-โรงไฟฟ้าชีวมวล

กลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายยื่นหนังสือค้านโรงงานน้ำตาล ต่อ รมช.กระทรวงเกษตรฯ

 

จากการกระทำนี้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า EIA ฉบับนี้ที่ผ่านการพิจารณาไปแล้วนั้น เป็น EIA ที่ไม่ชอบธรรม ไม่มีการร่วมตัดสินใจจากภาคประชาชน เป็นกรกระทำที่ไม่เคารพศักดิ์ศรีขงคนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงงาน และไม่เห็นค่าเสียงของประชาชน ทากลุ่มอนุรักษ์ลำน้ำเซบายจึงไม่เห็นด้วยกับการพิจารณา EIA ครั้งนี้ และถึงแม้บริษัทจะมีช่องทางในการเอารัดเอาเปรียบชาวบ้านมากน้อยแค่ไหน ทางกลุ่มอนุรักษ์จะคงยืนหยัดในเจตนารมณ์ของกลุ่มเหมือนเดิม คือคัดค้านโรงงานน้ำตาล และโรงไฟฟ้าชีวมวลต่อไป

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รัฐ-เอกชน-ประชาสังคม ตั้งสหภาพลูกเรือไทย-ข้ามชาติ ปูทางสู่สหภาพแรงงานลูกเรือ

Posted: 18 Mar 2018 09:29 AM PDT

ตัวแทนรัฐ ประชาสังคม สมาคมประมง เปิดสหภาพลูกเรือไทย ข้ามชาติ มุ่งสร้างการมีส่วนร่วม ช่วยเหลือ เยียวยาแรงงาน ปูทางจัดตั้งสหภาพแรงงานประมง ซีพีเอฟจับมือเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน สร้างสายด่วนฮอทไลน์ให้แรงงานไทย ข้ามชาติซีพีเอฟติดต่อ ร้องเรียน เปิดพื้นที่มีส่วนร่วมของแรงงาน

ภาพหมู่ของตัวแทนภาครัฐ ประชาสังคม เอกชน รวมทั้งแรงงานที่ร่วมการแถลงข่าว

18 มี.ค. 2561 ที่สำนักงานมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN) จ.สมุทรสาคร มีการแถลงข่าว เปิดตัวแนวทางการจัดตั้งชมรม/กลุ่ม กลุ่มสหภาพลูกเรือประมงไทยและข้ามชาติ และสายด่วน Labour Voices

เวทีแถลงข่าวประกอบด้วยสมพงษ์ สระแก้ว ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการมูลนิธิ LPN ผศ.ธนพร ศรียากูล คณะทำงานรองนายกรัฐมนตรี พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ เพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน มงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย และคณะ สมัคร ทัพธานี ตัวแทนจากเครือข่ายทางสังคมแรงงานข้ามชาติชาวเมียนมาร์ในประเทศไทย (Myanmar Migrants Network to Promote Rights in Thailand - MMT)  และคณะ วิชาญ อิงศรีสว่าง ผู้ตรวจการกรมประมง และ ผศ.นฤมล ทับจุมพล ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยการย้ายถิ่นแห่งเอเชีย สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานแถลงข่าวได้รับความสนใจจากแรงงานไทยและเมียนมาร์จำนวนกว่า 50 คน รวมทั้งสื่อมวลชนหลายสำนัก

(กลาง) สมพงษ์ ร่วมกับตัวแทนจาก MMT และซีพีเอฟ ในการแถลงข่าวการจัดตั้งสหภาพและ Labour Voices

เอกสารแถลงข่าวระบุว่า กลุ่มสหภาพลูกเรือประมงไทยและข้ามชาติมีวัตถุประสงค์ดังนี้

  1. ให้แรงงานลูกเรือประมงไทย ข้ามชาติ ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม ได้รับการช่วยเหลือด้านกฎหมายและคดีความ และการคุ้มครองสวัสดิภาพ ได้รับการบริการที่ดีจากรัฐในการเยียวยา ฟื้นฟูด้านร่างกายและจิตใจ ตลอดจนการส่งเสริมการมีงานทำ
  2. เพื่อสร้างกระบวนการมีส่วนร่วม เสริมสร้างศักยภาพของกลุ่มลูกเรือประมงให้มีความเข้มแข็ง สามารถพึ่งตนเองได้ และสื่อสารสู่สาธารณะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี
  3. เพื่อสามารถจัดตั้ง "สหภาพแรงงานลูกเรือประมง" ในอนาคต หรือจัดตั้งเป็น "สมาคมลูกเรือประมงไทย" และรวมถึงการรณรงค์เชิงนโยบายต่อรัฐในการบริหารจัดการทีดี การปกป้องคุ้มครองที่ดีต่อลูกเรือประมงในและนอกน่านน้ำไทย

นอกจากนั้นยังมีการแถลงว่า ซีพีเอฟร่วมมือกับ LPN เพื่อส่งเสริมให้แรงงานใช้ประโยชน์จาก Labour Voices by LPN ซึ่งเป็นบริการฮอทไลน์เพื่อให้แรงงานทั้งไทยและต่างชาติของซีพีเอฟ ได้ร้องเรียนเรื่องความเสี่ยงด้านแรงงานหรือแสดงความคิดเห็นทั้งทางบวกและลบ  โดย LPN จะเป็นคนกลางในการรับฟังความเห็น ข้อเสนอแนะและข้อร้องเรียนจากพนักงานซีพีเอฟ

ช่องทางติดต่อ Labour Voices by LPN ของพนักงานซีพีเอฟ สามารถติดต่อได้ดังนี้: สำนักงาน (034 434 726, 086 163 1390, 084 121 1609) คนไทย (092 321 1516, 093 657 2130) คนพม่า (099 146 6960, 095 774 8689) คนกัมพูชา (087 742 8213, 095 768 8689) โดยได้เริ่มให้บริการตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2560 แล้ว

สมพงษ์กล่าวว่า Labour Voices เป็นพื้นที่เปิดให้พนักงานระดับแรงงานของซีพีเอฟทั้งไทยและต่างชาติ สะดวกใจและเปิดใจพูดคุยกับคนที่พูดภาษาเดียวกัน ขณะที่เป็นอิสระจากบริษัทที่เป็นนายจ้าง ผู้บังคับบัญชา และเรื่องที่งานพูดทั้งหมดจะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการทำงาน นอกจากนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ซีพีเอฟได้ส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป (อียู) หนึ่งในลูกค้าคือเครือเทสโก้ ซึ่งมีข้อบังคับให้บริษัทร่วมมือกับภาคประชาสังคมในเรื่องสวัสดิภาพของแรงงาน

เวทีแถลงข่าวที่สอง (ซ้ายไปขวา) ธนพร ศรียากูล นฤมล ทับจุมพล เพชรรัตน์ สินอวย สมพงษ์ สระแก้ว มงคล สุขเจริญคณา ศราวุธ โถวสกุล

ธนพรกล่าวว่า แต่เดิมทิศทางการแก้ไขปัญหาประมง ตั้งแต่ได้รับใบเหลืองจากอียู ปี 2558 มุ่งเน้นไปที่การบังคับใช้กฎหมาย ดูแล คุ้มครองแรงงาน เพราะถือเป็นความจำเป็นเร่งด่วน เมื่อผ่านไป 2-3 ปี ระบบที่ภาครัฐ เอกชน ประชาสังคมดูแลเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น รัฐบาลขณะนี้จึงส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมด้านแรงงานสัมพันธ์ คือส่งเสริมการรวมตัวกัน ให้มีองค์กร รูปแบบการทำงานร่วมกัน โดยรัฐไม่ยุ่งเกี่ยว รัฐเชื่อมั่นว่าไม่มีใครเข้าใจปัญหาพี่น้องแรงงานได้ดีกว่าองค์กรของพี่น้องแรงงานเอง

นฤมลกล่าวว่า การจัดตั้งเครือข่ายแรงงานประมงทะเลที่มีส่วนร่วมทั้งรัฐ เอกชน ประชาสังคมและแรงงานถือเป็นนิมิตรหมายอันดี การรวมกันวันนี้มีเรื่อง IUU แต่ก็ไม่ใช่ว่ารวมตัวกันเพียงเพราะเรื่องนี้ การรวมตัวกันครั้งนี้มาเพราะว่ามองเห็นแนวทางการทำงานในรูปแบบใหม่ และไม่ใช่หน้าที่ของกลุ่มสหภาพฯ ที่ต้องไปพูดตอบทางอียู แต่การรวมตัวของสหภาพจะเปนหนึ่งปัจจัยที่จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ส่วนการแก้ปัญหาระยะยาวต้องเป็นหน้าที่ของภาคีต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นมา ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) และศูนย์ควบคุมการแจ้งเรือเข้า - ออก (PIPO) ทั้งนี้อย่าคิดว่าสหภาพลูกเรือเท่ากับ LPN หรือ เอ็นจีโอ เพราะถ้าทุกอย่างต้องฝากไว้ที่องค์กรพัฒนาเอกชนก็จะไม่ตอบเรื่องโจทย์ความยั่งยืน

นฤมลกล่าวอีกว่า วันนี้ต่างประเทศให้ความสำคัญกับการที่ผู้บริโภคสามารถเรียกร้องมาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ผลิต สมัยก่อนคนอาจจะซื้อสินค้าโดยพิจารณาราคา แต่ตอนนี้ทัศนคติขยับไปเป็นเรื่องความสะอาด ความยั่งยืน คุณภาพชีวิตของแรงงานจากการผลิตสินค้าต่างๆ เลยกลายเป็นข้อเรียกร้องมายังผู้ประกอบการ

เพชรรัตน์กล่าวว่า วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ชัดเจนในทางปฏิบัติ การจัดตั้งสหภาพฯ จะช่วยขับเคลื่อนให้มีการรวมตัว รวมกลุ่มให้มีความเข้มแข็ง ทางภาครัฐไม่ต้องการใช้มาตรการปราบปราม ไม่อยากเสียเงินไปจับกุม คุมขัง ดำเนินคดี หาเงินเข้าหลวงเยอะๆ แต่ต้องการส่งเสริมให้แต่ละภาคส่วนรู้ถึงสิทธิและหน้าที่ วันนี้เจตจำนงดังกล่าวเริ่มต้นที่ลูกเรือไทยและข้ามชาติ จากนั้นจึงขยายไปยังภาคส่วนอื่น ไม่ให้ไทยมีเรื่องการค้ามนุษย์อีกต่อไป ทั้งนี้ภาครัฐไม่ได้เป็นคนทำให้เกิดการรวมตัว แต่เป็นคนสร้างความเข้มแข็ง ส่งเสริมให้รู้สิทธิ แต่ก็ต้องไม่ลืมหน้าที่ที่ต้องไม่ละเมิดสิทธิคนอื่น การเป็นลูกจ้างที่ดี ปฏิบัติตามระเบียบวินัยการทำงาน

มงคลกล่าวว่า ภาพลักษณ์ของภาคการประมงอาจมีไม่ดีบ้างในอดีต แต่ในทุกอาชีพก็มีทั้งคนดีและไม่ดี มีทั้งแรงงานที่ดีและไม่ดี การป้องกันปัญหาต่างๆ ไม่ใช่แค่ดูที่ผู้ประกอบการ แต่ต้องดูแรงงานกันเองด้วย  แรงงานต้องช่วยกันคัดกรองคนที่ไม่ดีออกไปไม่ให้อยู่ในสังคม โดยตนให้คำมั่นและดูแลพี่น้องในการประกอบอาชีพแรงงานเมียนมาร์ในเรือประมงร่วมกับภาครัฐและประชาสังคม ตอนนี้เป็นห่วงเรื่องที่แรงงานข้ามชาติไปเกี่ยวพันกับเรื่องยาเสพติด เพราะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ปัญหานี้จะเป็นเรื่องที่ทำให้มาตรฐานแรงงานเป็นเรื่องไม่น่าสนใจ ไม่มีแรงจูงใจต่อแรงงานข้ามชาติคนอื่น

วิชาญกล่าวว่า ปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ไร้การรายงาน และไร้การควบคุม (IUU Fishing) ที่อียูให้ใบเหลืองมาที่ไทย สร้างความเปลี่ยนแปลงมากกับการประมงไทย เพราะเวลามีปัญหาส่งผลให้สินค้าขายไม่ได้ทั่วโลก ตอนนี้มองเรื่องสิทธิมนุษยชน พื้นฐานความเป็นมนุษย์ว่าสำคัญมาก เพราะเมื่อมีสิทธิมนุษยชนและเพื้นฐานความเป็นมนุษยแล้ว ความมั่นคงมนุษย์จะตามมา ตอนนี้กรมประมงกำลังทำเรือต้นแบบ เพื่อให้เรือมีโครงสร้างสอดรับกับการใช้ชีวิตของลูกเรือ รวมถึงหาแนวทางการติดตั้งระบบการสื่อสารให้ลูกเรือสามารถติดต่อครอบครัวที่ฝั่งได้ อย่างน้อยก็ให้สามารถส่งข้อความกลับมาได้

สมัครให้ข้อมูลเกี่ยวกับ MMT ว่าเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยแรงงานชาวพม่าเพื่อให้ความรู้แรงงานพม่าคนอื่นๆ เนื่องจากสมุทรสาครมีแรงงานสัญชาติพม่าเยอะ แต่เดิมองค์กรนี้ชื่อ Myanmar Rights รวมกลุ่มกันมาหลายปีแล้ว แต่เพิ่งมีความคิดริเริ่มในการพัฒนา อบรมให้ความรู้และรณรงค์ด้านสิทธิในหมู่แรงงานพม่าในช่วงปี 2559 โดยแรงงานได้ใช้เวลาในวันหยุดมาให้ความรู้ อบรมแรงงานพม่าคนอื่นในหลายเรื่อง หลายคนที่อยู่ในกลุ่มก็เป็นแรงงานที่เคยประสบปัญหาต่างๆ มาก่อน

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

‘วรเจตน์’ ประกาศนิติราษฎร์ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคอนาคตใหม่และปิยบุตร อย่าใช้โจมตีทางการเมือง

Posted: 18 Mar 2018 09:09 AM PDT

'วรเจตน์' ระบุนิติราษฎร์กับอนาคตใหม่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ขอสื่ออย่าเรียกว่าพรรคนิติราษฎร์ ส่วนปิยบุตรถือว่าขาดจากการเป็นสมาชิกนิติราษฎร์โดยสภาพ ไม่ควรหยิบประเด็น 112 ที่เสนอโดยนิติราษฎร์เป็นข้อโจมตีทางการเมือง เชื่อถึงที่สุด สังคมจะไปต่อไม่ได้ถ้าไม่ปรับกติกา

วันที่ 18 มีนาคม ณ ห้องประชุมจี๊ด เศรษฐบุตร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ภายในงานเปิดตัวหนังสือ 'ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา' ของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในช่วงถาม-ตอบหลังการบรรยาย วรเจตน์ได้ชี้แจงกรณีที่ปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตสมาชิกนิติราษฎร์ ไปร่วมก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่กับธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่านิติราษฎร์อยู่เบื้องหลังหรือไม่

วรเจตน์ กล่าวว่า รับรู้เรื่องนี้มาก่อนหน้า เนื่องจากปิยบุตรได้มาปรึกษา ซึ่งเขาเปิดเผยว่ารู้สึกเสียดายความสามารถทางวิชาการของปิยบุตร แต่ก็เคารพการตัดสินใจ

"ก่อนที่อาจารย์ปิยบุตรจะไปก็ได้คุยและปรึกษากับผม บอกเหตุผลว่าทำไมถึงอยากทำ ผมเห็น Passion ในตัวอาจารย์ปิยบุตร อยากเห็นทางเลือกใหม่ในการเมืองไทย อยากเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองของบ้านเรา ผมก็ถามว่า แล้วในทางส่วนตัว การใช้ชีวิต จะมีข้อจำกัดอะไรหรือเปล่า เขาบอกว่าไม่มีข้อจำกัดเรื่องนี้ ที่ผมถามเพราะต้องการให้เขามีอิสระในการทำงานทางการเมือง ไม่ต้องขึ้นอยู่กับคนอื่น ถ้าเขาบอกว่า ผมก็คงบอกว่าอย่าไปเลย เพราะฉะนั้นผมก็ไม่คัดค้าน ผมจะเคารพความคิดของลูกศิษย์ คนต่างสมัยกัน บางสิ่งที่เราเห็นว่าดีสำหรับเรา อาจไม่ดีสำหรับอีกคนก็ได้ ต้องตัดสินใจเอง ในแง่นี้ผมก็รับรู้เรื่องราวมาระยะหนึ่งก่อนเกิดพรรคการเมืองนี้"

ส่วนประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างปิยบุตรกับนิติราษฎร์ วรเจตน์ เริ่มอธิบายว่า นิติราษฎร์ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมากหลังการยึดอำนาจปี 2557 เนื่องจากบทบาทของนิติราษฎร์ที่โดดเด่นในเรื่องการลบล้างผลพวงรัฐประหารและการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยเฉพาะเรื่องหลังที่ถูกโจมตีมากและยังกลายเป็นประเด็นอยู่แม้เวลาผ่านไปหลายปีแล้ว

แต่ในช่วงหลัง บทบาทของนิติราษฎร์ก็ลดลงไป ทั้งจากการที่เว็บถูกปิด เสรีภาพทางวิชาการที่ลดน้อยถอยลง และการที่ตัววรเจตน์ถูกดำเนินคดีข้อหาขัดคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

"ผมมีคดีก็กระทบกับความรู้สึกภายในของเพื่อนสมาชิก ทำให้บทบาทมันลดลงไป แต่ไม่เลิกอย่างเป็นทางการ เพราะไม่รู้ว่าในอนาคตจะกลับมาทำอะไรที่เป็นประโยชน์ในทางกฎหมายได้อีกหรือเปล่า ก็กึ่งๆ เหมือนจะยุบตัวลงไปในช่วงเวลาแบบนี้ อาจารย์ปิยบุตรก็มองว่าน่าเหมาะที่จะทำอะไรบางอย่างที่อยากทำในทางการเมือง ท่านเป็นคนหนุ่มกับคนที่ย่างเข้าสู่วัยชราอย่างผมมีความต่างกันอยู่ คนหนุ่มอาจต้องการการผจญภัย ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลงในทางสังคมการเมือง

"แต่ที่ต้องพูดให้ชัดวันนี้ ขอความกรุณาสื่อมวลชนอย่าเรียกพรรคอนาคตใหม่ของคุณธนาธรและอาจารย์ปิยบุตรและคนอื่นๆ ที่ร่วมก่อตั้งว่าพรรคนิติราษฎร์ ไม่ใช่ ผมไม่ได้อยู่เบื้องหลัง ไม่ได้เป็นที่ปรึกษา ไม่ได้ทำอะไรเลยกับพรรคนี้ แน่นอนในความสัมพันธ์อาจารย์และศิษย์ เป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย ในทางส่วนตัวมันตัดไม่ได้หรอก มันเป็นความสัมพันธ์ในทางส่วนตัวของมนุษย์ แต่ผมมีจุดยืนของผมอยู่ ข้อเสนอที่นิติราษฎร์เคยเสนอ รวมทั้งความเห็นทางกฎหมายที่ผมและนิติราษฎร์จะเสนอต่อไปในอนาคต ไม่เกี่ยวพันอะไรกับพรรคอนาคตใหม่

"เรื่องมาตรา 112 บรรดาสื่อมวลชนต่างๆ ที่จ้องโจมตีอาจารย์ปิยบุตรไม่ควรเอาประเด็นนี้มาเป็นภาระให้อาจารย์ปิยบุตร สมมติจะบอกว่ามันไม่ถูก ก็ชี้มาที่ผมหรือนิติราษฎร์ก็ได้ อาจารย์ปิยบุตรต้องการไปทำอย่างอื่น แล้วเมื่อไปทำการเมือง ก็ถือว่าขาดจากการเป็นนิติราษฎร์โดยสภาพ เพราะคนหนึ่งทำการเมือง อีกคนทำงานวิชาการ ตอนนี้บทบาทคนละส่วนแล้ว อาจารย์ปิยบุตรก็พูดเองว่าบทบาทของท่านอยู่ในทางการเมืองแล้ว"

ส่วนการนำข้อเสนอของนิติราษฎร์ไปทำเป็นนโยบายพรรค วรเจตน์ กล่าวว่า เป็นสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่ต้องพูดคุยกันเอง ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเขาและนิติราษฎร์

"ข้อเสนอที่นิติราษฎร์เคยเสนอ รวมทั้งความเห็นทางกฎหมายที่ผมและนิติราษฎร์จะเสนอต่อไปในอนาคต ไม่เกี่ยวพันอะไรกับพรรคอนาคตใหม่ ถ้าเป็นสิ่งที่พรรคอนาคตใหม่คิดว่าดี รับไปทำ ผมก็อนุโมทนา ยินดี และไม่ใช่พรรคนี้พรรคเดียว รวมทั้งพรรคอื่นๆ ด้วย สิ่งที่เราเสนอไปมันกลายเป็นสมบัติสาธารณะ ใครจะเอาไปทำ ยินดีทั้งหมด เพราะฉะนั้นไม่มีเบื้องหลัง ผมไม่อยู่เบื้องหลังใคร และไม่มีใครอยู่เบื้องหลังผม

"แต่ประการหนึ่งที่ผมคิดว่าอาจารย์ปิยบุตรก็รู้ เมื่อเข้าสู่การเมืองแล้วมันเป็นอีกเฟสหนึ่งของชีวิต จะเจออะไรอีกหลายอย่างที่ไม่เคยเจอมาในชีวิต โดยเฉพาะการเมืองไทยภายใต้กติกาแบบนี้ แน่นอนมันเป็นความหวัง ดีกว่าที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย แต่ถึงที่สุดสังคมไทยไปต่อไม่ได้หรอกครับ ถ้าคุณไม่ปรับกติกาที่คำนึงถึงคุณค่าขั้นต่ำ คุณไม่ขจัดสิ่งที่คลางแคลงใจคนจำนวนมากอย่างเรื่องการสองมาตรฐาน มันไปไม่ได้"

 

หมายเหตุ ติดตามอ่านการบรรยายฉบับเต็มของวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ในงานเปิดตัวหนังสือ 'ประวัติศาสตร์ความคิดนิติปรัชญา' ได้เร็วๆ นี้

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

การไม่กินเจของเถรวาทสื่อความหมายอะไร

Posted: 18 Mar 2018 08:41 AM PDT

การกินเจ เกิดจากความเชื่อที่ว่าทุกชีวิตล้วนมีคุณค่าและไม่ควรมีใครตายเพื่อสังเวยชีพเป็นอาหารของเรา ในเมื่อวางอยู่บนหลักความเมตตากรุณาและไม่เบียดเบียน ทำไมคนพุทธเถรวาทถึงยังเห็นดีเห็นงามกับการฆ่าสัตว์เพื่อเอามาทำอาหาร?

ผมเสนอว่า สาเหตุที่พุทธศาสนาเถรวาทไม่เน้นการกินเจเพราะเหตุผล 2 อย่าง (1). เถรวาทมองว่าการพ้นทุกข์เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล ขณะที่มหายานมองว่ามนุษย์ต้องรับผิดชอบต่อสังคมและบรรลุธรรมไปด้วยกัน (2). เป็นความพยายามของเถรวาทที่จะทำให้อัตลักษณ์ของตนต่างมหายาน โดยหันมาเน้นเรื่อง "ปัญญา" มากกกว่า "กรุณา" และใช้ ปัญญาในการเหยียดหยามกรุณาของมหายาน


ความเข้าเรื่องการฆ่า/ขายสัตว์

ศีล 5 ข้อแรกคือ "เว้นจากการฆ่าสัตว์" และการละเมิดมีมาตรวัด 5 ข้อ คือ 1. สัตว์มีชีวิต 2. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต 3. มีเจตนาจะฆ่า 4. ลงมือฆ่า และ 5. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น ที่สำคัญคือ ไม่มีการระบุว่า หากฆ่าเพื่อทำบุญหรือเหตุผลเชิงจริยธรรมอย่างอื่น จะไม่ถือเป็นการละเมิดศีล จึงไม่มีเหตุผลใดเลยแม้ในทัศนะของเถรวาทที่จะมองว่า การฆ่าเป็นสิ่งที่ควรทำหรือส่งเสริมให้ผู้อื่นทำ

ในมิติการประการอาชีพ เช่น การค้าขาย พระพุทธเจ้าก็ตรัสไว้ชัดว่า ชาวพุทธควรเว้นจากการค้าขายที่มิชอบทั้ง 5 อย่างคือ 1. ค้าขายอาวุธ (สตฺถวณิชฺชา) เพราะจะนำไปสู่การฆ่าและทำร้ายกัน 2. ค้าขายมนุษย์ (สตฺตวณิชฺชา) 3. ค้าขายเนื้อสัตว์ (มํสวณิชฺชา) 4. ค้าขายเครื่องมึนเมา (มชฺชวณิชฺชา) และ 5. ค้าขายยาพิษ (วิสวณิชฺชา)

ข้อ 2 อาจตีความได้ว่า ค้าขายมนุษย์และสัตว์ เพราะ สตฺต ในภาษาบาลีรวมเอาสัตว์ที่มีลมปราณทุกชนิด และหากตีความเช่นนั้น ก็จะต้องอธิบายข้อ 3 ว่า เป็นการค้าขายเนื้อของสัตว์เหล่านั้นที่ถูกชำแหละแล้ว กล่าวคือ ข้อ 2 เป็นสัตว์ที่ยังมีชีวิต ส่วนข้อ 3 เป็นสัตว์ที่ตายแล้ว แต่โดยสรุปแล้ว พระพุทธเจ้ามิได้ตรัสแค่ว่าให้เว้นจากการฆ่า แต่ยังรวมถึงการค้าขายสัตว์เหล่านั้น ตลอดจนอาวุธเพื่อทำร้ายหรือฆ่าสัตว์เหล่านั้นด้วย

แสดงว่า การขายแกงถุงซึ่งมีเนื้อ (ปลา หมู ไก่ ฯลฯ) ตามร้านค้าก็ผิดหลักของพุทธเถรวาทเช่นกัน ถือเป็น มํสวณิชฺชา แต่ต่อให้ผิด ชาวพุทธก็จะมองว่า คนขายเท่านั้นที่ผิด คนซื้อไม่มีส่วนรับรู้อะไรด้วย


ไม่ได้ฆ่าเอง เลยไม่มีส่วนบาป

หากไม่เห็นคนกำลังฆ่า ไม่ได้ยินเสียงของการฆ่า และไม่สงสัยว่าเขาฆ่าสัตว์นั้นเพื่อเรา ก็สามารถกินเนื้อนั้นได้โดยไม่มีส่วนของการฆ่าเลย (อ่านเพิ่มเติมใน ชีวกสูตร) นี่เป็นเหตุผลที่ชาวพุทธเถรวาทมักสมาทาน หากใช้ตรรกะเดียวกัน เมื่อมีคนเอาทองก้อนใหญ่มายื่นให้ เราควรรับไว้และไม่มีความผิดใดๆ หากเราไม่เห็นหรือได้ยินว่าเขากำลังกระชากของใครมา และเราไม่มีความสงสัยใดๆ เลย

ความต่างของเถรวาทและมหายานชัดเจนมากตรงประเด็นนี้ คือเถรวาทเสนอว่าการไม่รับทราบและไม่สงสัย ทำให้พ้นไปจากความผิดได้ นี่เป็นลักษณะที่เน้นความเป็นปัจเจกนิยมแบบพุทธเถรวาท ขณะที่มหายานสอนให้ตั้งคำถามว่า เราควรต้องสงสัย เพื่อจะได้ทราบว่าการกระทำของเราส่งผลต่อผู้อื่นอย่างไร ซึ่งก็น่าตั้งคำถามว่า เถรวาทไม่สงสัยหรือเจตนาไม่สงสัยกันแน่เพราะกลัวจะเป็นบาป?

การฆ่าสัตว์วันละหลายล้านตัวเพื่อเข้าสู่ตลาด เถรวาทมองว่า เราสามารถซื้อเนื้อเหล่านั้นมาบริโภคได้ เพราะเรามิได้เห็น ไม่ได้ยิน หรือไม่สงสัยเลยว่าเขาฆ่ามาเพื่อเรา หากบาปจะมีก็ย่อมตกกับคนที่ลงมือฆ่าและเจ้าของธุรกิจเท่านั้น แน่นอนว่า หากทุกคนเลิกกินเนื้อ โรงงานเหล่านั้นจะถูกปิดและสัตว์ที่จะเลี้ยงหรือจับมาทำการฆ่าก็จะสิ้นสุดลง

"สำหรับชาวพุทธเถรวาท มิจฉาวณิชชา หรือการค้าขายที่ผิดทั้ง 5 ข้อ ถือเป็นความผิดของผู้ขายเท่านั้น มิใช่ผู้ซื้อ ขณะที่มหายานมองว่า ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบ ในฐานะที่คนหนึ่งเป็นสาเหตุให้อีกคนหนึ่งต้องลงมือฆ่า"

การแปล "สูกรมัททวะ" ของมหายานจึงเป็นเห็ดหรือพืชชนิดหนึ่ง เพราะความเชื่อที่ว่า พระพุทธเจ้าย่อมไม่กินเนื้อสัตว์ การแปลนี้ต่อมาส่งผลให้เถรวาทบางท่านเชื่อว่าอาจเป็นพืชมากกว่าจะเป็นเนื้อสุกรอ่อนตามตัวศัพท์จริงๆ


หลุดพ้นเพราะปัญญา ไม่ใช่ศีล

บทสวดพิจารณาอาหารของพระมีใจความว่า สิ่งที่ตนกำลังฉันอยู่เป็นแต่เพียงธาตุที่ประกอบกันขึ้น มิใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล เรา/เขา (ธาตุปฏิกูลปัจจเวกขณะ) และการกินนี้ก็มิใช่เพื่อสนองความอยาก แต่เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้และมีกำลังในการปฏิบัติธรรมต่อไป (ตังขณิกปัจจเวกขณะ) การบริโภคเนื้อสัตว์ในปุตตมังสสูตรก็เปรียบเทียบการที่พ่อแม่ฆ่าลูกน้อยเพื่อกินเนื้อ ทั้งสองกินไปร้องไห้ไป มิได้กินเพราะความเอร็ดอร่อย หากแต่เพื่อให้ตนข้ามพ้นทางกันดารเท่านั้น

(ปุตตมังสสูตรมิได้เสนอว่า การฆ่าลูกเป็นอาหารไม่เป็นบาปแต่ประการใด แต่เน้นไปที่ความรู้สึกของคนที่กำลังกินเนื้อซึ่งมิได้กินด้วยความอยาก ทั้งนี้ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ชาวพุทธมักหยิบเรื่องราวทำนองนี้มาตีความแบบอรรถประโยชน์นิยมและรู้สึกเฉยๆกับการฆ่าที่ทำเพื่อประโยชน์อยู่เบื้องหลัง เช่นสนับสนุนให้ประหารชีวิตฆาตกรเพราะจะทำให้สังคมดีขึ้น ยุยงให้ฆ่าคนที่ตนเชื่อว่าทำลายศาสนาเพื่อพิทักษ์ศาสนาพุทธที่แท้จริง ฯลฯ)

จะเห็นว่า เหตุที่พุทธศาสนาเถรวาทไม่สนใจ (หรือให้ความสำคัญน้อย) กับการตายของผู้อื่น เพราะมีชุดคำอธิบายอีกแบบรองรับ เพื่อสะท้อนว่า การมีปัญญารู้เท่าทันการกินที่ไม่ตกเป็นทาสความอยาก จะทำให้ตนไม่มีส่วนแห่งการฆ่านั้น และเมื่อมีเรี่ยวแรงจากการกินเนื้อสัตว์อื่นแล้วก็ให้เร่งความเพียรปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ไปเสีย

"สัตว์อื่นจึงเป็นเหมือนเครื่องมือที่ช่วยในการเดินทางข้ามสังสารวัฏอันกันดารของเรา และแน่นอนว่า ตรงกันข้ามกับมหายาน"


เถรวาทพยายามหันมาเน้นเรื่องปัญญามากกว่ากรุณาเพื่อให้ตนต่างจากมหายาน

คำว่ามหายานเกิดขึ้นก่อนเถรวาท โดยกลุ่มคนที่เชื่อว่าพุทธศาสนาควรถูกใช้เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั้งหมดไปจากสังสารวัฏ เลยตั้งชื่อพวกตนว่า "ยานใหญ่" เพื่อทำการขนย้ายสัตว์ และตั้งชื่อสาวกที่เหลือว่าเป็นพวก "ยานเล็ก" หรือ หีนยาน (แปลว่า ยานต่ำทราม) เพราะเน้นการปฏิบัติเพื่อบรรลุส่วนตน ต่อมาพวกหีนยานเปลี่ยนชื่อเป็น "เถรวาท" แปลว่า สาวกผู้เชื่อฟังคำของพระเถระ 500 รูปในการทำสังคายนาครั้งแรก

เมื่อพวกมหายานหันไปหยิบประเด็นความเมตตามาชู พวกเถรวาทจึงต้องเน้นปัญญาและเสนอว่า ปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้สัตว์พ้นทุกข์ (ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ) สำหรับผม ความเมตตาของมหายานเห็นได้ชัด เช่น มูลนิธิ Tzu Chi ในไต้หวันซึ่งมีสมาชิกทั่วโลกเน้นการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล การกินเจและช่วยเหลือคนจน ส่วนการเน้นปัญญาของเถรวาทมักไม่ค่อยพบเห็น เช่น เมื่อต้องโต้เถียงกับผู้อื่น มักกล่าวร้ายเขาด้วยคำด่า เช่น เป็นพุทธปลอม อกตัญญูต่อศาสนา ถูกอิสลามจ้างมาบวช เป็นต้น นี่เป็นตัวอย่างในแง่ปฏิบัติที่พบเจอนะครับ

เถรวาทมักกล่าวว่า "ต่อให้กินเจก็ไม่พ้นทุกข์ เพราะวัวควายก็กิน" คำพูดนี้สื่อถึงการกินที่ไม่มีปัญญา แต่ก็ไม่ตรงกับเหตุผลของมหายาน มหายานมิได้เน้นว่าการกินเจจะนำไปสู่การบรรลุ แต่เขากินเพราะอบรมจิตให้มีเมตตา ไม่ส่งเสริมการทำร้ายเพื่อนสรรพสัตว์ด้วยกัน

กิจกรรมบางอย่างของเถรวาท เช่น ปล่อยโค ปล่อยปลา ที่ดูเหมือนเน้นความเมตตากรุณา แต่แท้จริงก็ไม่ใช่ เพราะแฝงไปด้วยความเชื่อของการปล่อยเคราะห์ ต่อชะตา และทำพิธีกรรมโดยมีพระผู้ศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้ส่งบุญ เสร็จแล้วก็ซื้อวัวหรือปลามากินได้ตามปกติ กล่าวคือ การปล่อยสัตว์ทั้งหลายของเถรวาทมิได้มีเป้าหมายใหญ่เพื่อความเมตตากรุณาและไม่นิยมทำหากไม่มีพระเป็นเจ้าพิธีในการเสกบุญเพื่อชะตาราศีตนเอง

ในแง่คัมภีร์ เถรวาทเองก็เต็มไปด้วยเรื่องราวของความกรุณา เช่น อดีตชาติของพระพุทธเจ้าราว 500 ชาติ และมหายานเองก็มิได้ทอดทิ้งปัญญา เช่น วิมลกีรตินิเทศสูตร ซึ่งกล่าวถึงการถกปัญหาธรรมะที่ลึกซึ้ง แต่ในทางปฏิบัติ เถรวาทดูเหมือนจะมุ่งไปที่ปัญญา รีบทำตนให้พ้นทุกข์เพราะสังสารวัฏเป็นทุกข์และน่ากลัว ส่วนมหายานเลือกทางเดินแบบโพธิสัตว์ที่เชื่อว่าจะลดอัตตาตัวเองได้ก็ต่อเมื่อช่วยเหลือผู้อื่น

ประเทศเถรวาทเช่นเมืองไทย มีการดูถูกความเมตตากรุณาในหลายกรณี เช่น กรณีของชาวโรฮิงยา คนไทยก็เน้นให้ใช้ปัญญา หลายคนหยิบเอาคำพูดของปยุตฺโต เรื่อง "ใจกว้างแต่ปัญญาแคบ" (ซึ่งอาจต่างจากบริบทที่ท่าน ปยุตฺโต หมายถึง) มาเตือนเพื่อมิให้รับคนอพยพหนีตายเหล่านั้น เพราะจะนำหายนะมาสู่ชาติไทยและพุทธศาสนาในอนาคต "ความเมตตามีได้แต่ต้องใช้ปัญญานำ" นั่นคือ ไม่ควรรับคนเหล่านั้นผู้ซึ่งเป็นมุสลิมทำลายศาสนา การตายของผู้อื่นจึงมิใช่เรื่องที่น่าใส่ใจสำหรับชาวเถรวาทหากเทียบกับการใช้ปัญญาปกป้องศาสนาเป็นต้น

การไม่กินเจเป็นเพียงสิ่งสะท้อนประการหนึ่งของหลักคิดแบบเถรวาทเท่านั้น ภายใต้ภูเขาน้ำแข็งของการมองผู้อื่นเป็นเครื่องมือเพื่อให้ตนบรรลุเป้าหมาย สิ่งที่ทำให้เถรวาทมองไม่เห็นปมนี้คือ การเน้นปัญญาที่ต้องมาก่อนกรุณา ซึ่งในทางปฏิบัติ ปัญญาก็มิได้ถูกใช้เลย เพราะไม่มีการเปิดใจถกเถียงกันอย่างจริงจัง เช่น ไม่ฆ่าแต่ส่งเสริมด้วยการซื้อมาบริโภคจะผิดไหม ตลอดจนการกล่าวหาว่าโรฮิงยาเป็นผู้ก่อการร้าย ทั้งที่ยังมิได้พิสูจน์และไม่คิดจะพิสูจน์ด้วยข้อมูลที่ดีพอ

ผมมองว่า การเป็นเถรวาทของไทย เป็นเพียงเครื่องมือสร้างอัตลักษณ์เพื่อปฏิเสธความรับผิดชอบต่อชีวิตสรรพสัตว์ที่ถูกสังเวยเป็นอาหารของตนทุกวัน แน่นอนผมไม่ได้บอกว่าการฆ่าหรือกินเนื้อสัตว์จะชั่วช้านะครับ แค่เสนอว่า เราไม่จำเป็นต้องโยนความผิดไปให้คนฆ่าและบอกว่าตนบริสุทธิ์เพียงเพราะไม่จับมีดฆ่าเอง ที่สำคัญ การเน้นปัญญาเพื่อข่มมหายานทำให้เถรวาทลืมคุณธรรมขั้นพื้นฐานคือ "ความเมตตากรุณา" ไปเสีย ซึ่งส่งผลให้พวกเขาสนใจปกป้องชาติ ศาสนา มากกว่าชีวิตเพื่อนสรรพสัตว์อื่นๆ

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: animisticbeliever.wordpress.com

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ธนาธรไม่ต้องขอโทษใครเรื่องข้อเสนอแยกศาสนาออกจากรัฐ และเรื่องปาตานี

Posted: 18 Mar 2018 08:17 AM PDT



การที่ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พูดว่าควรแยกศาสนาออกจากรัฐ และให้รัฐเลิกอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เป็นข้อเสนอที่ก้าวหน้าและจะเพิ่มสิทธิเสรีภาพกับพลเมืองทุกคนไม่จะว่านับถือศาสนาใดหรือไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ดังนั้น ธนาธร ไม่ควรขอโทษใครในเรื่องนี้ และเราควรสนับสนุนเต็มที่

สิ่งที่ ธนาธร พูดเป็นข้อเสนอที่มีประโยชน์ต่อชาวพุทธ เพราะจะนำไปสู่เสรีภาพในการนับถือพุทธในลักษณะหลากหลายที่แต่ละคนเลือกจะนับถือ รัฐจะเข้ามาปราบคนที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็น "พุทธนอกรีต" หรือพวกธรรมกายไม่ได้ และสตรีที่ต้องการบวชเป็นพระสงฆ์ก็ย่อมทำได้ ศาสนาจะกลายเป็นสิทธิส่วนตัวของพลเมืองอย่างแท้จริง ดังนั้นพวกที่โวยวายเรื่องนี้เป็นพวกล้าหลังที่คัดค้านเสรีภาพและความหลากหลาย

แต่ในแง่หนึ่ง ทั้งๆ ที่ข้อเสนอของ ธนาธร จะเพิ่มเสรีภาพให้ชาวมาเลย์มุสลิมในปาตานี มันไม่พอที่จะแก้ปัญหาสงครามได้ เพราะมันไม่ใช่สงครามระหว่างชาวพุทธกับชาวมุสลิม มันเป็นการต่อสู้เพื่อเสรีภาพของคนที่ถูกรัฐไทยกดขี่ต่างหาก

ข้อเสนอของ เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ ที่จะรื้อฟื้นข้อเสนอในการปกครองตนเองของชาวปาตานี ที่หะยีสุหลง เคยยื่นต่อรัฐบาลไทยในปี 2490 ก่อนที่เขาจะถูกเผด็จการทหารไทยฆ่าทิ้ง เป็นสิ่งที่ก้าวหน้ากว่านโยบายพรรคการเมืองกระแสหลักทุกพรรค

บางคนที่มีอคติกับศาสนาอิสลาม จะโวยวายว่ามันจะนำไปสู่การ "เฆี่ยนเกย์" และขัดแย้งกับสิ่งที่ ธนาธร พูดเรื่องการแยกศาสนาออกจากรัฐ ผมขอฟันธงว่าไม่จริงเลย และจะขออธิบายต่อ

ศาสนาอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมพลเมืองชาวมาเลย์มุสลิมส่วนใหญ่ในปาตานี แต่วัฒนธรรมนี้ถูกรัฐไทยกดขี่มานาน ดังนั้นการเพิ่มเสรีภาพในการนับถือศาสนาที่เคยโดนกดขี่จากรัฐไทย เป็นข้อเสนอก้าวหน้า และจะมาเปรียบเทียบกับสิทธิชาวพุทธกระแสหลักไม่ได้

ลองมาดูข้อเสนอเดิมของ หะยีสุหลง ซึ่งเคยได้รับการยอมรับจาก อ.ปรีดี พนมยงค์

1. สิทธิในการปกครองตนเองของชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาส ด้วยผู้นำที่เป็นคนจากพื้นที่และมาจากการเลือกตั้งจากคนในพื้นที่" ข้อเสนอนี้จะเพิ่มเสรีภาพอย่างชัดเจนเพราะลดบทบาทรัฐจักรวรรดินิยมไทย ถ้ากรุงเทพฯเลือกผู้ว่าได้ ทำไมปาตานีเลือกไม่ได้?

2. ข้าราชการในพื้นที่อย่างน้อย 80 % ต้องเป็นมุสลิม" ตรงนี้เราอาจดัดแปลงให้ทันสมัยขึ้นโดยเสนอว่า ประมาณ 80% ต้องเป็นคนเชื้อสายมาเลย์จากพื้นที่ แต่ควรดัดแปลงสัดส่วนให้เท่ากับสัดส่วนจริงของพลเมืองเชื้อชาติต่างๆ ในพื้นที่ มันจะแก้ไขความรู้สึกของคนในปาตานี ที่รู้สึกว่าถูกยึดครองจากกรุงเทพฯ

3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทยเป็นภาษาราชการ" ข้อเสนอแบบนี้เป็นที่ยอมรับในหลายประเทศทั่วโลก เช่นสวิสแลนด์ คานาดา สวีเดน และอังกฤษ มีแต่พวกไดโนเสาร์อย่างพลเอกเปรมที่เคยคัดค้าน

4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลางของการสอนในโรงเรียนชั้นประถมศึกษา" ซึ่งควรตีความว่าหมายถึงโรงเรียนในชุมชนที่เขาพูดภาษามลายูที่บ้าน แต่สำหรับครอบครัวที่พูดภาษาไทยที่บ้าน ก็ควรมีโรงเรียนที่สอนเป็นภาษาไทยเพื่อเป็นทางเลือก จะไปคัดค้านทำไม? และมันไม่ได้หมายความว่าโรงเรียนที่ใช้ภาษามลายูจะไม่สอนให้เด็กรู้จักภาษาไทย อย่าลืมว่าเรื่องภาษากลางเป็นเครื่องมือในการจำกัดเสรีภาพและทำลายวัฒนธรรมหลากหลายมานาน รวมถึงคนเชื้อชาติลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

5. ให้ใช้กฎหมายมุสลิมในศาลศาสนา แยกออกไปจากศาลจังหวัด" ตรงนี้พวกคนที่มีอคติกับศาสนาอิสลาม จะโวยวายว่ามันจะนำไปสู่การ "เฆี่ยนเกย์"!! ไม่เลยครับ มันหมายความว่าพลเมืองทุกคนสามารถเลือกได้ว่าอยากขึ้นกับศาลแบบไหนต่างหาก มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้านเราอยู่แล้ว นอกจากนี้การลงโทษในศาสนาอิสลามตีความได้หลากหลาย ชาวอิสลามก้าวหน้าควรจะรณรงค์ไม่ให้มีการตีความแบบล้าหลัง และประเทศสิงคโปร์ที่ใช้การเฆี่ยนเป็นการลงโทษไม่ใช่รัฐอิสลามอีกด้วย

6. ภาษีที่เก็บได้ในพื้นที่ให้ใช้ในพื้นที่เท่านั้น" ก็เป็นข้อเสนอที่ดี แต่ในเมื่อปาตานีเป็นพื้นที่ยากจน ควรมีงบประมาณสมานฉันท์จากพื้นที่อื่นเข้ามา เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

7. ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลาม" อันนี้ก็เป็นข้อเสนอที่จะให้เสรีภาพกับการนับถือศาสนาอิสลาม แต่ในโลกสมัยใหม่ คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดควรมาจากการเลือกตั้ง และคนอิสลามควรมีสิทธิที่จะไม่ทำตามระเบียบนั้นได้ คือระเบียบที่ว่านี้ควรจะเป็นแค่ข้อเสนอแนะเท่านั้น

แต่คำพูดหนึ่งของ เปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ น่าจะสร้างความกังวลนิดหน่อย คือเวลามีการถามว่าจะทำได้แค่ไหน เขาตอบว่า "อะไรก็ได้ที่ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญไทย" แต่รัฐธรรมนูญไทยตอนนี้เขียนว่ารัฐไทยเป็นสิ่งที่แบ่งแยกไม่ได้ ซึ่งเป็นอุปสรรค์สำคัญในการที่คนในพื้นที่จะพูดคุยพิจารณารูปแบบต่างๆ ของการปกครองตนเอง รวมถึงสิทธิที่จะแยกประเทศด้วย

ปัญหาความรุนแรงในปาตานี มาจากการกดขี่ของรัฐไทย ผ่านการกระทำของกำลังทหารและตำรวจที่ยึดครองพื้นที่เหมือนเป็นอาณานิคม ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่ควรเสนอให้ถอนทหารและตำรวจส่วนใหญ่ออกจากพื้นที่ เพื่อเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยกันอย่างสันติ และควรเสนอให้ลดบทบาททหารในการเจรจาสันติภาพอีกด้วย

ข้อดีอีกอันหนึ่งของพรรคอนาคตใหม่คือ มีแผนจะลงไปพบปะกับนักเคลื่อนไหว และภาคประชาสังคมในปาตานี เพื่อจัดทำนโยบายการกระจายอำนาจและนโยบายด้านพหุวัฒนธรรม ผมหวังว่าคนของพรรคจะกล้าพอที่จะต่อสายและคุยกับคนที่กบฏต่อรัฐไทย หรือคนที่อยากแบ่งแยกดินแดนด้วย

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมกังวลอันหนึ่งคือ พอพวกอนุรักษ์นิยมวิจารณ์สิ่งที่เขาพูดนิดเดียว ก็จะเริ่มเห็นเขาถอยและเปลี่ยนใจ ทำไมต้องขาดความมั่นใจในการทำสิ่งที่ถูกถึงขนาดนั้น? เราคงต้องดูต่อไป

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: turnleftthai.wordpress.com

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กวีประชาไท: เผ่าพันธุ์ใหม่

Posted: 18 Mar 2018 07:59 AM PDT

 

ผลิงอกจากซอกอิฐกำแพงเก่า
ตื่นจากรากเหง้ากองเถ้าถ่าน
พลิกฟื้นยืนหยัดระบัดบาน
อารยะจะอันตรธานจะเปลี่ยนแปลง

ฝุ่นควันคว้างเคว้งเพลงสวดศพ
ปรากฏหลังจุดจบคือกร้าวแกร่ง
พันธุ์ใหม่แทนพันธุ์เก่าที่โรยแรง
ทิ่มแทงโผล่พ้นบนผืนดิน

เบื้องล่างบางเรื่องยังเรืองไร
เบื้องบนพ้นไปในสูญสิ้น
แผ่กว้างกลางเมืองที่รวยริน
คือชีวิตคือชีวินจิตวิญญาณ

ดอกไม้ไร้ชื่อถือปรากฏ
ทุกวิถีแห่งขบถการเปลี่ยนผ่าน
แช่มช้าแต่ทว่าจะเบ่งบาน
ชำแรกจากแหลกลาญขึ้นเหยียดตรง

โบกพัดกวัดไกวในสายลม
กำเนิดจากซากทับถมของฝุ่นผง
เบื้องหน้า เบื้องหลังล้วนยังคง
แพร่ลามไปยืนยง ไปยืนยัน

ชีวทัศน์ผุกร่อนแห่งจารีต
บ่มเพาะผ่านอดีตเกินปิดกั้น
สู่ผลิงอกดอกไม้กลับกลายพันธุ์
ผลัดใบใฝ่ฝันหลังการตาย

จากศตวรรษสู่ศตวรรษ
ชัยชนะจะชี้ชัดหลังแพ้พ่าย
สิ่งเก่าไป สิ่งใหม่มาขึ้นท้าทาย
เพื่อทวงถามความหมายของเผ่าพันธุ์.



หมายเหตุ: รีรันแด่ #เผ่าพันธ์ุใหม่ #อนาคตใหม่

เผยแพร่ครั้งแรกใน: นิตยสาร WRITER ฉบับ 39 เดือนธันวาคม 58

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

หมายเหตุประเพทไทย #201 สตรีอเมริกันยุค 1920 กับการปฏิวัติไลฟ์สไตล์

Posted: 18 Mar 2018 07:07 AM PDT

หมายเหตุประเพทไทยสัปดาห์นี้ คำ ผกา พูดคุยกับ ชานันท์ ยอดหงษ์ ถึงการเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ของสตรีในสหรัฐอเมริกายุค 1920 หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งนอกจากจะเป็นยุคเริ่มต้นของอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง รวมถึงการลุกขึ้นมาแต่งตัวเปรี้ยว ตัดผมบ็อบสั้นแล้ว ยังเป็นทศวรรษที่การรณรงค์เพื่อสิทธิเลือกตั้งของผู้หญิงในสหรัฐอเมริกาประสบความสำเร็จอีกด้วย

อย่างไรก็ตามระลอกการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นช่วงหนึ่งก็ซาไป ขณะเดียวกันผลของความเป็นสังคมแบบพิวริตันในสหรัฐอเมริกา ทำให้เกิดด้านกลับขึ้นมาด้วยนั่นคือยุคของการห้ามจำหน่ายสุรา

ติดตามรายการหมายเหตุประเพทไทยย้อนหลังที่
เฟสบุ๊ค 
https://www.facebook.com/maihetpraphetthai
หรือลงทะเบียนรับชมที่ https://youtube.com/prachatai

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

นักเศรษฐศาสตร์เชื่อไทยได้ประโยชน์ประชุม 'อาเซียน-ออสเตรเลีย' น้อย

Posted: 18 Mar 2018 03:01 AM PDT

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต เชื่อไทยได้รับประโยชน์จากการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ว่าด้วยการส่งเสริมความมั่นคงและความมั่งคั่งอย่างจำกัด เพราะยังขาดยุทธศาสตร์ในการเจรจา และไทยก็ยังไม่มียุทธศาสตร์อาเซียน และยุทธศาสตร์อาเซียน-ออสเตรเลีย 

 
ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต (แฟ้มภาพ)
 
18 มี.ค. 2561 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้แสดงความเห็นต่อการประชุมสุดยอดอาเซียนออสเตรเลียว่าไทยได้รับประโยชน์จากการประชุมสุดยอดอาเซียน-ออสเตรเลีย ว่าด้วยการส่งเสริมความมั่นคงและความมั่งคั่งอย่างจำกัดเพราะยังขาดยุทธศาสตร์ในการเจรจา และประเทศไทยก็ยังไม่มียุทธศาสตร์อาเซียน และยุทธศาสตร์อาเซียน-ออสเตรเลียที่ชัดเจน ถ้อยแถลงของรัฐบาลหลังการประชุมยังเป็นหลักการและแนวทางกว้างๆเท่านั้น อาเซียนโดยรวมก็ได้รับประโยชน์อย่างไม่เต็มที่เช่นเดียวกัน ยกเว้นมาเลเซียและสิงคโปร์ที่ได้มีการวางยุทธศาสตร์ในการประชุมที่ชัดเจนกว่าประเทศอื่น ทำให้สำนักข่าวต่างประเทศลงรายละเอียดของสองประเทศอาเซียนนี้เป็นหลัก รวมทั้งอาเซียนยังขาดการทำยุทธศาสตร์ร่วมกันในบางเรื่อง อาเซียนควรยกระดับประชาเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจแบบ FTA สู่การเป็นสหภาพทางภาษีศุลกากร หรือ Customs Union อันนำไปสู่การมีนโยบายการค้าร่วมกันต่อประเทศภายนอกอาเซียน และควรพิจารณาร่วมกันว่าการเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เพื่อความมั่นคงและความมั่งคั่งกับออสเตรเลียจะทำกันในระดับไหน 
 
โดยข้อตกลงในระดับภูมิภาคระหว่างอาเซียนและออสเตรเลียนี้จะมีผลต่อระบบความมั่นคงของโลกและระบบการค้าโลกอย่างไร หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ หากอาเซียนบางประเทศยังมีภาษีศุลกากรค่อนข้างสูง ข้อตกลงการค้าภูมิภาคอาเซียนออสเตรเลียอาจทำให้เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้าที่มีต้นทุนสูงกว่าการเพิ่มพูนการค้าที่มีประสิทธิผล ขณะเดียวกัน ในการประชุมครั้งนี้ก็มีการหารือกันเรื่องอาชญากรรมทางไซเบอร์ การฟอกเงินซึ่งหลายประเทศในอาเซียนก็มีปัญหาการฟอกเงินและคอร์รัปชันมากรวมทั้งการละเมิดสิทธิมนุษยชนในบางประเทศจึงมีการชุมนุมประท้วงโดยองค์กรสิทธิมนุษยชนและนักเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยในออสเตรเลีย เวลาหารือกันจึงเป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหวสูงและถกแถลงกันได้ไม่เต็มที่ หรือ Controversial 
 
ดร.อนุสรณ์ ให้ความเห็นอีกว่า "การประชุมเป็นการหารือเรื่องกว้างๆที่ยังไม่เห็นว่าจะนำไปสู่ข้อตกลง ความร่วมมือและหุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์อย่างเป็นรูปธรรมอย่างไรในระยะเวลาอันใกล้ ความล่าช้าทำให้ประเทศและภูมิภาคสูญเสียโอกาสบางส่วนไปจากศูนย์กลางของโลกที่กำลังเคลื่อนย้ายสู่เอเชียตะวันออกมากขึ้นตามลำดับ การขยายตัวของความมั่งคั่งดีกว่าภูมิภาคอื่นโดยเปรียบเทียบ อย่างไรก็ตาม ความเป็นภูมิภาคนิยมทางเศรษฐกิจการค้าต้องไม่ขัดกับระบบการค้าโลกและธรรมาภิบาลของระบบการค้าโลกภายใต้องค์การการค้าโลก นั่นหมายความว่า เมื่อพิจารณาไปในอนาคตแล้ว หุ้นส่วนและข้อตกลงทางการค้าที่ดำเนินการอยู่ กรณีนี้คือ อาเซียน-ออสเตรเลีย ต้องสนับสนุนและไม่เป็นอุปสรรคต่อการค้าในระดับโลก ฉะนั้นการรวมกลุ่มการค้าของอาเซียนและออสเตรเลียต้องเป็นแบบสร้างสรรค์ เป็นสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่า Building Trade Bloc ไม่ใช่ Stumbling Bloc 
 
ดร.อนุสรณ์ กล่าวเสนอแนะว่าไทยควรแสดงบทบาทนำในการกำหนดจุดยืนของอาเซียนในประเด็นเจรจาหารือต่างๆ กับออสเตรเลีย ควรเพิ่มความเชื่อมโยงในระดับต่างๆมากขึ้น โดยเฉพาะการเชื่อมโยงในระดับประชาชน การลงทุนทางด้านทรัพยากรมนุษย์ ความร่วมมือทางการศึกษาและการวิจัย ให้ความสำคัญกับเรื่องสิทธิมนุษยชน มาตรฐานแรงงาน ทำให้หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรมผ่านการเชื่อมโยงด้านต่างๆทั้งระบบขนส่งและโลจีสติกส์ โทรคมนาคมการสื่อสาร โครงสร้างตลาดเงินตลาดทุน วัฒนธรรม การศึกษา การกำหนดระบบกฎหมายกฎเกณฑ์และกติการ่วมกันที่เป็นมาตรฐาน ที่สำคัญที่สุดคือการประชุมหารือตกลงกันระหว่างอาเซียนกับออสเตรเลียต้องนำไปสู่การปฏิรูปภายในของแต่ละประเทศเพื่อให้ได้มาตรฐานสากล 
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

แลกเปลี่ยนความคิดเรื่องแยกศาสนากับรัฐของผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่

Posted: 18 Mar 2018 02:02 AM PDT



รายงานของประชาไทเรื่อง "เปิดวิสัยทัศน์ธนาธรและเพื่อนต่อการแก้ปัญหา 3 จว.ชายแดนใต้" โดยทวีพร คุ้มเมธา เกริ่นนำว่า "เปิดแนวคิดแยกรัฐจากศาสนาของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และวิสัยทัศน์เพื่อนในพรรคอนาคตใหม่ที่กล้าพูดว่า ข้อเสนอของหะยีสุหรงนั้น 'น่าจะเป็นไปได้' ในการแก้ปัญหาสามจังหวัดชายแดนใต้"

อะไรคือแนวคิดแยกรัฐจากศาสนาของธนาธร รายงายดังกว่าโควทความเห็นของธนาธรว่า

"รัฐไทยไม่ควรจะอุปถัมภ์ศาสนาพุทธ เพราะมันทำให้ปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนใต้แก้กันไม่จบ ผู้คนที่อยู่ใน 3 จังหวัด แง่หนึ่งก็เหมือนเป็นพลเมืองชั้นสอง เพราะไม่มีที่ยืนเท่าเทียมกับคนในศาสนาพุทธ ผมคิดว่ารัฐควรถอยตัวเองออกมาจากเรื่องศาสนา ไม่ควรอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย"

ขณะเดียวกันรายงานดังกล่าวก็อ้างการให้สัมภาษณ์ของคุณเปรมปพัทธ ผลิตผลการพิมพ์ แกนนำพรรคสำคัญคนหนึ่งว่า "ข้อเสนอของหะยีสุหรงในเรื่องการกระจายอำนาจก็น่าจะเป็นไปได้แทบทุกข้อเลย และก็น่าจะนำหลักการกระจายอำนาจเดียวกันนี้ไปใช้ในจังหวัดอื่นๆ ด้วย ..."

ข้อเสนอของหะยีสุหรงที่รายงานพูดถึง คือ 1. สิทธิในการปกครองตนเองของชาวปัตตานี ยะลา และนราธิวาสด้วยผู้นำที่เป็นคนพื้นที่และมาจากการเลือกตั้งของคนในพื้นที่ 2. ข้าราชการในพื้นที่อย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ต้องเป็นมุสลิม 3. ให้ใช้ภาษามลายูและภาษาไทยเป็นภาษาราชการ 4. ให้ภาษามลายูเป็นภาษากลางของการสอนในโรงเรียนชั้นประถมศึกษา 5. ให้ใช้กฎหมายมุสลิมในศาลศาสนาแยกออกไปจากศาลจังหวัด 6. ภาษีที่เก็บได้ในพื้นที่ให้ใช้ในพื้นที่เท่านั้น 7.ให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดมีเอกสิทธิ์ออกระเบียบเกี่ยวกับการปฏิบัติการศาสนาอิสลาม

ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า หากการกระทำใดๆ ของรัฐไทยด้วยเหตุผลทางศาสนาหรือทางอื่นใดที่เป็นเหตุให้ชาวมุสลิมในสามจังหวัดภาคใต้เป็นประชากรชั้นสอง หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนหะยีสุหรงด้วยการตั้งข้อหากบฏนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรยอมรับ

แต่อย่างไรก็ตาม โดยข้อเท็จจริงแล้วรัฐไทยปัจจุบันที่ยังไม่ได้เป็น "รัฐโลกวิสัย" (secular state) นั้น ไม่ได้อุปถัมภ์เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้น แต่อุปถัมภ์ทุกศาสนาที่รัฐรับรอง อำนาจศาสนาในโครงสร้างของรัฐก็มีทั้งพุทธและอิสลาม เช่นพุทธมีตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราช และตำแหน่งพระราชาคณะอื่นๆ มุสลิมมีตำแหน่งจุฬาราชมนตรี และตำแหน่งคณะกรรมการอื่นๆ รัฐออกกฎหมายเฉพาะบางอย่างสำหรับคณะสงฆ์ และสำหรับชาวมุสลิม และให้งบประมาณสนับสนุนเช่นกัน

ที่อธิบายนี้เป็นเพียงพูดถึง "ข้อเท็จจริง" ไม่ใช่สิ่งที่ผมเห็นด้วย เพราะผมเสนอเรื่องแยกศาสนากับรัฐ

ประเด็นคือ ข้อเสนอของคุณธนาธรที่ว่า "รัฐควรถอยตัวเองออกมาจากเรื่องศาสนา ไม่ควรอุปถัมภ์ศาสนาอะไรเลย" สอดคล้องกับหลักการแยกศาสนากับรัฐ (separation of church and state) ของรัฐโลกวิสัย คือแยกเรื่องของรัฐเป็นเรื่องสาธารณะ เรื่องศาสนา,ความเชื่อ,ความไม่เชื่อเป็นเรื่องส่วนบุคคลหรือเรื่องส่วนตัว เมื่อแยกเช่นนี้รัฐจึงไม่แสดงความเชื่อทางศาสนา เช่นไม่ใช้หลักความเชื่อของศาสนาใดๆ มาเป็นหลักการหรืออุดมการณ์ในการปกครอง การบัญญัติกฎหมาย ไม่อ้างความเชื่อ หลักคำสอนของศาสนาใดๆ ในทางการเมืองการปกครอง ไม่สอนศาสนาหรือโปรโมทความเชื่อศาสนาในโรงเรียน ไม่ใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาในโรงเรียน สถานที่ราชการ ไม่เลือกรับหรือไม่รับคนเข้ารับราชการเพราะเหตุผลทางศาสนา กระทั่งไม่ระบุศาสนาในการกรอกเอกสารทางราชการ เป็นต้น

การแยกรัฐกับศาสนาดังกล่าว อยู่บนพื้นฐานของแนวคิดโลกวิสัย (secularism) ซึ่งเป็นแนวคิดที่นำหลักการของเสรีประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนมาปฏิบัติกับ (treat) ความหลากหลายทางศาสนา, ความเชื่อ และวัฒนธรรม บนพื้นฐานของการเคารพความเสมอภาค (equality) และความยุติธรรม (fairness) ต่อประชาชนทุกศาสนา ทุกความเชื่อ และคนที่ไม่เชื่อหรือไม่นับถือศาสนา โดยถือว่าเรื่องศาสนา เรื่องความเชื่อ ไม่เชื่อ เป็นเรื่องเสรีภาพทางความคิดเห็น (freedom of conscience) ของปัจเจกบุคคล ขณะเดียวแนวคิดโลกวิสัยก็ให้หลักประกันเสรีภาพทางศาสนา ควบคู่กับเสรีภาพในการพูดหรือเสรีภาพในการแสดงออกด้วย

เมื่อเป็นเช่นนี้รัฐโลกวิสัยจึงต้องเป็นกลางทางศาสนา, ให้หลักประกันเสรีภาพและความเสมอภาคทางศาสนา, ไม่อุปถัมภ์, ไม่ให้สิทธิพิเศษแก่ศาสนาใดๆ และไม่ต่อต้านศาสนาหรือความเชื่อ ความไม่เชื่อใดๆ

ปัญหาคือ ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่จะเอาอย่างไร ถ้ายืนยันการแยกรัฐกับศาสนาหรือ secular state ก็ต้องยึดตามความเห็นคุณธนาธร คือรัฐต้องไม่อุปถัมภ์ศาสนาใดๆ แต่ถ้าเอาตามข้อเสนอของหะยีสุหรงเรื่องข้าราชการ 3 จังหวัดภาคใต้ต้องเป็นมุสลิมอย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ มีกฎหมายทางศาสนา และศาลศาสนา นี่ย่อมเป็นการกระจายอำนาจที่ขัดกับหลักการของ secular state ที่ให้สิทธิพิเศษด้วยเหตุผลทางศาสนาแก่ใครหรือคนกลุ่มใดไม่ได้

ปัญหาที่ตามมาของการกระจายอำนาจบนฐานของการให้สิทธิพิเศษแก่คนบางกลุ่มด้วยเหตุผลทางศาสนา ก็คือปัญหาแบบเดียวกันที่คุณบอกว่าคนพุทธไทยส่วนใหญ่มีสิทธิพิเศษมากกว่าชาวมุสลิม เพราะถ้าคุณบอกว่าชาวมุสลิม 3 จังหวัดภาคใต้คือประชากรชั้นสองเมื่อเทียบระดับประเทศที่คนส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธ คนในพื้นที่ 3 จังหวัดที่เป็นพุทธ, คริสต์ และคนไม่นับถือศาสนาเขาก็อ้างได้เช่นกันว่าเขาคือประชากรชั้นสองในพื้นที่ตรงนั้น ดังนั้นการกระจายอำนาจบนฐานของการให้สิทธิพิเศษทางศาสนามันจึงทั้งขัดหลักการพื้นฐานของ secular state และทั้งไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องประชากรชั้นสองได้เลย

ยกตัวอย่างเช่น หากมีกฎหมายศาสนาและศาลศาสนา คนไม่นับถือศาสนาที่เปิดห้องเรียนเพศวิถีในปัตตานีจะกลายเป็น "ประชากรชั้นสอง" ที่ต้องขึ้นศาลศาสนาไหม มีหลักประกันสิทธิเสรีภาพของพวกเขาอย่างไร เพราะตามหลักการของ secular state คนนับถือศาสนาและคนไม่นับถือศาสนา หรือมีความเชื่อในปรัชญาอื่นๆ ต้องมีสิทธิในเสรีภาพที่จะแสดงออกซึ่ง "อัตลักษณ์" (identity) ของตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน

ยิ่งกว่านั้น การกระจายอำนาจด้วยเหตุผลเรื่องให้สิทธิพิเศษทางศาสนา ย่อมมีคำถามสำคัญว่า อำนาจที่ว่ากระจายออกไปนั้นจะตกอยู่ในมือของคนกลุ่มใด ในกลุ่มทางศาสนา หรือกลุ่มผู้นำศาสนาเป็นหลักหรือเปล่า แต่โดยหลักการแล้วการกระจายอำนาจที่แท้จริง คนทุกศาสนา คนไม่นับถือศาสนาต้องมีสิทธิแบ่งปันอำนาจภายใต้กติกาที่เสรีและเป็นธรรมและไม่ถูกเลือกปฏิบัติเพราะเหตุผลทางศาสนาไม่ใช่หรือ

ทั้งหมดนี้ ผมเพียงต้องการแลกเปลี่ยนกับความเห็นของผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งผมสนับสนุนในเรื่องอุดมการณ์ "สร้างประชาธิปไตยและการกระจายอำนาจ" รวมทั้งสนับสนุนแนวคิดเรื่องแยกศาสนากับรัฐด้วย โดยผมตระหนักดีว่าความเห็นคุณธนาธรและคุณเปรมปพัทธเป็นเพียงความเห็นส่วนบุคคล ยังไม่ใช่นโยบายพรรค แต่คิดว่าเป็นความเห็นสำคัญที่เราควรร่วมกันถกเถียงแลกเปลี่ยนเพื่ออนาคตที่ดีกว่าของทุกคน
 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

เกิดดินถล่มในเหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง

Posted: 17 Mar 2018 10:53 PM PDT

ผอ.ฝ่ายวางแผนและบริหารเหมืองแม่เมาะ กฟผ. ระบุเกิดดินถล่มและสไลด์ตัวที่เหมืองแม่เมาะ จ.ลำปาง เมื่อวันที่ 17 มี.ค. บริเวณที่ทิ้งดินจากการขุดทำเหมืองที่มีความสูงกว่า 100 เมตร มีความจำเป็นต้องกันพื้นที่ไว้เพื่อความปลอดภัย ไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายในจุดที่เกิดเหตุเพราะขณะนี้ยังมีการสไลด์ตัวของดินในจุดเกิดเหตุ

 
 
18 มี.ค. 2561 อัศวิน วงค์หน่อแก้ว ผู้สื่อข่าวภูมิภาค สำนักข่าวทีนิวส์ จังหวัดลำปาง รายงานผ่าน เว็บไซต์ทีนิวส์ ว่าเมื่อเวลา 09.00 น. (18 มี.ค.) ได้เข้าไปติดตามเหตุการณ์ในพื้นที่เหมืองของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ซึ่งเป็นบริเวณที่ทิ้งดิน เขตบ้านหัวฝาย ม.1 ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง ได้เกิดดินถล่มและสไลด์ตัวลงในแนวยาวกว่า 1 กิโลเมตร ส่งผลทำให้เกิดดินสไลด์ตัวในแนวยาวถมถนนเส้นทางแม่เมาะ – ต.บ้านดง อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง โดยทำให้พื้นถนนคอสะพานขาด เป็นแนวแตกลึกลงไป นอกจากนี้ ดินที่เกิดสไลด์และเกิดแตกแยกยังได้กระทบต่อเสาไฟฟ้าคอนกรีตในพื้นที่เกิดล้มลงกว่า 50 ต้น รวมถึงยังกระทบต่อสายพานลำเลียงที่ได้รับผลกระทบเกิดทรุดตัวลงด้วยเช่นกัน
 
ขณะนี้ทาง กฟผ.ได้มีการคุมเข้มพื้นที่ ห้ามไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายในจุดเกิดเหตุ โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยปิดกันถนนทางเข้า  และถนนทางเข้าในจุดต่างๆ ก็มีการนำดินไปกองไว้ เพื่อไม่ให้รถผ่านเข้าไปด้วย ซึ่งในจุดเกิดเหตุนั้นมีดินถล่มลงมาทับถนนสายดังกล่าว และคลองน้ำ จึงทำให้ชาวบ้านที่ใช้เส้นทางดังกล่าวเป็นประจำต้องอ้อมไปใช้เส้นทางอื่นระยะทางไกลกว่า 5 กิโลเมตร ทำให้ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปติดตามเหตุการณ์ได้เฉพาะบริเวณแนวดินสไลด์ที่อยู่ด้านล่างสุดเท่านั้น เพราะไม่สามารถเข้าไปถึงจุดที่เกิดเหตุ เนื่องจากเป็นพื้นที่หวงห้ามของบริษัทเอกชนที่เข้ามาดำเนินการ
 
ด้านนายประจวบ ดอนคำมูล ผู้อำนวยการฝ่ายวางแผน และบริหารเหมืองแม่เมาะ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) อ.แม่เมาะ จ.ลำปาง เปิดเผยผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า เหตุดินถล่มและสไลด์ตัวลงนั้น เกิดเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 17 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา โดยเป็นบริเวณที่ทิ้งดินจากการขุดทำเหมืองที่มีความสูงกว่า 100 เมตร ซึ่งขณะนี้ทาง กฟผ. มีความจำเป็นต้องกันพื้นที่ไว้เพื่อความปลอดภัย ไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายในจุดที่เกิดเหตุ เพราะขณะนี้ยังมีการสไลด์ตัวของดินในจุดเกิดเหตุ
 
"สาเหตุนั้นของการเกิดครั้งนี้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของ กฟผ.กำลังรวบรวมข้อมูล เพื่อที่จะชี้แจงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว สำหรับสายพานลำเลียงทิ้งดิน ที่พบมีภาพเหตุการณ์ออกเผยแพร่ออกไปนั้น และสายพานดังกล่าวได้รับผลกระทบจากการสไลด์ และทรุดตัวลงของดิน เป็นสายพานลำเลียงใหม่ ที่ยังไม่ได้เปิดใช้งาน"
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

รองผู้ว่าฯ ขอนแก่นขอโทษกรณีเอกสาร 'ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่' ระบุตั้ง กก.สอบแล้ว

Posted: 17 Mar 2018 10:28 PM PDT

'สุชัย บุตรสาระ' รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นระบุไม่ทราบเนื้อหาและความเป็นมาของโครงการนี้ ต้นเรื่องคือสำนักงานส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่นได้ร่างหนังสือ รู้สึกเสียใจ-ขอโทษประชาชน สั่งการตั้งคณะกรรมการสอบหน่วยงานที่ร่างหนังสือดังกล่าวโดยให้ทราบผลภายใน 7 วัน ด้าน มทภ.2 เชื่อว่ามีคนวางยารองผู้ว่าฯ

 
18 มี.ค. 2561 เว็บไซต์ข่าวสด รายงานว่าหลังจากโลกออนไลน์ได้มีการแชร์โพสต์หนังสือราชกรด่วนที่สุด โดยออกศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ที่ ขก 0023 1/7063 ลงวันที่ 9 มีนาคม 2561 เรื่องขอเชิญประชุมเพื่อเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี โดยในหนังสือดังกล่าวมีข้อความว่าทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่ ซึ่งออกโดยนายสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น จนทำให้มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ในสังคมออนไลน์กันอย่างมา
 
ล่าสุดนายสุชัย บุตรสาระ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ได้ออกมากล่าวถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าโดยเนื้อหาหนังสือขอเชิญร่วมประชุมเพื่อเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรี ซึ่งมีข้อความบางตอนที่สำนักงานส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่นร่างขึ้นมาเนื้อหาใจความวรรคหนึ่งว่า "ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่" เสนอขึ้นมาให้ตนเองเซ็น เพื่อให้เรื่องดังกล่าวทันกับการต้อนรับนายกรัฐมนตรี โดยในเรื่องดังกล่าวเจ้าของโครงการเกี่ยวกับการศึกษาของเด็กที่อยู่ในความรับผิดชอบเพื่อดำเนินการวัตถุประสงค์เป็นหน้าที่ของรองผู้ว่าฯ อีกท่านหนึ่งที่เคยประชุมโครงการนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
 
ในเรื่องดังกล่าวนี้โดยที่ตนเองไม่ทราบเนื้อหาและความเป็นมาของโครงการนี้แต่อย่างใด แต่ด้วยเนื่องในห้วงเวลาในการลงนามดังกล่าวในหนังสือขอเชิญประชุมเพื่อเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรีที่รับผิดชอบในการดำเนินการภารกิจทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงไม่อยู่ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการในต่างจังหวัด ทำให้ตนเองซึ่งปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่นได้ลงนามในหนังสือดังกล่าว โดยต้นเรื่องคือสำนักงานส่งเสริมปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่นได้ร่างหนังสือเพื่อขอเชิญประชุมเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรีเสนอขึ้นมาให้เสนอมายังตนให้ลงนามในหนังสือเวียนไปยังส่วนราชการต่างๆ โดยมีถ้อยคำที่ไม่เหมาะสมทำให้มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ
 
ในบางส่วนของหนังสือเวียนฉบับดังกล่าวมีข้อความว่าให้สำนักงานส่งเสริมกรมการปกครองส่วนท้องถิ่นจังหวัดขอนแก่น ศึกษาธิการจังหวัด เขตพื้นที่การศึกษาและสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ร่วมกันดำเนินการภารกิจ 'ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่' ข้อความที่ไม่เหมาะสมทำให้ความเข้าใจคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญเกี่ยวกับเรื่องนี้ตนเองมีความรู้สึกเสียใจในการร่างหนังสือดังกล่าว ตนจึงอยากขอโทษประชาชนที่เห็นหนังสือดังกล่าวแล้วนั้นจากการที่ใช้ถ้อยคำอันไม่เหมาะสมได้สั่งการตั้งคณะกรรมการสอบหน่วยงานที่ร่างหนังสือดังกล่าว โดยให้ทราบผลภายใน 7 วัน
 
มทภ.2 เชื่อว่ามีคนวางยารองผู้ว่าฯ
 
เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่า พล.ท.ธรากร ธรรมวินทร แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่าไม่ทราบว่าเอกสารดังกล่าวหลุดไปได้อย่างไร ตนกำลังสอบถามรองผู้ว่าฯ ซึ่งอาจจะผิดพลาดทางเทคนิคหรือไม่ เราก็ไม่ทราบแต่มองว่าคำดังกล่าวไม่ดีเหมือนไปดูถูกคนในพื้นที่ซึ่งตนก็พึ่งเห็นเอกสารเมื่อวานนี้ (17 มี.ค.) 
 
เมื่อถามว่าจะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่เพราะเหมือนไปดูถูกประชาชน จ.ข่อนแก่น และเป็นการต้อนรับนายกรัฐมนตรีด้วย พล.ท.ธรากร กล่าวว่ายอมรับว่าอาจกระทบบ้าง แต่เราสร้างความเข้าใจ ต้องดูที่เจตนาของผู้กระทำ ต้องไปตรวจสอบกันว่าใครเป็นคนพิมพ์เอกสาร ใครเป็นคนร่างเอกสาร ใครเป็นคนตรวจเอกสาร เพราะเอกสารออกมาทางนั้น ต้องดูคนเหล่านี้มีพฤติกรรมอย่างไร
 
"เชื่อว่ามีคนวางยารองผู้ว่าฯ  คนร่าง คนพิมพ์ คนตรวจเอกสาร น่าจะรู้ว่าคำว่า โง่ ไม่เหมาะ ไม่ควร แล้วนำมาให้รองผู้ว่าฯเซ็นต์ ซึ่งเรื่องดังกล่าวถือเร่งด่วน เพราะเตรียมต้อนรับนายกรัฐมนตรี รองผู้ว่าฯ จึงไม่ได้ดูรายละเอียดเนื้อหาการใช้คำก่อนจะเซ็นต์ลงนามไป คนที่พูดก็พูดไม่หมด ไม่บอกประโยคสำคัญนั้น หากบอกหรือสอบถามรองผู้ว่าฯ ว่าคำนี้เหมาะสมหรือไม่ เชื่อว่ารองผู้ว่าฯ ต้องดูและแก้ไขไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ ตอนนี้ให้ตรวจสอบกันอยู่เจ้าหน้าที่ก็คุยกัน" พล.ท.ธรากร กล่าว
 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

โพลชี้ผู้ตอบแบบสอบถาม 62.32% อยากได้พรรคใหม่เป็นรัฐบาล

Posted: 17 Mar 2018 10:07 PM PDT

นิด้าโพลเผยผลสำรวจความคิดเห็นประชาชน 62.32% อยากได้พรรคใหม่เป็นรัฐบาล 38.64% หนุน 'ประยุทธ์' นั่งนายกรัฐมนตรีคนต่อไป 'สุดารัตน์' ได้ 13.04% 'อภิสิทธ์' รั้งท้ายที่ 12.24%

 
18 มี.ค. 2561 ศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง "อยากได้ใครเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ตามกฎหมายเลือกตั้งปัจจุบัน ครั้งที่ 1 โดยได้ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 15-16 มี.ค. 2561 จำนวน 1,250 คน พบว่าประชาชนร้อยละ 62.32 อยากได้พรรคการเมืองใหม่เข้ามาเป็นรัฐบาล เพราะอยากเห็นคนรุ่นใหม นโยบายใหม แนวคิดใหม่ เข้ามาบริหารและพัฒนาประเทศในทางที่ดีขึ้น อีกทั้งเบื่อการบริหารงานของพรรคการเมืองเก่า อาจกลับเข้ามาเป็นแบบเดิมอีก ขณะที่ร้อยละ 38.64 ประชาชนสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีตามกฎหมายเลือกตั้งปัจจุบัน รองลงมาร้อยละ 13.04 สนับสนุนให้คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย และร้อยละ 12.24 สนับสนุนให้นายอภิสิทธ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ออกหมายเรียกสื่อรายงานตัว 21 มี.ค.นี้ กรณีเผยแพร่ข่าวซ้อมทรมานชายแดนใต้

Posted: 17 Mar 2018 09:53 PM PDT

สภ.เมืองปัตตานีส่งหมายเรียก 'ปิยะโชติ อินทรนิวาส' หัวหน้าศูนย์ข่าวผู้จัดการ-NEWS1 หาดใหญ่ ไปรายงานตัว 21 มี.ค.นี้ หลังทหารแจ้งความหมิ่นประมาทกรณีรายงานข่าวอดีตผู้ต้องสงสัยพื้นที่ชายแดนใต้ระบุถูกซ้อมทรมานระหว่างถูกควบคุมตัวในค่ายทหาร ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ ด้าน ICJ แถลงกลางที่ประชุมสหประชาชาติ จี้ประเทศไทยหยุดใช้กฎหมายคุกคามและปิดปากประชาชน

 
 
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 2561 MGR Online รายงานว่า สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่ภาพหมายเรียกของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองปัตตานี ที่แจ้งให้ นายปิยะโชติ อินทรนิวาส หัวหน้าศูนย์ข่าวหาดใหญ่เครือผู้จัดการ-NEWS1 ให้ไปรายงานตัว ณ สภ.เมืองปัตตานี เวลา 09.00 น. ในวันที่ 21 มี.ค.2561 กรณีมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีที่มีผู้กล่าวหาได้มาแจ้งความร้องทุกข์ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ทั้งนี้เป็นผลจาก กอ.รมน. โดย พ.อ.หาญพล เพชรม่วง ผบ.ทหารพราน 43 ค่ายอิงยุทธบริหาร จ.ปัตตานี รับมอบอำนาจช่วงจาก กอ.รมน.ภาค 4 ได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ไว้เมื่อวันที่ 9 ก.พ.ที่ผ่านมา
 
สำหรับการแจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว สืบเนื่องจากเว็บไซต์ MGR Online ได้รายงานข่าวกรณีมีเหตุอดีตผู้ต้องสงสัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้ถูกซ้อมทรมานระหว่างถูกควบคุมตัวในค่ายทหารเมื่อวันที่ 5 ก.พ.2561 ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับหน่วยงานที่รับผิดชอบในพื้นที่ แต่กลับไม่มีการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงที่ประกอบด้วยคณะกรรมการจากทุกฝ่ายที่มีการยอมรับของสังคม เพื่อให้มีสอบสวนหาข้อเท็จจริงจากกรณีดังกล่าว มากกว่าที่จะให้ทางหน่วยทหารสอบสวนกันเอง
 
ภายหลังที่มีการเผยแพร่หมายเรียกให้นายปิยะโชติไปรายงานตัวที่ สภ.เมืองปัตตานีไม่นาน ทำให้ประชาชนที่ได้รับทราบข่าวสารเป็นห่วงในเรื่องในเรื่องความเป็นธรรม และการแสดงความคิดเห็นที่อาจจะถูกปิดกั้น โดยเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยการสุ่มเสี่ยงจะถูกดำเนินคดี เพราะสื่อมวลชน หรือสำนักข่าวยังต้องถูกดำเนินคดีจากการนำเสนอสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ จึงมีหลายภาคส่วนมีการวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง และพร้อมแสดงท่าทีที่จะให้กำลังใจสื่อเครือผู้จัดการ-NEWS1 ในการทำหน้าที่เป็นกระบอกเสียงแทนประชาชน โดยเฉพาะคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งจะมีการละหมาดขอพรให้ตามมาด้วยในหลายพื้นที่
 
นายมะแซ มูซอ ประชาชนชาวจังหวัดยะลา กล่าวว่า หลังจากที่ได้ทราบข่าวเว็บไซต์ MGR Online ถูกทหารแจ้งความดำเนินคดีที่ สภ.เมืองปัตตานี ก็ทำให้ต้องหันกลับมารู้สึกเป็นห่วงชาวบ้านมากยิ่งขึ้น จากเมื่อก่อนมีความรู้สึกกังวลถึงความปลอดภัยของทุกคนอยู่แล้ว แต่หลังจากที่เว็บไซต์ผู้จัดการถูกทหารแจ้งความดำเนินคดีเพราะนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์กับสังคม เวลานี้ก็ยิ่งทำให้รู้สึกเพิ่มกังวลมากยิ่งขึ้นมากมาย
 
"อยากเรียกร้องให้ทุกฝ่ายมองถึงปัญหาในพื้นที่อย่างแท้จริง หยุดสร้างความขัดแย้งหวาดระแวงให้กับประชาชน ผมมั่นใจว่าสื่อก็ต้องมุ่งมั่นทำหน้าที่ของสื่อให้เป็นอย่างดีที่สุด โดยพาะเว็บไซต์ของสื่อเครือผู้จัดการเขาได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา เพราะส่วนตัวก็ได้ติดตามข่าวกรณีดังกล่าวเช่นกัน ทางเว็บผู้จัดการมีการเสนอข่าวรอบด้าน ทั้งด้านของชาวบ้านที่ถูกซ้อม และข่าวสารของเจ้าหน้าที่ทหาร รวมถึงฝ่ายความมั่นคงต่างๆ"
 
นายมะแซกล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ในส่วนตัวถือว่าสื่อเครือผู้จัดการ-NEWS1 เขาทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ตนเองจึงอยากให้เรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธิ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ให้ความสำคัญกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างเร่งด่วน และขอเป็นกำลังใจให้กับเว็บข่าว MGR Online ยืนหยัดสู้ต่อไปเพื่อประเทศชาติและประชาชน
 
ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค.2561 คณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (International Commission of Jurists หรือ ICJ) ได้แถลงการณ์ด้วยวาจาเรียกร้องให้ประเทศไทยยุติการใช้กฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ณ การประชุมคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council) สมัยที่ 37 ณ นครเจนีวา ในช่วง General Debate ของ Item 4 ว่าด้วยสถานการณ์สิทธิมนุษยชนที่ต้องการให้คณะมนตรีให้ความสนใจ (Human rights situations that require the Council's attention) โดยมีข้อความดังต่อไปนี้
 
"เรียนท่านประธาน ICJ ยังคงกังวลต่อการใช้กฎหมายเพื่อจำกัดสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่มีมาอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย ระบบกฎหมายถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่ถูกต้อง เพื่อคุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ ทนายความ สื่อมวลชน ผู้เสียหายจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน และครอบครัวของพวกเขา โดยผ่านคำสั่งทางทหาร กฎหมายหมิ่นประมาททางอาญา การดำเนินคดีในข้อหายุยงปลุกปั่น พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ...
 
"ยกตัวอย่างแค่ในช่วงปีนี้ และแค่ในกรณีที่ทหารเป็นผู้แจ้งความร้องทุกข์ ตำรวจได้ดำเนินคดีกับบุคคลมากกว่า 50 คนแล้ว ในฐานละเมิดคำสั่งห้ามการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ซึ่งเป็นฐานความผิดที่ถูกกำหนดขึ้นหลังการรัฐประหารในเดือน พ.ค.2557 เพียงเพราะใช้สิทธิที่ตนพึงมีตามหลักสิทธิมนุษยชน ประชาชนกลับตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะถูกจำคุก...
 
"ในกรณีหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ตำรวจดำเนินคดีกับนักวิชาการและนักศึกษา 5 คน หลังจากมีป้าย 'เวทีวิชาการไม่ใช่ค่ายทหาร' ถูกนำมาติดแสดงในบริเวณมหาวิทยาลัย...
 
"ในเดือน ก.พ.เจ้าหน้าที่ความมั่นคงก็ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ฐานหมิ่นประมาทกับ นายอิสมาแอ เต๊ะ ผู้ที่กล่าวอ้างว่าเป็นผู้เสียหายจากการถูกซ้อมทรมาน เพียงเพราะว่าเขาได้อธิบายในรายการโทรทัศน์ว่า ตนเคยถูกกระทำการทรมานและการได้รับการปฏิบัติที่ทารุณ (ill-treatment) ในค่ายทหาร...
 
"ICJ ขอเรียกร้องให้ประเทศไทยยกเลิกและแก้ไขกฎหมาย คำสั่ง และประกาศทั้งหลาย ที่ขัดต่อหลักนิติธรรม (rule of law) และการปกป้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และป้องกันมิให้ระบบยุติธรรมถูกนำไปใช้เพื่อคุกคามบุคคลใดๆ ที่ใช้สิทธิที่ตนพึงมีตามหลักสิทธิมนุษยชน ขอขอบคุณท่านประธาน"
 
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยได้ใช้สิทธิในการตอบและได้แถลงว่า ในประเด็นของการเคารพเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมนั้น "เราต้องเคารพความสมดุลระหว่างการใช้เสรีภาพดังกล่าวกับความสงบและเรียบร้อยของสังคมโดยรวม" ผู้แทนของประเทศไทยยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า "รัฐบาลไม่สนับสนุนข้อความเนื้อหาใดๆ ที่จะนำไปสู่ความแตกแยกในสังคมและกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของผู้อื่น" และ "เน้นย้ำถึงความสำคัญของการเคารพกฎหมายและกฎภายในประเทศ ซึ่งถูกร่างขึ้นเพื่อรับประกันสิทธิและเสรีภาพของบุคคลทุกคน รวมถึงความสงบเรียบร้อยของสังคม"
 
นอกจากนี้ผู้แทนประเทศไทยยังได้อธิบายถึงก้าวขั้นที่ประเทศไทยดำเนินการ เพื่อให้เกิดการเคารพต่อสิทธิมนุษยชน ได้แก่ การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายและเจ้าหน้าที่ทหาร เพื่อป้องกันการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการใช้กฎหมายในทางที่ผิด การให้ความสำคัญกับนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและสื่อมวลชนในการพัฒนาสิทธิมนุษยชนในประเทศ และการเสนอกฎหมายเพื่อป้องกันการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์ เพื่อระงับการมีส่วนร่วมของสาธารณชน (SLAPP) โดยศาลยุติธรรม
 
(สำหรับข้อความต้นฉบับภาษาอังกฤษ และวีดีโอคำตอบของผู้แทนประเทศไทยฉบับเต็ม (ภาษาอังกฤษ) สามารถดูได้ที่ https://www.icj.org/hrc37thailand/)
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

จีนเตรียมอ้างใช้ระบบ 'โซเชียลเครดิต' ห้ามคนคะแนนต่ำซื้อตั๋วเดินทาง

Posted: 17 Mar 2018 09:33 PM PDT

ระบบเครดิตทางสังคมของประเทศจีนกำลังจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของประชาชน เมื่อทางการจีนมีแผนการจำกัดคนที่มีคะแนนโซเชียลเครดิตต่ำไม่ให้สามารถซื้อตั๋วเครื่องบินหรือตั๋วรถไฟได้เริ่มต้นจาก พ.ค. ที่จะถึงนี้

 
 
18 มี.ค. 2561 สื่อต่างๆ เคยนำเสนอเรื่อง "เครดิตทางสังคม" ที่เป็นแนวคิดของรัฐบาลจีนมาก่อน โดยระบบดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลจีนที่คอยสอดส่องให้คะแนนคนในเรื่องต่างๆ ได้ โดยเรื่องที่จะทำให้ประชาชนถูกตัดคะแนนไม่เพียงเพราะแค่พฤติกรรมในเชิงอาชญากรรมหรือความผิดทางการเงินเท่านั้น แต่ยังให้คะแนนสูงต่ำตามสิ่งที่ประชาชนกระทำ สิ่งที่พูด และสิ่งที่ซื้อด้วย และมีการลงโทษคนที่คะแนนต่ำด้วยหรือออกข้อจำกัดต่างๆ
 
ถึงแม้ว่าทางการจีนจะมีผนเปิดใช้ระบบนี้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2563 แต่ก็มีการออกบางส่วนของระบบนี้มาใช้กับประชาชนจีนบ้างแล้ว เช่นในกรณีล่าสุดมีการประกาศจากคณะกรรมการปฏิรูปและพัฒนาแห่งชาติจีนว่าประชาชนจีนคนใดที่มีคะแนนโซเชียลเครดิตต่ำมากจะถูกห้ามไม่ให้ซื้อตั๋วเครื่องบินหรือตั๋วรถไฟเป็นเวลาสูงสุด 1 ปี
 
ก่อนหน้านี้รัฐบาลจีนเคยเน้นจำกัดการเดินทางของคนที่มีหนี้สินเป็นจำนวนมาก แต่ในการประกาศจำกัดการเดินทางครั้งล่าสุดเป็นส่วนหนึ่งของการพยายามควบคุมทางสังคมกับชาวจีน ซึ่งฮิวแมนไรท์วอทช์เคยรายงานไว้ว่าทางการจีนเคยกระทำการลงโทษกีดกันประชาชนที่ถูกแปะป้ายแย่ๆ ไปแล้ว เช่นคนที่ถูกกล่าวหาว่า "เผยแพร่ข้อมูลเท็จเกี่ยวกับการก่อการร้าย" คนที่ "สร้างปัญหา" บนเครื่องบิน ใช้ตั๋วที่หมดอายุ หรือเคยถูกจับได้ว่าสูบบุหรี่บนรถไฟ
 
แต่ปัญหาของระบบนี้คือประชาชนมักจะถูกแปะป้ายว่าทำเรื่องไม่ดีเพียงเพราะเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อยอย่างการจอดจักรยานไว้บนทางเท้า หรือแม้กระทั่งการถูกกล่าวหาว่าแถลงขอโทษแบบ "ไม่จริงใจ" และขณะเดียวกันก็มีปัญหาเรื่องความโปร่งใสเมื่อบางคนนึกไม่ออกว่าพวกเขาไปทำอะไรไว้ถึงโดนลงโทษ และไม่รู้ว่าจะไปร้องเรียนความผิดพลาดของระบบได้ที่ใดบ้าง
 
ฮิวแมนไรท์วอทช์ยกตัวอย่างกรณีของหลี่เสี่ยวหลิน คนที่เดินทางไปทำงานห่างจากบ้านตัวเอง 1,200 ไมล์ (ราว 1,900 กม.) แต่ตอนขากลับเขาไม่สามารถใช้บัตรประชาชนของตัวเองซื้อตั๋วกลับได้ เมื่อเข้าไปดูในทะเบียนเว็บไซต์ก็พบว่าเขาถูกตราว่า "ไม่น่าเชื่อถือ" เพราะไม่สามารถทำตามคำสั่งศาลในการเขียนคำขอโทษ ซึ่งเขาก็เขียนคำขอโทษส่งไปแล้วและนึกว่าคดีจบไปแต่ก็เพิ่งมารู้เอาทีหลังว่าศาลอ้างว่าคำขอโทษของเขา "ไม่จริงใจ" กระนั้นก็ตามการลงโทษเช่นนี้ก็ทำให้เขาเดินทางกลับบ้านไม่ได้
 
"เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลทางการจีนหวังจะสร้างความจริงที่ความหยุมหยิมของระบบราชการส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญในการจำกัดสิทธิของประชาชน" มายา หวัง นักวิจัยอาวุโสของฮิวแมนไรท์วอทช์เคยเขียนรายงานเรื่องนี้ไว้เมื่อเดือน ธ.ค. 2560
 
 
เรียบเรียงจาก
 
China will ban people with poor 'social credit' from planes and trains, The Verge, 16-03-2018
 
China's Chilling 'Social Credit' Blacklist, Human Rights Watch, 12-03-2018
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น