โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันอังคารที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

ไม่ได้มาเล่นๆ บก.ลายจุด ชวนเพื่อนร่วมอุดมเกรียน ไปจดจองชื่อ 'พรรคเกรียน' พรุ่งนี้ที่ กกต.

Posted: 20 Mar 2018 09:12 AM PDT

สมบัติ บุญงามอนงค์ ย้ำเพื่อนร่วมอุดมเกรียน สร้างพรรคการเมืองที่ "อารมณ์ดี สร้างสรรค์ แหวกทุกขนบทางการเมือง" ไปจดจองชื่อ 'พรรคเกรียน' พรุ่งนี้ที่ กกต. พร้อมชวนคนรักหมา บุกถามกรมปศุสัตว์ หลังมีข่าว "เซ็ตซีโร่สุนัขจรจัด!"

20 มี.ค.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ เมื่อเวลาประมาณ 20.30 น. ที่ผ่านมา สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ผู้ประกาศตั้งพรรคการเมืองที่ชื่อว่า "พรรคเกรียน" โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวในลักษณะสาธารณะว่า พรรคเกรียนเฟสแรกเปิดจองให้ประชาชนเป็นเจ้าของ สนใจสามารถมาลงชื่อร่วมเป็นหุ้นส่วนพรรคการเมืองอารมณ์ดี สร้างสรรค์ แหวกทุกขนบทางการเมือง

สมบัติ นัดหมายผู้ร่วมอุดมเกรียน ให้ไปพบกันที่ร้านกาแฟ d'oro ชั้น 1 ศูนย์ราชการฯ อาคารบี แจ้งวัฒนะ วันพุธที่ 21 มี.ค.นี้ เวลา 10 โมงเช้า ต่อจากนั้น 11 โมงจะขึ้นไปที่ กกต. ด้วยกันหลังจากดำเนินรวบรวมเอกสารพร้อมกันเรียบร้อย โดยเอกสารที่ต้องใช้ ประกอบด้วย 1.สำเนาบัตรประชาชน 2.สำเนาทะเบียนบ้าน และ 3.รูปถ่าย 1 นิ้ว จำนวน 1 ใบ โดยที่ ยังไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายใด

"กฏหมายระบุไว้ 15 คนสำหรับการยื่นขอจองชื่อ ถ้าไม่ครบ กลับบ้านตัวใครตัวมัน" สมบัติ ระบุ

วันเดียวกัน สมบัติ ยังโพสต์ชักชวน "คนรักหมา" ไปถามความชัดเจนของเรื่องกระแสข่าวการ SET ZERO (เซ็ตซีโร่) สุนัขจรจัด เพื่อแพร่ระบาดโรคพิษสุนัขบ้า ที่กรมปศุสัตว์ โดยระบุว่า  เพื่อเป็นการตอกย้ำว่าพรรคเกรียน "ไม่หาเสียง หาแต่เรื่อง" หลังจากไปจดแจ้งชื่อพรรคที่ กกต ในช่วงเช้าแล้ว ตอนบ่ายโมง(พุธ 21 มีค) ขอเชิญชวนคนรักหมาไปเจอกันที่กรมปศุสัตว์ BTS พญาไท เนื่องจากเราพบว่ามีเรื่อง "Set Zero" แถวๆนั้น ยังไงก็ต้องมีเรื่องกัน #กลุ่มเพื่อนลายด่าง #พรรคเกรียน"

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กัมพูชาเตรียมเข็นเกม "อังกอร์เรียน" ใช้เทคนิค AR เกมแรกของประเทศ

Posted: 20 Mar 2018 08:21 AM PDT

บริษัทผลิตเกมในกัมพูชากำลังพัฒนาเกม "อังกอร์เรียน" โดยจะเป็นเกมที่ใช้เทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม หรือ AR เกมแรกของประเทศ เล่าเรื่องราว 3 ฮีโร่ในตำนาน-ปราบทศกัณฐ์ที่ขโมยของวิเศษจากวิหารบนยอดเขาพนมกุเลน ด้านผู้พัฒนาเปิดเผยความฝันอยากส่งออกเกมสู่ต่างประเทศ

20 มี.ค. 2561 ยก ชิวัลรี ผู้ร่วมก่อตั้งและผู้อำนวยการฝ่ายครีเอทีฟของสตูดิโอสะบายโอสจา (Sabay Osja) เปิดเผยความทะเยอทะยานอยากให้เกมของกัมพูชาออกสู่สายตาชาวโลก โดยบอกว่าในขณะที่กัมพูชามีผู้ผลิตเกมให้กับสมาร์ทโฟนจำนวนมากแล้วชิวัลรีอยากผลิตเกมให้กับเครื่องเกมที่เล่นตามบ้านหรือที่เรียกว่าเกมคอนโซลด้วย

สะบายโอสจาเป็นสตูดิโอผลิดเกมที่เคยได้รับรางวัล พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่นำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality) มาใช้กับเกมในกัมพูชา จากเดิมที่เทคโนโลยีนี้เคยนำมาใช้ในเกมที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่างโปเกมอน-โก

ตัวอย่างเกม Angkorian

เกมที่พวกเขาหวังจะนำเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริมมาใช้ชื่อเกมว่า "อังกอร์เรียน" (Angkorian) มีการเปิดเผยแนวคิดตัวเกมนี้มาตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งจะเป็นเกมแนวแอ็กชั่นผจญภัยกราฟฟิกสามมิติในมุมมองจากด้านข้าง เนื้อหาเกี่ยวกับยุคสมัยวีรชนแห่งจักรวรรดิเขมร มีตัวร้ายชื่อ "ทศกัณฐ์" (Tusakan) เป็นปีศาจที่มีอำนาจ ใช้พลังจากความมืด ตัวร้ายได้ขโมยคริสตัลศักดิสิทธิ์จากอารามแห่งแสงสว่างที่ยอดเขาพนมกุเลน ทำให้วีรชนทั้ง 3 ต้องต่อสู้กับทศกัณฐ์และลูกน้องปีศาจเพื่อนำคริสตัลศักดิสิทธิ์คืนสู่อาราม และคืนความสงบสุขแก่ดินแดน

ในขณะที่อังกอร์เรียนได้รับอิทธิพลจากเกมชื่อดังจากญี่ปุ่นและตะวันตกอย่าง Devil May Cry, God of War และ Overwatch ในเกมก็มีการนำเสนอฉากอย่างนครวัดและเขาพนมกุเลน รวมถึงมีเนื้อเรื่องที่สะท้อนภาพชีวิตในประวัติศาสตร์และความเชื่อของวัฒนธรรมกัมพูชา

ชิวัลรีบอกว่าเขาต้องการแสดงให้ผู้เล่นชาวต่างชาติเห็นถึงวัฒนธรรมของกัมพูชาขณะเดียวกันก็เชื่อว่าจะขายผู้เล่นกัมพูชาที่ดึงดูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบชาตินิยมได้ ซึ่งดูเหมือนว่านักลงทุนทั้งในกัมพูชาและจากต่างชาติก็ชื่นชอบ พวกเขามีแผนจะวางจำหน่ายลงเรื่องเกมคอนโซลทั้งเพลย์สเตชัน นินเทนโดสวิตช์ รวมถึงแอพพลิเคชันฉบับมือถือ

ถึงแม้ว่าการวิจัยตลาดเกมในกัมพูชายังมีน้อย แต่ เอีย อวี ประธานกรรมการบริหารของสะบายโอสจาก็เชื่อมั่นว่าเกมของพวกเขาจะขายได้เพราะในกัมพชามีตลาดคนเล่นเกมที่เป็นคนรุ่นใหม่กับชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีงานวิจัยระบุว่ามีการบูมของตลาดไอทีภายในประเทศกัมพูชาเอง

เรียบเรียงจาก

Fearless heroes needed for Cambodia's first console game, Phnom Penh Post, 06-03-2018

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลอุทธรณ์รับฟ้องกรณี "รายการข่าวพลเมืองไทยพีบีเอส" หมิ่นประมาทเหมืองทอง ชี้คดีมีมูล

Posted: 20 Mar 2018 07:44 AM PDT

ศาลอุทธรณ์รับฟ้องกรณี บริษัททุ่งคำ(เหมืองแร่ทองคำจังหวัดเลย) ฟ้องหมิ่นประมาทรายการข่าวพลเมืองไทยพีบีเอส ชี้คดีมีมูลเหตุให้พิจารณาว่าติชมโดยสุจริตหรือไม่

20 มี.ค. 2561 นักข่าวพลเมืองTPBS รายงานว่า เวลา 9.30 น. ห้องพิจารณาคดี 812 ศาลอาญา รัชดา ศาลอ่านคำพิพากษา คดีดำที่ 2355/2560 คดีแดงที่ 887/2561ในคดีที่บริษัท ทุ่งคำ จำกัด เจ้าของสัมปทานเหมืองแร่ทองคำ อ.วังสะพุง จ.เลย โดยนายสมชาย ไกรสุทธิวงศ์ ในฐานะผู้รับมอบอำนาจ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสและบุคลากรรวม 5 คน ในความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาด้วยเอกสารและโทรทัศน์ 

จากกรณีการออกอากาศรายการข่าวพลเมือง ตอนค่ายเยาวชนฮักบ้านเจ้าของ เมื่อเดือน ก.ย.2558 ซึ่งพูดถึงกรณีลำน้ำฮวยซึ่งเป็นลำน้ำในพื้นที่ชุมชนอาจปนเปื้อนสารพิษจากกิจการเหมืองแร่ โดยโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นเงิน 50 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2559 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีไม่มีมูล และได้มีคำพิพากษายกฟ้อง ต่อมาโจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำพิพากษา โดยศาลอุทธรณ์รับเมื่อวันที่ 20 พ.ย.2560

ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 23 ม.ค. 2561 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ประทับฟ้องโจทก์ในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กับรับฟ้องโจทก์ในคดีส่วนแพ่งไว้พิจารณา นอกจากที่ให้แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาชั้นต้น 

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ให้ความเห็นว่าข้อเท็จจริงตามมูลฟ้องของโจทก์ ถ้อยคำที่ว่า "หกหมู่บ้าน ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง แห่งนี้เป็นพื้นที่ได้รับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำ โดยลำน้ำฮวยมีสารปนเปื้อนทำให้ใช้ดื่มใช้กินไม่ได้" มีลักษณะในการยืนยันข้อเท็จจริงที่ทำให้ประชาชนทั่วไปที่รับชมทางโทรทัศน์เข้าใจได้ว่าเหมืองแร่ทองคำของโจทก์เป็นต้นเหตุ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คดีมีมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนเป็นการติชมโดยสุจริตหรือไม่ต้องรับฟังในชั้นพิจารณาต่อไป

สำหรับความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพ์ฯ โจทก์ไม่มีหลักฐานเพียงพอให้รับฟังว่าเป็นการกระทำของจำเลย คดีนัดพร้อมอีกครั้งวันที่ 21 พ.ค. 2561 เวลา 9.00 น.ให้ออกหมายเรียกจำเลยทั้ง 5 ให้มาในวันนัด

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กทม. - สปสช. - บขส. เปิดงาน 'บัตรทอง ออนทัวร์' ช่วยคนพื้นที่ กทม.เข้าถึงสิทธิ

Posted: 20 Mar 2018 06:41 AM PDT

กทม. - สปสช. - บริษัท ขนส่ง จำกัด เปิดงาน 'บัตรทอง ออนทัวร์' ร่วมจัดตั้งจุดประชาสัมพันธ์ รับลงทะเบียนสิทธิบัตรทอง สถานีขนส่งหมอชิต ดูแลคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ กทม. เพิ่มความสะดวกคนต่างจังหวัดเปลี่ยนหน่วยบริการ ใช้สิทธิบัตรทองในเขต กทม.ได้ ช่วยลดอุปสรรคให้เข้าถึงการรักษา
 
 
20 มี.ค. 2561 รายงานข่าวระบุว่า ที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ  พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เป็นประธานพิธีเปิดงาน "บัตรทอง ออนทัวร์" จัดตั้งจุดรับลงทะเบียนและประชาสัมพันธ์สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) เชิงรุก ณ สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (หมอชิต) โดยมี อนุช สุวรรณสทิศกร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายบริหาร บริษัท ขนส่ง จำกัด นพ.ศักดิ์ชัย กาญจนวัฒนา เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และ นพ.วีระพันธ์  ลีธนะกุล ผู้อำนวยการ สปสช.เขต 13 กรุงเทพมหานคร รวมถึงประชาชนเข้าร่วมงาน
 
พล.ต.อ.อัศวิน กล่าวว่า 1 ใน 5 นโยบายทันใจของกรุงเทพมหานครคือ "การดูแลคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน" การเข้าถึงการรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น แต่ด้วยกรุงเทพมหานครเป็นเมืองขนาดใหญ่ ทำให้มีประชาชนต่างจังหวัดเข้ามาพักอาศัยเป็นจำนวนมาก เพื่อศึกษาเล่าเรียน ทำงานโดยไม่ได้ย้ายทะเบียนเข้ามาในกรุงเทพฯ เมื่อเกิดภาวะเจ็บป่วย ไม่สบาย ทำให้ไม่สามารถเข้ารับการรักษาโดยใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ทันท่วงที ต้องรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลเอง และหากเจ็บป่วยด้วยโรคค่าใช้จ่ายสูงอาจประสบปัญหาค่าใช้จ่ายจนเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงการรักษาได้ ดังนั้น เพื่อแก้ไขข้อขัดข้องเหล่านี้ กรุงเทพมหานคร จึงร่วมกับ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 13 กรุงเทพมหานคร และ บริษัท ขนส่ง จำกัด ขยายจัดตั้งจุดรับลงทะเบียนและประชาสัมพันธ์สิทธิบัตรทองเชิงรุก แบบครบวงจร เพิ่มเติมที่สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ เพื่อให้ประชาชนรับทราบข้อมูลการใช้สิทธิและการลงทะเบียนเปลี่ยนหน่วยบริการ เพื่อให้ใช้สิทธิ บัตรทองในหน่วยบริการพื้นที่กรุงเทพฯ ได้
 
"เมื่อมีความเจ็บป่วยเกิดขึ้น การรักษาพยาบาลและบริการสาธารณสุขนับเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตประชาชนโดยตรง ดังนั้น กรุงเทพมหานครจึงให้ความสำคัญต่อการดูแลประชาชนด้านการรักษาพยาบาลและบริการสุขภาพอย่างต่อเนื่อง และจากความร่วมมือการจัดตั้งจุดรับลงทะเบียนและประชาสัมพันธ์สิทธิบัตรทองเชิงรุกในวันนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนและอุดช่องว่างการเข้าถึงการรักษา ทำให้ประชาชนในเขตกรุงเทพฯ มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น" ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าว
 
นพ.ศักดิ์ชัย กล่าวว่า ภารกิจหลัก สปสช. คือการดูแลประชาชนผู้มีสิทธิบัตรทองกว่า 48 ล้านคน ให้เข้าถึงการรักษาและบริการสาธารณสุขอย่างครอบคลุมและทั่วถึง แก้ไขอุปสรรคต่อการเข้าถึง ที่ผ่านมามีประชาชนพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อย ไม่ทราบข้อมูลใช้สิทธิบัตรทอง รวมถึงการย้ายหน่วยบริการเพื่อใช้สิทธิในพื้นที่ กทม. ดังนั้นจึงต้องดำเนินการเชิงรุก โดยปี 2560 สปสช.มีนโยบายจัดตั้งจุดประชาสัมพันธ์และรับลงทะเบียนเชิงรุก ค้นหากลุ่มเป้าหมายประชาชนที่เข้าไม่ถึงบริการและดำเนินการเพื่อให้เกิดการเข้าถึงสิทธิ มีการจัดตั้งจุดรับลงทะเบียนและประชาสัมพันธ์เชิงรุกที่สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) เป็นแห่งแรก และในปี 2561 ได้ดำเนินการต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้งจุดรับลงทะเบียนเชิงรุกทางน้ำ ณ เรือของธนาคารออมสิน  สาขาปากคลองตลาด 
 
สำหรับจุดรับลงทะเบียนและประชาสัมพันธ์สิทธิบัตรทองเชิงรุก สถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ (หมอชิต) ที่จัดตั้งวันนี้ เนื่องจากสถานีขนส่งผู้โดยสารกรุงเทพ เป็นศูนย์กลางรถขนส่งสาธารณะ มีการเดินทางต่างจังหวัดในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง แต่ละวันมีประชาชนสัญจรจำนวนมาก จึงเป็นอีกหนึ่งพื้นที่เหมาะสมจัดตั้งจุดรับลงทะเบียนและประชาสัมพันธ์สิทธิบัตรทองเชิงรุก โดยเฉพาะการเปลี่ยนสิทธิจากจังหวัดมาเป็นสิทธิในพื้นที่ กทม. การตรวจสอบสิทธิ รวมถึงการส่งเสริมการรับรู้สิทธิของประชาชน นับเป็นการอำนวยความสะดวกประชาชนเข้าถึงสิทธิเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ารับบริการได้ทุกวัน ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เวลา 08.00-19.00 น. ในวันจันทร์-ศุกร์ และ 08.00 - 17.00 น. ในวันเสาร์-อาทิตย์ ณ จุดประชาสัมพันธ์และรับลงทะเบียนสิทธิบัตรทองเชิงรุก ณ สถานีขนส่งหมอชิต ชั้น 1 ได้แล้ว 
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ปมเยาวชนสามร้อยยอดถูกซ้อมให้รับสารภาพปล้นทรัพย์ ผอ.ผสานวัฒนธรรม ชี้ส่วนใหญ่ไร้หลักฐานทรมาน

Posted: 20 Mar 2018 06:29 AM PDT

คดีเยาวชนถูกซ้อมทรมานให้รับสารภาพ และตกเป็นจำเลยคดีปล้นทรัพย์นักท่องเที่ยวต่างชาติ  ศาลนัดสืบพยานจำเลย ในวันที่ 13-15 มี.ค.ที่ผ่านมา ผอ.มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ชี้ผู้ต้องหาที่ถูกซ้อมทรมานบังคับให้สารภาพส่วนใหญ่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ 

 
 
20 มี.ค.2561 ความคืบหน้าคดี ที่ ณัฐวัตร หรือเจมส์ ธนัฏฐิกาญจนา จำเลยที่ 1 และ อดิศักดิ์ หรือเจมส์ สีละมุด จำเลยที่ 2 อ้างว่าระหว่างที่ถูกควบคุมตัวอยู่ในความดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ถูกทำร้ายร่างกายเพื่อให้สารภาพว่าตนกับพวกเป็นผู้กระทำผิดข้อหาปล้นทรัพย์ คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ท่องเที่ยวต่างชาติชาวอิตาลี และชาวโมรอคโค ได้แจ้งความร้องทุกข์ไว้ที่ สภ.สามร้อยยอด ว่าทั้งสองได้ถูกคนร้ายซึ่งใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะ ร่วมกันทำร้ายร่างกายแล้วปล้นทรัพย์ ในวันที่ 26 ก.ค. 2559 ณ บริเวณริมถนนปราณบุรี-สามร้อยยอด หมู่ที่ 1 ต.สามร้อยยอด อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ นั้น
 
ล่าสุด มูลนิธิผสานวัฒนธรรม รายงานว่า ในวันที่ 13-15 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดหัวหินออกนั่งพิจารณาคดีหมายเลขคดีดำที่ ทอ.2/2560 ในวันสืบพยานจำเลยดังกล่าวได้มีการสืบพยานโจทก์ต่อ 1 ปาก หลังจากสืบพยานโจทก์ไปแล้วเมื่อวันที่ 20-23 ก.พ.2561 เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสอบสวน โดยฝ่ายโจทก์ได้นำบันทึกวิดีโอซึ่งบันทึกคำรับสารภาพของจำเลยที่ 1 เป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลด้วย โดยทนายความจำเลยทั้งสามประสงค์นำพยานจำเลยเบิกความต่อศาลทั้งหมด 17 ปาก ได้แก่ จำเลยทั้ง 3 คน ประจักษ์พยานในวันเกิดเหตุเพื่อยืนยันสถานที่อยู่ของจำเลยทั้ง 3 คน และผู้ใหญ่บ้านที่ให้การช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ถูกทำร้ายร่างกาย เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลังฐานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
 
นอกจากนี้ผู้อำนวยการมูลนิธิผสานวัฒนธรรม พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ เบิกความถึงการพิจารณาให้การช่วยเหลือช่วยเหลือคดีแม้การซ้อมทรมานที่ไม่มีบาดแผลปรากฏให้เห็นเนื่องจากเป็นการใช้ถุงพลาสติกทำให้ขาดอากาศหายใจ 
 
"ผู้ต้องหาที่ถูกซ้อมทรมานบังคับให้สารภาพส่วนใหญ่ไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ สภาพความเป็นจริงคือผู้ต้องหาไม่สามารถได้รับการตรวจรักษาร่างกายโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเป็นอิสระ  การซ้อมทำร้ายร่างกายบริเวณช่องท้องหน้าอกไม่อาจมองเห็นร่องรอยได้ด้วยตาเปล่า การใช้ถุงพลาสติกทำให้ขาดอากาศหายใจไม่มีพยานหลักฐาน การรับฟังคำสารภาพของจำเลยในคดีอาญาจึงต้องทำความระมัดระวังอย่างยิ่ง หลักการด้านสิทธิมนุษยชนหลักฐานที่ได้จากการบังคับให้ถ่ายวีดีโอรับสารภาพนั้นห้ามไม่ให้มีการรับฟัง" พรเพ็ญ กล่าวเพิ่มเติม
 
สำหรับวันนัดสืบพยานสามวันนั้นสามารถเบิกความพยานจำเลย เบิกความได้เพียง 6 ปากเท่านั้น เนื่องจากการยืนยันที่อยู่ของจำเลยทั้งสาม การลำดับเหตุการณ์จึงต้องใช้เวลาสืบพยานจำเลยเป็นเวลานานและประจักษ์พยานเป็นจำนวนมาก ทนายความจำเลยจึงแถลงต่อศาล ว่ายังเหลือประจักษ์พยานที่สำคัญอีก 3 ปากจึงขอให้ศาลมีคำสั่งเลื่อนนัดสืบพยานจำเลยในนัดถัดไป ด้วยเหตุดังกล่าว ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พยานทั้ง 3 ปากเป็นประจักษ์พยานคนสำคัญในคดีจึงเห็นสมควรให้เลื่อนคดี จึงมีคำสั่งเลื่อนนัดสืบพยานจำเลยไปอีกสักนัด ในวันที่ 5 - 6 ก.ค. 2561 เวลา 09.00น.
ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ค้าน กกต. ไม่รับจดแจ้งชื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

Posted: 20 Mar 2018 06:26 AM PDT

ความเข้าใจผิดของ กกต. ภายหลังพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ขอจดแจ้งเตรียมการจัดตั้งพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา เลขาธิการ กกต.และนายทะเบียนพรรคการเมือง รวมถึงเจ้าหน้าที่กิจการพรรคการเมืองพิจารณาหนังสือคำขอจัดตั้ง ซึ่งได้ออกมาให้ความเห็นในทำนองว่า ไม่สามารถรับจดทะเบียนพรรคการเมืองได้ เพราะเป็นปรปักษ์กับระบอบบประชาธิปไตย

ผมมีความเห็นว่า เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดของ กกต. และวิสัยทัศน์ที่คับแคบเป็นอุปรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตยในประเทศไทย โดยระบบคิดของระบบและข้าราชการบางส่วน ที่บอกว่าขัดมาตรา 18 พ.ร.ป.พรรคการเมือง เพราะเป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขัดต่อความสงบเรียบร้อยนั้น ขอให้ กกต.ไปดูตัวอย่างในอเมริกาและในยุโรป เขามีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นทางเลือกเพื่อแข่งขันนโยบายทางเศรษฐกิจและสังคมในระบบรัฐภา เพราะหมดยุคจับอาวุธต่อสู้และสร้างความขัดแย้งแล้ว หากนโยบายใดขัดรัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย เหมือนเช่นที่เยอรมนี ไม่ใช่การวินิจฉัยของ กกต.

การที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศต่อสู้ในระบบรัฐสภา ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่จะมีนโยบายเป็นทางเลือกของประชาชน เพราะพรรคการเมืองในระบบรัฐสภาเป็นคำตอบจากความขัดแย้งและสันติ หรือเราจะปล่อยให้เขาจับอาวุธขึ้นสู้เป็นพรรคการเมืองใต้ดินเหมือนในอดีต การที่ พคท.ขึ้นมาต่อสู้บนดิน ถือเป็นประชาธิปไตยในระบบรัฐสภาเหมือนดังอารยะประเทศ ที่เปิดเสรีประชาธิปไตยพรรคการเมือง ไม่ผลักประชาชนที่เห็นต่าง ไปหาทางออกทางอุดมการณ์ทางอาวุธและนอกระบบ จนเกิดความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองเหมือนเก่า

ทางออกประเทศไทย ต้องให้ระบบรัฐสภาเป็นทางออก และเป็นที่อยู่ทางอุดมการณ์พรรคการเมืองที่หลากหลายโดยไม่ปิดกั้น เพื่อให้พวกเขาต่อสู้ทางอุดมการณ์ในระบบรัฐสภา เหมือนในยุโรป ที่เปิดกว้างให้กับทุกพรรคการเมือง ปัญหาที่ผ่านมาของประเทศไทย  เพราะการเมืองในระบบรัฐสภาไม่มีคำตอบ และไม่สามารถคลี่คลายความขัดแย้งลงได้ เราจะต้องทำให้ ไม่ว่าจะเป็นความขัดแย้งเรื่องใด ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภามีทางออก

หากเราไปดูระบบการเมืองในประเทศสังคมประชาธิปไตยหลายประเทศ จะเห็นว่าในระบบรัฐสภาของเขามีทั้งพรรคการเมืองเสรีนิยม พรรคอนุรักษ์นิยม พรรคศาสนา พรรคกรีน พรรคแรงงาน พรรคสังคมนิยม จนกระทั่งพรรคคอมมิวนิสต์ ประเทศที่พัฒนาแล้วอนุญาตให้ประชาชนทุกผู้คนสามารถที่จะรวมตัวเป็นพรรคการเมืองตามอุดมการณ์ของตนเองที่หลากหลายได้โดยไม่ปิดกั้น และใช้พรรคการเมืองต่อสู้ภายใต้กติกาประชาธิปไตยร่วมกันในระบบรัฐสภา ดังนั้น ขบวนการต่อสู้ทางการเมืองด้วยกำลังอาวุธจึงไม่ใช่คำตอบและล่มสลายไปนับแต่นั้นมา

ดังนั้น กกต. ต้องไม่ห้ามประชาชนจดทะเบียนชื่อ "พรรคสังคมนิยม" หรือ "พรรคคอมมิวนิสต์" เพราะเขามาจดทะเบียนเพื่อต่อสู้แข่งขันนโยบายในระบบรัฐสภา ตามกติกาประชาธิปไตยที่ชัดเจน  อย่าให้ระเบียบและความคิดของ กกต. กระทั่งระบบราชการไทย เป็นปัญหาในการสร้างประชาธิปไตยที่มีอารยะธรรม สงบและสันติ ในโอกาสข้างหน้า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยจะต้องมีระบบพรรคการเมืองที่หลากหลาย ต่อสู้อุดมการณ์ทางการเมืองกันในรัฐสภา เพื่อเป็นคำตอบทางนโยบายให้แก่ประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่มีเฉพาะพรรคการเมืองของนายทุนอีกแค่สองพรรคอีกต่อไป

ที่ผ่านมาเรามีเผด็จการพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา คือระบบที่อนุญาตให้นายทุนใหญ่เป็นเจ้าของพรรคได้โดยใช้เงินลงทุนซื้อผู้แทน และใช้การบริหารแบบธุรกิจการเมือง จึงขาดการบริหารตามหลักการประชาธิปไตยภายในพรรคเหมือนดังหลายประเทศที่พัฒนาระบบเลือกตั้งและพรรคการเมืองแล้ว และการที่รัฐธรรมนูญไทยบังคับให้ ส.ส. สังกัดพรรค คือใบอนุญาตให้ผู้แทนประชาชน กลายเป็นทาสของระบบทุนผ่านตลาดผู้แทนที่ชัดเจนที่สุด

ทางเดียวที่การเมืองไทยจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ได้นั้น จะต้องอนุญาตให้ประชาชนตั้งพรรคการเมืองได้อย่างเสรี มีการแก้ไขในกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายการเลือกตั้งและรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยในอนาคต ไม่กีดกันสิทธิ์ทางการเมืองด้วยอำนาจการยุบพรรค และขีดระยะเวลาการหาสมาชิกพรรคการเมือง รวมทั้งการปิดกั้นสิทธิ์การเลือกตั้งของแรงงานในโรงงานต่างๆ เพื่อเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองทางเลือกของประชาชนเติบโต

ทางออกจากวิกฤติการเมืองในระบบเผด็จการพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา คือให้ประชาธิปไตยทางการเมือง โดยเปิดเสรีพรรคการเมืองในระบบรัฐสภา.

 


 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์: ปลดพันธนาการความรู้ “สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์”

Posted: 20 Mar 2018 06:18 AM PDT

 


คณาจารย์สายสังคมศาสตร์และมนุษย์ศาสตร์ จำนวน 324 ท่าน จากมหาวิทยาลัย 48 สถาบันได้ร่วมกันลงนามในการคัดค้าน การใช้อำนาจของกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง "เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.2558" คณาจารย์ทั้งหมดเห็นว่าการกำหนดเกณฑ์มาตรฐานนี้จะก่อให้เกิดพันธนาการความรู้สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ไม่ให้สร้างสรรค์ปัญญาให้แก่สังคม

ข้อกำหนดเกี่ยวกับผลงานทางวิชาการของผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก ที่จะมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ร่วม หรืออาจารย์ผู้สอบวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ว่าจะต้อง "มีผลงานทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารที่มีชื่อ อยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับชาติ ซึ่งตรงหรือสัมพันธ์กับหัวข้อวิทยานิพนธ์หรือการค้นคว้าอิสระไม่น้อยกว่า 10 เรื่อง" ส่วนในระดับปริญญาเอกจะต้อง "มีผลงานทางวิชาการที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารที่มีชื่ออยู่ในฐานข้อมูลที่เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติซึ่งตรงหรือสัมพันธ์กับหัวข้อวิทยานิพนธ์ไม่น้อยกว่า 5 เรื่อง"

แม้ว่าประกาศกระทรวงฯ ข้างต้นนี้ จะเปิดโอกาสให้ผู้บริหารหลักสูตรต่างๆ สามารถขออนุมัติจากสภามหาวิทยาลัยได้ในกรณีที่จำเป็นต้องแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิที่มีคุณสมบัติไม่ครบตามเกณฑ์ แต่ข้อกำหนดในเรื่องนี้ก็จะสร้างปัญหาอย่างยิ่งแก่การบริหารหลักสูตรของภาควิชาและนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งอาจสรุปได้ดังนี้

1. นักวิชาการในหลายสาขาวิชาไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องตีพิมพ์ผลงานทางวิชาการในวารสารระดับนานาชาติ เนื่องจากต้องการให้ผลงานของตนตอบสนองความสนใจและความจำเป็นของคนไทยและสังคมไทย และนักวิชาการจำนวนมากก็ให้ความสำคัญแก่การเผยแพร่ผลงานในรูปแบบที่หลากหลาย มิใช่ในรูปแบบของบทความทางวิชาการเท่านั้น การหานักวิชาการหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีผลงานตีพิมพ์ตามเกณฑ์ที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดไว้ข้างต้น จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก

ในประเด็นนี้จำเป็นต้องกล่าวด้วยว่า ในหลายทศวรรษที่ผ่านมา วงวิชาการสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ไทย ได้สร้างองค์ความรู้เพื่อตอบสนองความจำเป็นของสังคมไทย แต่ได้กลายเป็นพลังที่ผลักดันให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขององค์ความรู้ในระดับสากล โดยเฉพาะองค์ความรู้เกี่ยวกับประเทศไทย แต่ข้อกำหนดดังกล่าว เท่ากับผลักดันให้วงวิชาการไทยละทิ้งสังคมไทย เพราะมุ่งให้ความสำคัญแก่ผู้มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ โดยคิดว่าเป็นผู้มีความรู้ระดับสูงและมีความน่าเชื่อถือทางวิชาการเหนือกว่า ทั้งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)และ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ขาดความตระหนักว่า การตีพิมพ์ในระดับนานาชาตินั้นเป็นการตอบสนองต่อกลุ่มผู้บริโภคความรู้อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่ใช่คนไทย

2. ถ้ายึดข้อกำหนดตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการอย่างเคร่งครัด จะเกิดปัญหาตามมาหลายประการต่อการทำวิทยานิพนธ์ในสาขาสังคมศาสตร์-มนุษยศาสตร์ ที่สำคัญที่สุดก็คือ เมื่อกำหนดให้ผู้ทรงคุณวุฒิมีผลงานตรงหรือสัมพันธ์กับหัวข้อวิทยานิพนธ์ การศึกษาในประเด็นใหม่หรือศึกษาด้วยมุมมองใหม่ก็จะเกิดขึ้นแทบไม่ได้เลย

ตรงกันข้าม การผลิตความรู้ของนักศึกษาปริญญาโทและปริญญาเอกจะต้องถูกตีกรอบให้อยู่ภายใต้กระบวนทัศน์ วิธีวิทยา หรือองค์ความรู้ที่มีผู้อื่นได้ศึกษาไว้มากแล้ว วิทยานิพนธ์ฉบับใดที่ต้องการจะเปลี่ยนแนวทางการอธิบายไปในทางโต้แย้งความรู้ที่ "ผู้รู้" เสนอไว้ ก็อาจจะไม่สามารถทำได้

ในที่สุดแล้วการเลือกประเด็นที่จะเขียนวิทยานิพนธ์ ก็อาจถึงกับต้องเลือกเฉพาะประเด็นที่มั่นใจว่าจะหาผู้ทรงคุณวุฒิมาเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาร่วมหรือมาเป็นกรรมการสอบได้เท่านั้น หากเป็นเช่นนี้ มหาวิทยาลัยก็ไม่อาจทำหน้าที่สร้างองค์ความรู้ใหม่ที่สำคัญต่อความก้าวหน้าทางวิชาการได้เลย

นอกจากนั้นแล้ว ข้อกำหนดตามประกาศข้างต้น ทำให้เกิดภาระที่ไม่จำเป็นต่อการสร้างสรรค์ความรู้เพื่อสังคมอีกหลายด้าน เช่น ผู้เกี่ยวข้องต้องใช้เวลาไปในการติดต่อหาผู้ทรงคุณวุฒิตามประกาศ ในกรณีที่ไม่สามารถหาผู้ทรงคุณวุฒิในจังหวัดเดียวกัน แต่จำเป็นต้องเชิญผู้ทรงคุณวุฒิจากต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ หรือการขออนุมัติแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิจากสภามหาวิทยาลัย ในกรณีที่ภาควิชาไม่สามารถหาผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนมาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิหรือผู้เชี่ยวชาญได้ เป็นข้อกำหนดที่สร้างความยุ่งยากแก่หลายฝ่าย

สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และ ศธ. ควรกำหนดกฎระเบียบต่างๆ ในลักษณะที่มีความยืดหยุ่นและเกื้อหนุนให้เกิดความคล่องตัว ความสะดวก และประสิทธิภาพในการสร้าง การถ่ายทอด และการเผยแพร่องค์ความรู้ใหม่ ควรมีความเคารพและเชื่อมั่นในศักยภาพของมหาวิทยาลัยและชุมชนทางวิชาการมากขึ้น ไม่ควรออกกฎระเบียบหรือประกาศต่างๆ ที่เน้นการกำกับควบคุมเสมือนนักวิชาการและมหาวิทยาลัยเป็นเด็กทารก

นอกจากนี้ควรให้ความสำคัญแก่เสรีภาพในการบริหารจัดการหลักสูตร รวมทั้งเสรีภาพในทางวิชาการอย่างกว้างขวาง เพราะเป็นเงื่อนไขที่สำคัญของการสร้างสรรค์ความรู้ใหม่ให้แก่โลกและสังคมไทย

คณาจารย์ต้องการให้สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา และ ศธ. เร่งพิจารณาทบทวน เรื่อง "เกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษา พ.ศ.2558" โดยเปิดรับฟังความคิดเห็นจากคณาจารย์ในสาขาวิชาต่างๆ เพื่อกำหนดเกณฑ์มาตรฐานหลักสูตรฯ ที่สอดคล้องกับลักษณะเฉพาะของศาสตร์แต่ละกลุ่ม ก่อนที่จะร่างกฎระเบียบใดๆ ออกมาบังคับใช้ในอนาคต และจำเป็นที่จะต้องตั้ง "คณะกรรมการวิชาการทางด้านสังคมศาสตร์มนุษยศาสตร์" ในการทำงานร่างกฎเกณฑ์ที่จะบังคับใช้ในอนาคต

ความรู้สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ได้จรรโลงสังคมไทยให้เคลื่อนมาถึงวันนี้ แต่กำลังถูกทำลายลงด้วยความปรารถนาเพียงแค่การจัดลำดับชั้นมหาวิทยาลัยจากมาตรฐานกลวงๆ ของระบบการศึกษาในโลกทุนนิยมเสรนิยมใหม่ที่ทำการศึกษาเป็นการค้าเท่านั้น

สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการต้องคิดถึงอนาคตของสังคมไทยให้มากกว่านี้นะครับ

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: www.bangkokbiznews.com/blog/detail/644174

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใบตองแห้ง: ทำไงราชการหายโง่

Posted: 20 Mar 2018 06:09 AM PDT


 

เเชร์ว่อน! เอกสารเรียกประชุมเตรียมต้อนรับนายกฯ ของ จ.ขอนแก่น ให้มาร่วมดำเนินภารกิจ "ทำอย่างไรให้ประชาชนหายโง่" ซึ่งต่อมามีหนังสือแก้ไขว่า ถ้อยคำไม่เหมาะสมทำให้เข้าใจคลาดเคลื่อนในสาระสำคัญ เปลี่ยนเป็น "ทำอย่างไรให้ประชาชนมีความรู้ความเท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลง"

มหาดไทยรีบชี้แจง ขอโทษขอโพยในความผิดพลาด ก็รู้หรอกครับ ไม่มีใครตั้งใจเขียนอย่างนั้น แต่ที่มันโดนใจ ก็เพราะประชาชนรู้สึกตรงกันว่า ยุคนี้สมัยนี้ ที่รัฐราชการ ทหาร มหาดไทย เป็นใหญ่ ปกครองด้วยทัศนะฝังใจ "ประชาชนโง่" หรือ "รู้ไม่เท่าทัน"

มันอาจเป็นความผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ แต่สะท้อนไม่ผิดแน่ "โง่" กับ "รู้ไม่เท่าทัน" ต่างกันไม่มากหรอก แม่ทัพภาคที่ 2 อย่าบอกเลยว่า "โดนวางยา" เพราะยานี้ฉีดเข้าเส้นมาหลายสิบปี

ถ้าไม่เชื่อว่าประชาชนโง่ รู้ไม่เท่าทัน จะยึดอำนาจหรือ ยึดแล้ว ชาวบ้านยังต้องฟังลุงพร่ำสอนออกทีวี ทั้งที่หลายเรื่อง เขารู้กันมาตั้งนานแล้วละลุง บางเรื่อง อย่างสอนให้เลิกปลูกข้าวไปปลูกหมามุ่ย ก็ไม่รู้เหมือนกัน ใครฉลาดกว่าใคร

4 ปีที่ผ่านมา รัฐราชการซึ่งรวมศูนย์ที่ทหาร มหาดไทย ดาหน้าสั่งสอนอบรมช่วยเหลือชาวบ้าน แบบคุณพ่อรู้ดีเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง เดี๋ยวก็ทำประชารัฐ เดี๋ยวไทยนิยม เปลี่ยนชุดเปลี่ยนคนเปลี่ยนป้ายไปเรื่อยๆ ให้ผู้หลักผู้ใหญ่ ผบ. แม่ทัพ ขี่ ฮ.ไปเปิดป้าย แจกของ ถ่ายภาพ ทำข่าวประชาสัมพันธ์ แต่นอกจากเบี้ยเลี้ยง ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าเลี้ยงอาหารกลางวัน (ไทยนิยม 2 พันล้าน) ไม่รู้เหมือนกันชาวบ้านได้อะไร

หลายโครงการที่ติดป้ายประชารัฐ ก็เขาทำกันมาก่อน ไปเปลี่ยนป้ายเท่านั้น เช่นตลาดน้ำชุมชนต่างๆ แต่ตลาดไหนตั้งเองก็เจ๊งเสียเยอะ งบประมาณที่ลงไปตามข้อเสนอของระบบราชการ บางแห่งก็ฉ้อฉล บางโครงการก็ไม่ตรงเป้า ไม่ตรงความต้องการ การกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากจึงไม่ได้ผล

ไม่ได้บอกว่าชาวบ้านฉลาดกว่าหรอกนะ ข้าราชการที่เก่งและดีก็มีเยอะ แต่ระบบราชการทั้งไร้ประสิทธิภาพ ทั้งฉ้อฉล วิ่งเต้นเส้นสาย อวดอำนาจ เปลืองเงินเดือนเปลืองเบี้ยเลี้ยงเบี้ยประชุมค่าล่วงเวลา ค่าน้ำมันรถน้ำมัน ฮ. บ้านพัก ค่าน้ำค่าไฟ อีกต่างหาก ปัญหาของระบบราชการไม่ใช่แค่โกงเงินคนจน โกงเงินกองทุน อย่างที่เห็นหรอก

บางคนอาจบอกว่าข้าราชการก็โกงมาตั้งแต่ก่อนยุค คสช. ใช่เลย แต่สิ่งที่เกิดในยุคนี้คือการรวบอำนาจสู่ศูนย์กลาง ชาวบ้านไม่มีปากเสียง ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุล ลำพังระบบราชการที่ต้องฟังนายสั่ง ว่าแย่แล้ว หลายหน่วยงานอุตส่าห์ปรับปรุงตัวเอง ก็ยังต้องกลับมาอยู่ใต้ระบบรวมศูนย์ ขึ้นต่อผู้ว่าฯ มหาดไทย รวมถึงทหาร กอ.รมน. เพราะมีการรื้อฟื้นโครงสร้างยุคสงครามเย็น

ข้าราชการเก่งๆ มีเยอะนะครับ แต่ลองไปฟังเขาแอบบ่น ทำไมจะต้องฟังคำสั่งผู้ว่าฯ ฟังทหาร ซึ่งเอาเข้าจริงก็รู้ไม่เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของโลก

มองไปข้างหน้า ความขัดแย้งในสังคมกำลังจะเปลี่ยน จากที่เคยไม่ไว้วางใจนักการเมือง ก็เพิ่มความไม่เชื่อมั่น ไม่ไว้วางใจ ไม่พอใจรัฐราชการ ทั้งประสิทธิภาพ การฉ้อฉล

จะชอบหรือไม่ก็ตามแต่ รัฐราชการจะเจอกระแสโต้กลับ ที่ประชาชนไม่เพียงอยากตรวจสอบความโปร่งใส หากยังจะจี้ให้เลิกระบบอุปถัมภ์ วิ่งเต้นเส้นสาย หรือสิทธิพิเศษเหนือผู้เสียภาษี

ตัวอย่างง่ายๆ เสรีพิศุทธ์ เรียกร้องให้ย้ายทหารออกจากกรุงเทพฯ ให้หมด ผู้คนก็ปรบมือสนั่น ถ้าบอกให้ลดนายพลเหลือครึ่งหนึ่ง คงเฮลั่นเลย

 

ที่มา: www.kaohoon.com/content/222443

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ประยุทธ์ ยันให้ความสำคัญกับทุกพรรค และประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ

Posted: 20 Mar 2018 06:02 AM PDT

หัวหน้า คสช. ย้ำให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองทุกพรรค จดพรรคคอมมิวนิสต์ ได้หรือไม่ ให้ไปดูกฎหมาย ส่วนการตอบรับเชิญเข้าร่วมหารือ เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะเข้าร่วมหรือไม่ ยันรัฐบาลเข้มงวดตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชันมาตลอด

20 มี.ค.2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ (20 มีนาคม 2561) เวลา 14.30 น. ณ บริเวรห้องโถง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ถึงกรณีเชิญนักการเมืองหารือว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมืองที่จะตอบรับการเชิญเข้าร่วมหารือหรือไม่ แต่ถ้าไม่มาประชาชนจะว่าอย่างไร เพราะต้องการให้ประชาชนรับรู้ และรับทราบโดยเฉพาะแนวทางการพัฒนาประเทศในอนาคต ซึ่งไม่ต้องการรู้นโยบายของพรรคการเมือง แต่อยากถามว่ามีวิธีการดำเนินการต่อไปอย่างไรเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศ ซึ่งถ้ามาไม่ครบ หรือไม่มีการพูดคุยก็ไม่สามารถกำหนดการเลือกตั้งได้ และจำเป็นต้องหาข้อยุติร่วมกันให้ได้มากที่สุด

สำหรับ พระราชบัญญัติประกอบ (พ.ร.ป.) รัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.… และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.… นั้น พล.อ.ประยุทธ์ ระบุว่า เป็นขั้นตอนตามกฎหมายสามารถทำได้ เพราะมีศาลรัฐธรรมนูญอยู่ ตราบใดก็ตามที่ยังมีข้อห่วงใย ข้อกังวล ก็ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้แจงให้ชัดเจน แต่ขอให้ระมัดระวัง พร้อมกล่าวยืนยันไม่มีผลกระทบต่อโรดแมปการเลือกตั้ง

ส่วนเรื่องการตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย หัวหน้า คสช. กล่าวว่า ให้ไปดูกฎหมายว่าสามารถทำได้หรือไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของกฎหมายในการพิจารณา ยืนยันให้ความสำคัญกับทุกพรรค และเป็นหน้าที่ของประชาชนจะเป็นผู้ตัดสินใจ

กรณีการทุจริตคอร์รัปชันนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลได้ดำเนินการมาโดยตลอด ขออย่ามองแต่เพียงว่าแย่ลงหรือดีขึ้น เพราะเรายังไม่รู้ทั้งหมด ซึ่งกลไลการทุจริตมีจำนวนมากมายในช่วงที่ผ่านมา แต่อยากให้เปรียบทียบดูว่าการดำเนินคดีเกี่ยวกับการทุจริตรัฐบาล ได้ดำเนินการตรวจสอบเป็นคดีความแล้วจำนวนมากน้อยเพียงใด

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อไปว่า ถึงแม้การทุจริตคอร์รัปชันยังจะมีอยู่ก็ตาม รัฐบาลต้องทำต่อไป ซึ่งคดีเกี่ยวกับการทุจริตส่วนใหญ่อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบแต่ไม่เป็นที่สนใจ บางคดีมีการตรวจสอบจนถึงที่สุดแล้ว และมีผู้กระทำความผิดหลบหนีจำนวนหลายราย สำหรับการทุจริตของกระทรวงซึ่งเป็นที่สนใจขณะนี้ ได้สั่งการไปแล้วให้สอบสวนข้อเท็จจริงโดยเร็ว รวมไปถึงเรื่องกองทุนต่าง ๆ จะต้องตรวจสอบไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง สามารถติดตามและเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างแท้จริง พร้อมกล่าวยืนยันว่า รัฐบาลทำงานอย่างเข้มงวดมาตลอด ทั้งนี้ทั้งนั้น เรื่องการทุจริตเป็นกลไกภายในที่ทุกคนต้องหารือร่วมกัน ซึ่งบางครั้งเราตัดสินใจอะไรลงไปภายใต้ความขัดแย้งก็จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ถือเป็นความยากของการทำงาน

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วอยซ์ ทีวีเล็งยื่นศาลปกครองค้าน กสทช. หลัง Tonight Thailand โดนแบน 15 วัน

Posted: 20 Mar 2018 05:44 AM PDT

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารวอยซ์ ทีวีออกแถลงการณ์กรณีรายการ Tonight Thailand โดนระงับออกอากาศ 15 วัน หลังรายงานและวิเคราะห์กรณี "หน้ากากยุทธ์น็อคคิโอ" และครบรอบ 10 ทักษิณกราบแผ่นดิน ยัน จะยึดมั่นในหลักวิชาชีพสื่อต่อไป ลั่น จะยื่นร้องคัดค้านคำสั่งต่อศาลปกครองและฟ้องแพ่ง 

ภาพเปิดรายการ Tonight Thailand (ที่มา: Voice TV)

20 มี.ค. 2561 วอยซ์ ทีวี รายงานว่า เมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วอยซ์ ทีวี จำกัด ได้ออกแถลงการณ์เรื่องแนวทางหลักถูกคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ออกคำสั่งระงับรายการ Tonight Thailand ด้วยคำสั่งด่วนที่สุดที่ สทช 4012/7992 ลงวันที่ 19 มี.ค. 2561 มีผลให้ระงับการออกรายการเป็นเวลา 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือ ห้ามนำรายการดังกล่าวไปออกอากาศในวันและเวลาอื่น รวมถึงห้ามนำเทปรายการเดิมมาออกอากาศซ้ำในช่วงเวลาดังกล่าว

แถลงการณ์มีใจความว่า วอยซ์ ทีวีต้องการนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ทัศนะที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ชมบนฐานความเชื่อมั่นในเสรีภาพสื่อและเสรีภาพในการแสดงความเห็น และยึดมั่นในวิชาชีพสื่อมวลชนที่ต้องนำเสนอข้อมูลและทัศนะอย่างถูกต้อง รัดกุม รอบด้าน เป็นธรรมต่อทุกฝ่าย ทั้งยังได้ปฏิบัติตามข้อท้วงติงของ กสทช. ในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มาโดยตลอดแม้มีผลกระทบในด้านความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจก็ตาม การถูกงดออกอากาศครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ทั้งยังตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องความเป็นธรรมและเท่าเทียมของการใช้มาตรการตรวจสอบอย่างเข้มงวดซึ่งกระทบบรรยากาศของเสรีภาพสื่อและเกิดความเสียหายในทางธุรกิจ โดยวอยซ์ทีวีตัดจะดำเนินการทางกฎหมายทั้งทางปกครองและทางแพ่ง จะยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งต่อศาลปกครองและยื่นฟ้องแพ่งเพื่อคุ้มครองความเสียหายที่จะเกิดกับสถานีโดยเร็วที่สุด และยืนยันจะทำหน้าที่สื่อมวลชนที่เปิดกว้างทางความคิดและยืนหยัดในเสรีภาพสื่อต่อไป

วอยซ์ ทีวี รายงานว่า คำสั่ง ที่ สทช. 4012/9992 ลงวันที่ 19 มี.ค. 2561 ลงนามโดยฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. สั่งให้ระงับการออกอากาศรายการ Tonight Thailand ทางช่อง Voice TV เป็นเวลา 15 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับหนังสือเป็นต้นไป (ระงับออกอากาศตั้งแต่วันที่ 20 มี.ค. - 3 เม.ย. 2561) โดยที่ประชุม กสทช. ได้พิจารณาเนื้อหาและสาระสำคัญของรายการ Tonight Thailand ซึ่งออกอากาศเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2561 แล้วเห็นว่า การนำเสนอรายการดังกล่าวมีลักษณะส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยกในราชอาณาจักร จึงห้ามมิให้ออกอากาศในกิจการกระจายเสียงหรือกิจการโทรทัศน์ ตามประกาศ คสช. ฉบับที่ 97/2557 แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศ คสช. ฉบับที่ 130/2557 และเป็นการปฏิบัติผิดเงื่อนไขการอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ช่องรายการ Voice TV ตามบันทึกข้อตกลงฯ ระหว่างบริษัทฯ และสำนักงาน กสทช. ฉบับลงวันที่ 4 มิถุนายน 2557 ทั้งไม่ปรากฏข้อเท็จจริงอันรับฟังได้ว่าบริษัทฯ ได้มีการตรวจสอบเนื้อหารายการก่อนหรือระหว่างออกอากาศ

เนื้อหารายการที่ออกอากาศและเป็นเหตุให้ถูกระงับรายการ 15 วัน ครั้งนี้ เป็นเนื้อหาเสนอข่าวบุคคลสวมหน้าการที่จัดทำขึ้นล้อเลียนนายกรัฐมนตรีและออกอากาศภาพหน้ากากวนซ้ำไปมาภายใต้หัวข้อ "คสช. เตือน ล้อเลียน "ยุทธ์น็อคคิโอ" ไม่เหมาะสม" อีกทั้งตอนท้าย ผู้ดำเนินรายการได้วิพากษ์วิจารณ์และเสนอความเห็นที่มหาวิทยาลัยอนุญาตให้จัดกิจกรรมเทียบกับกรณีเดียวกันกับมหาวิทยาลัยอีกแห่งไม่อนุญาตให้ชุมนุมในพื้นที่มหาวิทยาลัย พร้อมกล่าวข้อความบางอย่างที่ส่อให้ประชาชนเกิดความเข้าใจสับสนเกี่ยวกับการกระทำของผู้บริหารมหาวิทยาลัยทั้งสองแห่ง
 
อีกทั้ง ในเนื้อหาที่ออกอากาศตอนเดียวกัน ผู้ดำเนินรายการได้วิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์สวมหน้ากากของผู้เข้าร่วมชุมนุมว่ามีเจตนาล้อเลียน ก่อให้เกิดความขบขัน ลดทอนความยำเกรงต่อผู้ปกครอง อีกทั้งยังได้เทียบเคียงกับเหตุการณ์ปฏิวัติในประเทศฝรั่งเศส ซึ่งทาง กสทช. เห็นว่าเป็นการไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับบริบทในสังคมไทย อาจส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั้นให้เกิดความขัดแย้งหรือสร้างให้เกิดการแตกแยกในประเทศได้
 
นอกจากนี้ ในเทปดังกล่าว ภายใต้หัวข้อ "ครบ 10 ปี "ทักษิณ" กราบแผ่นดิน" ยังนำเสนอข้อมูลภาพและข้อความของพานทองแท้ ชินวัตร ซึ่งเผยแพร่ทางเฟซบุ๊ก โดยผู้ดำเนินรายการได้อ่านข้อความทั้งหมดอีกครั้งและตอนท้ายได้แสดงความเห็นต่อข้อความดังกล่าว ซึ่ง ที่ประชุม กสทช. เห็นว่า เป็นข้อมูลที่ส่อให้เกิดความสับสนแก่ประชาชนเกี่ยวกับนโยบายการบริหารประเทศของรัฐบาล และส่อให้เห็นความมุ่งประสงค์ให้ประชาชนรวมกลุ่มเพื่อชุมนุมต่อต้านรัฐบาลเช่นที่เคยปรากฎมาแล้วในอีดต อันมีลักษณะปลุกปั้นให้เกิดความขัดแย้งและสร้างแตกแยกในสังคมได้
 
ทั้งนี้ กสทช. ได้เรียกผู้บริหารของ Voice TV ไปเพื่อชี้แจงและหารือก่อนหน้านี้ โดยมีเนื้อหารายการที่ต้องหารือกัน 2 รายการ คือ Wake Up Thailand ที่ออกอากาศวันที่ 5 มีนาคม 2561 และ Tonight Thailand เทปที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2560 , เทปวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2561 และเทปวันที่ 1 มีนาคม 2561
 
 
เมื่อ 27 มี.ค. ปีที่แล้ว วอยซ์ทีวียุติการออกอากาศทั้งสถานี หลังจากถูกกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) สั่งพักใบอนุญาตเป็นเวลา 7 วัน โดยอ้างว่าวอยซ์ทีวีมีการกระทำผิดซ้ำเดิม ให้ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสนยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างให้เกิดความแตกแยก
 
ตามคำสั่ง กสทช. ระบุว่า รายการที่ "มีความผิด" ทำให้ กสทช. สั่งยุติออกอากาศทั้งสถานี คือ
 
1.รายการใบตองแห้งออนแอร์ ตอน จากธัมมี่ถึงทักกี้ประเทศนี้ยังปรองดองได้อยู่หรือ
2.รายการ In Her View ตอน ไล่เรียงเหตุการณ์จังหวะแห่งข่าวโกตี๋กับอาวุธพร้อมแถลงการณ์แผนลอบสังหาร
3.รายการ Overview ตอน ยันกองทัพป้องทหารยังยิงทิ้งเด็กลาหู่ถูกต้องทุกกรณี
 

รายละเอียดของแถลงการณ์

'วอยซ์ ทีวี' ขอชี้แจงว่า เราเป็นสื่อที่ต้องการนำเสนอข้อมูลข่าวสารและทัศนะที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ชมบนพื้นฐานของความเชื่อมั่นในเสรีภาพสื่อและเสรีภาพในการแสดงความเห็น และยึดมั่นในวิชาชีพสื่อมวลชนที่ต้องนำเสนอข้อมูลและทัศนะอย่างถูกต้อง รัดกุมและรอบด้าน และเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายเสมอมา

การถูกระงับรายการของช่อง Voice TV ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก ที่ผ่านมา Voice TV ถูกเรียกให้ชี้แจงและหารือ รวมถึงให้ลงนามในความตกลงร่วมกัน (MOU) กับทาง กสทช. และถูกจับตาการนำเสนออย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด หลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 วอยซ์ ทีวี ถูกระงับการเผยแพร่ออกอากาศครั้งแรก 26 วัน ระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม 2557 ถึง 14 มิถุนายน 2557 ซึ่งถือเป็นทีวีดิจิตอลเพียงช่องเดียวที่ถูกสั่งระงับการออกอากาศ และเมื่อได้รับอนุญาตให้ออกอากาศอีกครั้ง Voice TV ต้องเผชิญกับการจำกัดเสรีภาพในการนำเสนอหลายครั้ง

อย่างไรก็ตาม เรามีข้อสังเกตว่า การตรวจสอบอย่างเข้มงวดเช่นนี้ เป็นการปฏิบัติด้วยมาตรฐานที่เสมอหน้าและเป็นธรรมตามหลักการบังคับใช้กฎหมายหรือไม่

ขณะที่ วอยซ์ ทีวี ได้พยายามให้ความร่วมมือและปฏิบัติตามข้อท้วงติงและความห่วงกังวลของ กสทช. มาโดยตลอด แม้จะได้รับผลกระทบทั้งต่อหลักเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร เสรีภาพในการแสดงความเห็น และไม่เพียงเท่านั้น ยังกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ปฏิบัติงานตามวิชาชีพ รวมทั้งกระทบต่อสถานะทางเศรษฐกิจของสถานีด้วย

วอยซ์ ทีวี พิจารณาว่า บรรยากาศการทำงานภายใต้การตรวจสอบที่อาจเข้าข่ายเลือกปฏิบัติและไม่เป็นธรรมที่ผ่านมารวมถึงครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศของเสรีภาพสื่อไทยโดยรวม และกระทบต่อสื่อมวลชนในฐานะที่เป็นองค์กรธุรกิจที่ได้รับความเสียหาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาความเชื่อมั่นทางวิชาชีพ ยืนยันในเสรีภาพสื่อมวลชน และไม่ให้เสียหายต่อธุรกิจอันเกิดจากความไม่เป็นธรรมตามคำสั่งดังกล่าว

วอยซ์ทีวีจึงตัดสินใจจะดำเนินการทางกฎหมายทั้งทางปกครองและทางแพ่งต่อไป โดยจะยื่นคำร้องคัดค้านคำสั่งต่อศาลปกครองและยื่นฟ้องแพ่ง เพื่อคุ้มครองความเสียหายที่จะเกิดกับสถานีโดยเร็วที่สุด

ทั้งนี้ วอยซ์ ทีวีขอยืนหยัดทำหน้าที่สื่อมวลชนที่เปิดกว้างทางความคิด และยืนหยัดในเสรีภาพสื่อ และขอเรียกร้องเพื่อนร่วมวิชาชีพ และสมาคมวิชาชีพในการช่วยกำกับและมีบทบาทในการปกป้องการทำหน้าที่สื่อ เพื่อธำรงบรรยากาศที่สร้างสรรค์ให้แก่วงการสื่อมวลชนของไทยต่อไป

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ใช้ ม.44 สั่งกกต. สมชัย ศรีสุทธิยากร หยุดปฎิบัติหน้าที่ อ้างเหตุให้สัมภาษณ์สื่อไม่เหมาะสม

Posted: 20 Mar 2018 04:47 AM PDT

คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับที่ 4/2561 สั่งยุติการปฎิบัติหน้าที่ของ กกต. สมชัย ศรีสุทธิยากร อ้างให้สัมภาษณ์ไม่เหมาะสม สมัครเข้ารับเลือกดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต. โดยยังไม่ลาออกจากคณะกรรมการ กกต. และคำสั่งมีผลทันที

20 มี.ค. 2561 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพรคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบ ฉบับที่ 4/2561 เรื่องให้คณะกรรมการเลือกตั้งยุติการปฎิบัติหน้าที่ โดยมีรายละเอียดดังนี้  

ด้วยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง ได้มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในกรณี การให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนถึงความเห็นของตนเกี่ยวกับกระบวนการและกําหนดการการเลือกตั้ง ด้วยถ้อยคําที่ไม่สมควรในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความสับสน อันจะเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและการจัดการการเลือกตั้งให้สําเร็จลุล่วงไปด้วยดี ทั้งได้ปรากฏ ข้อเท็จจริงด้วยว่า นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ได้สมัครเข้ารับการคัดเลือกให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการ คณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยไม่ได้ลาออกจากการปฏิบัติหน้าที่กรรมการการเลือกตั้งเสียก่อน ซึ่งถือเป็นการกระทําที่เข้าข่ายเป็นการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เนื่องจากตนเองเป็นผู้มีส่วนได้เสีย ในเรื่องดังกล่าวโดยตรง และจะส่งผลต่อความถูกต้องและเป็นธรรมในการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสม มาดํารงตําแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงไม่สมควรให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ปฏิบัติหน้าที่ กรรมการการเลือกตั้งต่อไป เพื่อให้การดําเนินการเป็นไปด้วยความเรียบร้อย โปร่งใส และเป็นธรรม แก่ผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือกรายอื่น ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิรูปองค์กรตามรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้โดยที่ปัจจุบันอยู่ระหว่างการสรรหาบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เพื่อแต่งตั้งเป็น คณะกรรมการการเลือกตั้ง จึงมีความจําเป็นต้องกําหนดให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งหรือกรรมการ การเลือกตั้งที่ดํารงตําแหน่งอยู่ในวันก่อนวันที่คําสั่งนี้มีผลใช้บังคับยังคงอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ต่อไป เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และไม่กระทบต่อการ เตรียมการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น อันจะเป็นประโยชน์ต่อการรักษาความสงบและบริหารจัดการการเลือกตั้ง ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

เพื่อประโยชน์ในการปฏิรูปองค์กรตามรัฐธรรมนูญภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 265 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ประกอบกับมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2557 หัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติโดยความเห็นชอบของคณะรักษาความสงบแห่งชาติจึงมีคําสั่ง ดังต่อไปนี้

ข้อ 1 ให้นายสมชัย ศรีสุทธิยากร ยุติการอยู่ปฏิบัติหน้าที่กรรมการการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันที่ คําสั่งนี้ใช้บังคับเป็นต้นไป

ข้อ 2 ในกรณีที่ผู้ซึ่งอยู่ปฏิบัติหน้าที่ประธานกรรมการการเลือกตั้งหรือกรรมการ การเลือกตั้งตามมาตรา 70 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560 มีอายุครบเจ็ดสิบปี ให้ผู้นั้นยังคงอยู่ในตําแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว ต่อไปจนกว่าประธานกรรมการการเลือกตั้งและกรรมการการเลือกตั้งที่แต่งตั้งขึ้นใหม่จะเข้ารับหน้าที่

บทบัญญัติตามวรรคหนึ่งให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของบทเฉพาะกาลตามพระราชบัญญัติ ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2560

ข้อ 3 คําสั่งนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

สัง ณ วันที่ 20 มีนาคม พุทธศักราช 2561

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

ด้านสมชัย กล่าวถึงกรณีนี้ว่า เป็นดุลพินิจของผู้มีอำนาจ ที่คิดว่าเหมาะสมก็ให้ดำเนินการไป โดยยืนยันว่า การให้สัมภาษณ์ที่ผ่านมาอยู่บนพื้นฐาน การรักษาผลประโยชน์บ้านเมืองไม่ได้มุ่งเอาใจใคร และการสมัครเลขา กกต.ก็เป็นเพราะมีคุณสมบัตที่จะสมัครได้ โดยเชื่อว่ากกต.ชุดปัจจุบันคงไม่กล้าเลือกตนเป็นเลขา กกต. เพราะรู้ดีว่าหากตนได้เป็นเลขากกต. อาจปฏิบัติหน้าที่ขัดต่อ ความต้องการ ของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองได้ ทั้งนี้เมื่อพ้นตำแหน่งแล้วก็จะหาแนวทางอื่นในการทำประโยชน์ให้บ้านเมืองต่อไป

สมชัย กล่าวว่า ขอเวลา 2-3 วันในการเก็บของ คิดว่าสำนักงาน กกต.คงไม่ใจร้ายให้เก็บของให้เสร็จภายในวันนี้ และเดิมที่จะไปร่วมสัมมนาเตรียมงานการเลือกตั้งของสำนักงานในวันพรุ่งนี้ก็คงไม่ได้ไปแล้วเพราะไม่มีหน้าที่แล้ว ส่วนการประชุมพรรคการเมืองเก่าในวันที่ 28 มีนาคม ซึ่งมีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมจึงได้ยกเลิกการเดินทางไปต่างประเทศนั้นก็คงไม่ได้ไปร่วมยกเว้นจะไปร่วมในฐานะตัวแทนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง 

"ผมไม่รู้สึกเสียใจต่อคำสั่งที่ออกมา โดยก่อนหน้านี้ ก็พยายามหาทางที่จะออกจากตำแหน่งอยู่แล้วและรู้ว่าตัวเองสุ่มเสี่ยงมาโดยตลอดกับการที่จะถูก คสช.ปลด เพราะ ให้สัมภาษณ์ในลักษณะที่ไม่ถูกใจใครแต่ถือว่าทำตามหน้าที่ ซึ่งอาจมีคนเห็นว่าไปขัดผลประโยชน์ จนทนไม่ได้ แต่การเป็นกกต.ก็มีหน้าที่ชี้ว่าสิ่งใดถูกและสิ่งใดผิด" สมชัย กล่าว

หมายเหตุ: มีการแก้ไขพาดหัวข่าวเมื่อเวลา 20.25 น. เนื่องจากการสั่งให้ยุติการปฎิบัติหน้าที่ ไม่ได้มีความหมายว่าเป็นการไล่ออกโดยทันทีคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบฉบับนี้ ระบุให้ กรณีดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งใน พ.ร.ป.ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง มาตรา 70 คือให้มีการดำรงตำแหน่งไปจนกว่าจะมีกรรมการการเลือกตั้งคนใหม่เข้ารับหน้าที่ 

 

 

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ศาลนัดสืบพยาน สิงหา 61 คดีญาติ 4 ศพทุ่งยางแดง ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก เหตุ จนท. ยิงเสียชีวิต

Posted: 20 Mar 2018 04:14 AM PDT

ศาลจังหวัดปัตตานีนัดสืบพยานเดือนสิงหา 61 คดีบิดามารดาผู้ตายฟ้องเรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก สตช. และสำนักนายกฯ กรณี จนท. ยิงประชาชน 4 ศพ เมื่อปี 58 บ้านโต๊ะชูด อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี  

 

20 มี.ค.2561 มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจ้งว่า เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดปัตตานีออกนั่งพิจารณานัดไกล่เกลี่ย ชี้สองสถาน และกำหนดแนวทางการดำเนินคดีหรือสืบพยานโจทก์ ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.397/2560 กรณีเมื่อวันที่ 25 มี.ค.2558 เจ้าหน้าที่ยิงประชาชนเสียชีวิต 4 คน ในพื้นที่บ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี  โดยโจทก์ทั้งแปด (จาก 4 ครอบครัว) เป็นบิดามารดาของผู้ตาย ได้ยื่นคำฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 24 ก.ค.2560 เรียกค่าเสียหายจากกองทัพบก จำเลยที่ 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำเลยที่ 2 และสำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 3 รวมเป็นเงินกว่า 39 ล้านบาท  

โดยในวันดังกล่าว ฝ่ายโจทก์มีทนายความของโจทก์ทั้งแปด และโจทก์ทั้งแปด มาศาล  ฝ่ายจำเลยมีพนักงานอัยการจังหวัดปัตตานีซึ่งเป็นทนายความจำเลยทั้งสาม มาศาล  ผู้พิพากษาศาลจังหวัดปัตตานีได้สอบถามคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วว่าไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลจึงดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อไป โดยกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังนี้ 1. เจ้าหน้าที่ของจำเลยทั้งสามกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งแปดหรือไม่ 2. จำเลยทั้งสามต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งแปดหรือไม่ เพียงใด

ประเด็นข้อพิพาททั้งสองดังกล่าว โจทก์เป็นฝ่ายกล่าวอ้าง ภาระการพิสูจน์จึงเป็นของโจทก์ ให้โจทก์ทั้งแปดนำสืบพยานก่อน จำเลยให้การปฏิเสธต่อข้อกล่าวอ้างของโจทก์จึงให้จำเลยสืบพยานแก้ต่างภายหลังโจทก์นำสืบพยานเสร็จสิ้น

ทนายความโจทก์แถลงต่อศาลว่าประสงค์สืบพยานรวม 21 ปาก ใช้เวลาสืบพยาน 5 นัด ทนายความจำเลยแถลงสืบพยาน 14 ปาก ใช้เวลาสืบ 3 นัด ศาลจึงกำหนดวันนัด สืบพยานโจทก์ในวันที่ 8 ถึงวันที่ 10 และวันที่ 14 ถึงวันที่ 15 ส.ค.2561 และสืบพยานจำเลยวันที่ 16 ถึงวันที่ 17 และวันที่ 21 ส.ค. 2561

ความเป็นมาของคดีโดยย่อ

 
คดีนี้ สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 25 มี.ค. 2558 มีการสนธิกำลังระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารฉก.ปัตตานี 25 นปพ. 431 ฉก. ทพ.41 ร้อย ร.35314 ฉก.ปัตตานี เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.ทุ่งยางแดง และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ได้เข้าปฏิบัติการในพื้นที่ หมู่ที่ 6 บ้านโต๊ะชูด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี การปฏิบัติการดังกล่าว ส่งผลให้มีการจับกุมประชาชนจำนวน 22 คน และเจ้าหน้าที่ได้ใช้อาวุธปืนสงครามยิงจนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 4 คน หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ได้ให้ข่าวสารต่อสาธารณะว่าผู้เสียชีวิต 2 คน คือ อันวาร์ ดือราแม และมากูรอซี แมเราะ เป็นแกนนำก่อความไม่สงบในพื้นที่ทุ่งยางแดงระดับปฏิบัติการ (RKK) ได้ใช้อาวุธต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ทั้งที่ความจริงของเหตุการณ์ ไม่ได้มีบุคคลทั้งสองรายชื่อดังกล่าวเสียชีวิต แต่ผู้เสียชีวิต 4 คน ได้แก่ สุไฮมี เซ็น คอลิด สาแม็ง มะดารี แม้เราะ และ ซัดดัม วานุ สองในสี่คนที่เสียชีวิต คือ คอลิด และมะดารี เป็นนักศึกษาคณะรัฐประศาสนศาสตร์ ชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยฟาฏอนี จังหวัดปัตตานี
 
ชาวบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านใกล้เคียงและญาติของผู้เสียชีวิตต่างเชื่อว่า ผู้เสียชีวิตดังกล่าวไม่มีอาวุธและไม่ได้ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่แต่อย่างใด จากรณีดังกล่าวนี้ทำให้ภาคประชาสังคมและองค์กรมุสลิมมีความสงสัยว่าการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการกระทำเกินสมควรแก่เหตุ
 
โดยเมื่อวันที่ 14 ก.ย.2559 ศาลมีคำสั่งว่าผู้ตายถูกกระสุนยิงเข้าทางด้านหลัง โดยตำรวจและทหารอ้างว่าเป็นการปฎิบัติหน้าที่ จนเป็นเหตุทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ในกัมพูชา : ดีใจและกังวล…เครื่องมือทางการเมือง

Posted: 20 Mar 2018 03:39 AM PDT

ทัศนะจากชาวกัมพูชาต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ถูกเพิ่มเติมลงไปในประมวลกฎหมายอาญา ด้านหนึ่งพวกเขากังวลว่าจะกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองกำจัดฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล อีกด้านหนึ่งสะท้อนวัฒนธรรมกษัตริย์นิยมที่ชาวกัมพูชารุ่นใหม่ได้รับอิทธิพลมาจากไทย

จิตรกรรมฝาผนังรามเกียรติ์ที่วัดอุโบสถรัตนาราม ตั้งอยู่ภายในพระบรมราชวังจตุมุขสิริมงคล กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่ผ่านมา กฎหมายอาญาในฐานความผิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฉบับแรกของประเทศกัมพูชาได้รับการอนุมัติจากสภาผู้แทนราษฎรอย่างเป็นเอกฉันท์ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้พระมหากษัตริย์และสมาชิกสำคัญของราชวงศ์ไม่เคยได้รับการยกเว้นในเรื่องการถูกวิพากษ์วิจารณ์มาก่อน

ภายใต้กฎหมายใหม่ อัยการมีสิทธิสั่งฟ้องดำเนินคดีในนามของสถาบันกษัตริย์กับผู้ที่หมิ่นประมาทพระบรมวงศานุวงศ์ โดยบทลงโทษมีตั้งแต่จำคุก 1-5 ปี และปรับเป็นเงินประมาณ 15,000-78,000 บาท ขอบเขตการหมิ่นประมาท ครอบคลุมทั้งการแสดงออกด้วยคำพูด กิริยาท่าทาง เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ภาพวาดหรือวัตถุต่างๆ

ที่ผ่านมากษัตริย์นโรดม สีหมุนี ซึ่งขึ้นครองราชย์เมื่อปี 2547 ถูกมองว่าเป็นองค์ประมุขในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น และด้วยพระจริยวัตรที่เรียบง่ายและทรงวางตนเหนือความขัดแย้งทางการเมืองก็แตกต่างอย่างชัดเจนกับสมเด็จพระนโรดม สีหนุ พระราชบิดา ที่ทรงมีความทะเยอทะยานทางการเมือง และมักทรงโต้แย้งกับสมเด็จฮุน เซน นายกรัฐมนตรีอย่างเปิดเผย

ตลอดระยะเวลากว่า 33 ปี สถาบันกษัตริย์ของกัมพูชาได้เสื่อมอำนาจลงและกลายเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์ ภายใต้การปกครองของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ผู้นำเผด็จการอำนาจนิยม ซึ่งยังมุ่งหมายจะครองอำนาจและยังคงเดินหน้าปราบปรามฝ่ายต่อต้านและศัตรูทางการเมือง จับกุมหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านและทำให้พรรคนี้ถูกยุบ อดีตสมาชิกพรรคหลายคนต้องหนีไปลี้ภัยในต่างแดน

ในขณะที่จัก โสเภียบ ผู้อำนวยการศูนย์สิทธิมนุษยชนกัมพุชา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่กฎหมายนี้จะถูกใช้เพื่อเล่นงานผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ซึ่งได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพถูกใช้เพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล

อนุสาวรีย์วิมานเอกราช กรุงพนมเปญ

ประชาไทได้สัมภาษณ์ เสทะโมนี ซา (Sethamony Sar) นักศึกษาปริญญาโทชาวกัมพูชา และมะกะรา ออช์ (Makara Ouch) ช่างภาพที่เคยถ่ายรูปให้กับกษัตริย์นโรดม สีหมุนี ในฐานะประชาชนผู้มีความสนใจเกี่ยวกับการเมืองและสถาบันกษัตริย์ของกัมพูชา ซึ่งแม้ทั้งสองคนจะมีทัศนะต่อกษัตริย์องค์ปัจจุบันที่แตกต่างกันอยู่บ้าง แต่น่าสนใจที่ทั้งสองให้ความเห็นว่า ส่วนหนึ่งที่ประชาชนกัมพูชาหันกลับมานิยมกษัตริย์ เป็นเพราะค่านิยมเกี่ยวกับการเทิดทูนกษัตริย์ในประเทศไทยผ่านวัฒนธรรมกระแสหลักอย่างหนัง ละครและเพลง

เสทะโมนี ซา (Sethamony Sar) นักศึกษาปริญญาโทชาวกัมพูชา ตั้งข้อสังเกตถึงจุดเริ่มต้นของการมีกฎหมายหมิ่นพระมหากษัตริย์ว่า อาจจะเริ่มมาจากการมีเฟซบุ๊ก แล้วมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์กษัตริย์เกิดขึ้น กล่าวหาว่ากษัตริย์ไม่ดี ทำงานให้ประเทศเพื่อนบ้าน หลังจากนั้นรัฐบาลจึงได้ประชุมแล้วออกกฎหมายนี้อย่างเป็นทางการ ส่วนกษัตริย์เป็นแค่คนเซ็นอนุมัติกฎหมายนี้

เสทะโมนีวิเคราะห์ว่า กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ถูกนำมาใช้เพื่อดึงกษัตริย์เป็นพวก คนกัมพูชาก็รักกษัตริย์ เวลาทำนโยบาย ฝ่ายไหนที่อยู่ใกล้ชิดกษัตริย์มากที่สุดประชาชนจะนับถือมากกว่า ตอนนี้เวลาจะรับปริญญา นายกฯจะเป็นคนไปมอบให้ ไม่ใช่กษัตริย์ แต่มีนักศึกษาบางส่วนที่อยากให้กษัตริย์ไปทำบ้าง และนี่ก็เป็นผลมาจากประเทศไทย

"วัฒนธรรมไทยในกัมพูชากำลังเป็นที่นิยม คนกัมพูชาดูละครไทย หนังไทย ฟังเพลงไทย ซึ่งส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยก็แสดงให้เห็นว่า กษัตริย์เป็นคนดี น่ายกย่อง เขาจึงรู้สึกอยากให้กัมพูชาเป็นแบบนั้นบ้าง คนกัมพูชามีสิทธิเลือกตั้งเมื่ออายุ 17 ปี รัฐบาลต้องการได้เสียงจากวัยรุ่น และรู้ว่าวัยรุ่นชอบกษัตริย์ จึงพยายามแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายรัฐบาลก็หนุนกษัตริย์ กฎหมายหมิ่นกษัตริย์นี้จึงอาจจะปกป้องรัฐบาลด้วย เพราะเมื่อฝ่ายรัฐบาลหันมาหนุนกษัตริย์ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลมีอำนาจมากขึ้น แต่ประชาชนไม่ได้รักนโรดม สีหมุนีเหมือนสมเด็จสีหนุ เพราะเขาไม่ใกล้ชิดประชาชน แต่ก็ยังรู้สึกว่าต้องเคารพเพราะเขาเป็นกษัตริย์" เสทะโมนีตั้งข้อสังเกต

เมื่อถามว่า การใช้กฎหมายใหม่นี้เกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมืองอย่างไรบ้าง เสทะโมนีเล่าถึงพื้นหลังคร่าวๆ ทางการเมืองของกัมพูชาว่า การเมืองในกัมพูชามีหลายฝ่าย หลักๆ คือฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน ฝ่ายค้านนั้นมีพรรคสมรังสีและพรรคของนโรดม รณฤทธิ์ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์กษัตริย์ ส่วนฝ่ายรัฐบาลเป็นฝ่ายที่เกิดขึ้นโดยประชาชนซึ่งแต่เดิมไม่เคยเข้าข้างฝ่ายกษัตริย์

ต่อมาฝ่ายรัฐบาลได้ทำให้พรรคสมรังสีหมดอำนาจลงจน สม รังสี ซึ่งเป็นหัวหน้าพรรคต้องลาออก เนื่องจากโดนคดีหมิ่นประมาทจากการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลในทางที่ไม่ดี และท้ายที่สุด ศาลตัดสินให้ยุบพรรค แม้จะมีประชาชนที่ชอบพรรคนี้อยู่ก็ตาม

อีกพรรคหนึ่งคือพรรคของเจ้านโรดม รณฤทธิ์ ซึ่งเป็นลูกชายของสมเด็จสีหนุ แต่ประชาชนไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่เพราะเขาไม่เก่งเรื่องการเมือง เรื่องเศรษฐกิจ และทำผิดพลาดมาแล้ว แม้ประชาชนจะรักสมเด็จสีหนุ แต่ก็ไม่ได้รักลูกของเขา

เมื่อไม่มีพรรคฝ่ายค้านหลักที่น่าเชื่อถือ มีแค่พรรคเล็กๆ น้อยๆ ที่ประชาชนไม่ได้เชื่อถือ ฝ่ายรัฐบาลจึงหมดศัตรูทางการเมือง หลังจากนั้นรัฐบาลจึงได้เสนอให้นำกฎหมายหมิ่นกษัตริย์มาใช้เพือสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนมากยิ่งขึ้น

เมื่อถามว่าในขณะนี้เมื่อกฎหมายหมิ่นกษัตริย์ถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการแล้ว มีกระแสเกิดขึ้นอย่างไรบ้าง เสทะโมนีเล่าว่า ประชาชนบางส่วนก็ดีใจที่มีกฎหมายนี้ บางส่วนก็กลัวและงดการวิพากษ์วิจารณ์ไป

"ทุกวันนี้คนกัมพูชามักไม่ปฏิบัติหรือไม่ค่อยเชื่อกฎหมายเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน ไม่มีใครคิดว่ากฎหมายศักดิ์สิทธิ ภาษีก็มีการโกง ประชาชนหมดความไว้ใจ กฎหมายจะมีก็มีไปเถอะ นี่เป็นบางส่วนที่ประชาชนรู้สึก อย่างกฎจราจรเขาก็ไม่เคารพ เป็นกระแสที่ดังมากเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว มีคนขับรถคนหนึ่งที่ขับรถผิดกฎจราจร ตำรวจเรียกเพื่อจะปรับ เขาก็ลงจากรถมาตบตำรวจ จนตำรวจต้องคุกเข่าขอโทษ แล้วเขาก็ไม่ต้องติดคุกเพราะเขาเป็นคนรวย ส่วนคนที่ติดคุกคือคนธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวย ส่วนกฎหมายหลักๆ ก็ยังต้องเคารพ อย่างกฎหมายหมิ่นฯ ประชาชนก็ยังกลัวเหมือนกัน" เสทะโมนีกล่าว

พระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระบรมนาถ นโรดม สีหมุนี ที่กรุงพนมเปญ กัมพูชา

ส่วนมะกะรา ออช์ (Makara Ouch) ช่างภาพที่เคยถ่ายรูปให้กับกษัตริย์นโรดม สีหมุนี เล่าถึงความประทับใจเมื่อครั้งได้ร่วมงานกับกษัตริย์นโรดม สีหมุนี ว่า ตนรักกษัตริย์ เพราะได้เจอได้คุยเป็นการส่วนตัวกับท่านซึ่งถือเป็นเกียรติมาก โดยวิธีที่ท่านพูดนั้นเป็นกันเอง ไม่ได้รู้สึกว่ามีระยะห่างกับประชาชน ได้เห็นพระราชกรณียกิจ เช่น การเสด็จไปชนบทเพื่อสร้างความใกล้ชิดกับประชาชนเสมอ หรือเข้าร่วมในงานกิจกรรมเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม จึงประทับใจและเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ก็รักครอบครัวของกษัตริย์ และที่สำคัญคือ พระองค์ไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง แต่มีแค่คนเดียวในตระกูล คือ นโรดม รณฤทธิ์ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมือง และประชาชนก็ไม่ชอบเขา

"สำหรับผม ผมต้องการให้กษัตริย์เป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพ เป็นตัวแทนของประเทศ ดูแลประชาชนของเขา คนกัมพูชาเองก็เห็นพระราชกรณียกิจของกษัตริย์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 9 ผ่านทางสื่อต่างๆ ใครๆ ก็รักเขา เราก็อยากให้กษัตริย์ของเราเป็นแบบนั้น" คือความเห็นเกี่ยวกับกษัตริย์องค์ปัจจุบันของมะกะรา

มะกะรายังเล่าต่อว่า ในประเทศไทย กษัตริย์จะค่อนข้างมีระยะห่างกับประชาชน แต่ในกัมพูชา เช่น ในวันชาติหรือวันประกาศอิสรภาพของกัมพูชา กษัตริย์จะมาพบปะกับเหล่ารัฐมนตรีและประชาชน ถ่ายรูปร่วมกับพวกเขา ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นมิตรและเป็นกันเองกับประชาชนมากๆ

เมื่อถามถึงสาเหตุว่า ทำไมจึงเกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับกษัตริย์จนทำให้ต้องมีกฎหมายหมิ่น มะกะราตอบว่า สาเหตุเป็นเพราะเรื่องในอดีต พวกเขากล่าวหาว่ากษัตริย์ไม่สนใจเรื่องที่พรรครัฐบาลควบคุมประเทศ เป็นความคิดฝังหัวของพวกเขามาตั้งแต่อดีต อาจจะมาตั้งแต่ยุคของลอน นอล เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งเขาทำการรัฐประหารล้มรัฐบาลของสมเด็จนโรดม สีหนุ แต่ต่อมาพรรคคอมมิวนิสต์ของเขมรแดงซึ่งได้ร่วมมือกับสมเด็จสีหนุกลับมายึดประเทศได้สำเร็จ ประเทศอยู่ภายใต้การนำของเขมรแดง สมเด็จสีหนุได้กลับมาในตำแหน่งประมุขของรัฐ แต่ต่อมาก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งอีก และในยุคของเขมรแดงประชาชนก็ยากลำบากและเสียชีวิตอย่างโหดร้ายกว่าสองล้านคนโดยที่กษัตริย์เองไม่อาจทำอะไรได้ จึงทำให้ประชาชนบางส่วนยังคงความรู้สึกไม่เชื่อมั่น

"ในส่วนของกฎหมายนี้ ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนใช้ อาจเป็นไปได้ว่ารัฐบาลต้องการใช้กฎหมายนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการกล่าวโทษต่อขั้วการเมืองอีกฝ่าย กฎหมายหมิ่นนี้ในต่างประเทศให้ความสนใจกันมาก แต่ผู้มีอำนาจในประเทศก็ไม่สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์อยู่ดี สำหรับผมแล้วไม่ว่าจะเป็นพรรคการเมืองฝ่ายไหนก็แย่พอกันหมด ผมจึงคิดว่ากษัตริย์ซึ่งยังดำรงตนอย่างเป็นกลางนั้น สำคัญกับประเทศของเรา" มะกะรากล่าวทิ้งท้าย

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

วางพิมพ์เขียวศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะท้าย เชื่อมโรงพยาบาล-บ้าน-สร้างคุณภาพชีวิตก่อนตาย

Posted: 20 Mar 2018 02:47 AM PDT

สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล ร่วมกับสนง.คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ตั้งวงถกศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้มีคุณภาพชีวิตและจากโลกนี้ไปอย่างสงบหรือตายดีกับการรับรองมาตรฐานสถานพยาบาล

20 มี.ค.2561 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) รายงานว่า เมื่อเร็วๆ นี้ มีการจัดเสวนา "Hospice กับการรับรองมาตรฐานสถานพยาบาล" โดย สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) ใน งานประชุมวิชาการประจำปีครั้งที่ 19 (19th HA National Forum) ร่วมด้วย สช. ณ ศูนย์การประชุมอิมแพคฟอรั่ม เมืองทองธานี 

ศ.แสวง บุญเฉลิมวิภาส ศาสตราจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ และที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) กล่าวว่า Hospice คือ ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายให้มีคุณภาพชีวิตและจากโลกนี้ไปอย่างสงบหรือตายดี คนไข้ไม่ทนทุกข์ทรมานจากเครื่องมือหรืออุปกรณ์ทางการแพทย์ แต่ได้ใช้เวลาช่วงสุดท้ายอยู่กับคนที่รัก ครอบครัว และทำในสิ่งที่ตนปรารถนา เป็นเรื่องใหม่ที่สังคมไทยกำลังเรียนรู้และรับรองสิทธิตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550

"ขณะนี้ Hospice เริ่มเปิดให้บริการที่ศูนย์ธรรมศาสตร์ธรรมรักษ์แล้ว ส่วนโรงพยาบาลอื่นๆ ที่ต้องการทำ Hospice ไม่ต้องมีความกังวลอุปสรรคด้านกฎหมาย เพราะทางศูนย์กฎหมายสุขภาพฯ ได้ร่วมกับคณะนิติศาสตร์ มธ. และโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ มีทีมพร้อมให้คำปรึกษา ซึ่งขณะนี้มีศูนย์บริรักษ์ โรงพยาบาลศิริราช ที่เปิดดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองแล้ว และเราเข้าไปให้คำปรึกษาอยู่เช่นกัน" ที่ปรึกษาศูนย์กฎหมายสุขภาพและจริยศาสตร์ มธ.

ด้าน รศ.นพ.พฤหัส ต่ออุดม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีผู้ป่วยมารับการรักษาแล้วเสียชีวิตที่โรงพยาบาล อาทิ โรคมะเร็งระยะสุดท้าย บางคนไม่ได้เสียชีวิตทันที แต่นอนโรงพยาบาลอีกเป็นเดือนหรือเป็นปี ต้องใช้บุคลากรและทรัพยากรจำนวนมาก แนวคิดเรื่องการจัดตั้งศูนย์ Hospice จึงเกิดขึ้นเพื่อการเชื่อมโยงระหว่างโรงพยาบาล ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย และบ้าน ซึ่งตรงนี้จะเป็นตัวอย่างของระบบการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ป่วยในวาระท้ายให้กับประเทศไทยต่อไป

รศ.พญ.ยุวเรศมคฐ์ สิทธิชาญบัญชา ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวว่า แนวทางของ Hospice คือ การดูแลผู้ป่วยในช่วง ๖ เดือนสุดท้ายของชีวิตให้ดีที่สุด เป็นการดูแลต่อเนื่องจากระบบ Palliative Care หรือการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองที่ต้องดำเนินการตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อพบรู้ว่าเป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง ไตวาย ตับวาย หรือโรคหลอดเลือดสมอง

"การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เป็นการดูแลแบบองค์รวม (Holistic care) ซึ่งครอบคลุมทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจ ปัญญา และสังคม แต่ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของกระบวนการทั้งหมด เพราะแนวทางที่เราจะก้าวไป จะไม่สิ้นสุดที่การตายเท่านั้น เนื่องที่ผ่านมา พบว่า ผู้ป่วยยังมีคู่สมรสที่มีโอกาสเสียชีวิตตามไปอีกในช่วง 1 ปีสูงมาก ซึ่งเราต้องยืดเวลาดูแลไปจนกว่าจะมั่นใจว่าครอบครัวผู้ป่วยดูแลตัวเองได้อย่างน้อย 3 เดือน" รศ.พญ.ยุวเรศมคฐ์ กล่าว

รศ.พญ.ยุวเรศมคฐ์ กล่าวต่อว่า ศูนย์ Hospice ที่จะเกิดขึ้น ต้องมีการวางระบบฝึกฝนบุคลากร โดยเฉพาะเมื่อผู้ป่วยประสงค์จะกลับไปเสียชีวิตที่บ้าน ต้องสบายใจ สามารถโทรปรึกษาได้ตลอด และหลังจากนี้โรงพยาบาลรามาธิบดีจะสร้าง End of life ward หรือหอผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อรองรับผู้ที่เสียชีวิตในโรงพยาบาลให้ช่วงเวลาปลายทางที่มีความสุข

ศ.นพ.ดร.อิศรางค์ นุชประยูร คลินิกกุมารชีวาภิบาล ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทางคลินิกมุ่งเน้นการให้บริการแบบ "โฮมแคร์" คือดูแลผู้ป่วยระยะท้ายที่บ้าน ซึ่งผู้ป่วยแต่ละคนจะมีระยะเวลาสุดท้ายต่างกัน บางคนออกจากโรงพยาบาล 48 ชั่วโมงก็เสียชีวิต แต่บางคนดูแลรักษาแบบประคับประคองอยู่ได้นานถึง 4 เดือน สิ่งสำคัญคือการปรึกษากับครอบครัวว่า จะทำอย่างไรผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดี และทำตามความต้องการของผู้ป่วย

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

'หงส์ ศาลาแดง' เสียชีวิตแล้ว ช่างภาพอิสระผู้บันทึกนาทีชีวิต 'ถวิล' เสื้อแดงศพแรก 19 พ.ค.53

Posted: 20 Mar 2018 12:32 AM PDT

ฌาปนกิจศพ ศุุภวัฒน์ แซ่ตั้ง หรือ หงส์ ศาลาแดง ช่างภาพอิสระ ผู้บันทึกภาพประวัติศาสตร์การเมืองและนาทีชีวิต 'ถวิล คำมูล' เสื้อแดงศพแรกเช้าวันที่ 19 พ.ค.53 ซึ่งศาลชี้ว่า วิถีกระสุนสังหารมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังเคลื่อนกำลังพลเข้ามา 

ภาพจากเฟสบุ๊คแฟนเพจ 'Banrasdr Photo'

20 มี.ค. 2561 เฟสบุ๊คแฟนเพจ 'Banrasdr Photo' โพสต์ภาพพร้อมรายงานว่า เมื่อวันที่ 19 มีนาคม เวลา 16.30 น.ที่วัดโล่ห์สุทธาวาส จังหวัดอ่างทอง ได้ทำพิธีฌาปนกิจศพ ศุุภวัฒน์ แซ่ตั้ง หรือ หงส์ ศาลาแดง ช่างภาพอิสระ ที่เสียชีวิตในเช้าวันที่ 16 มีนาคม 2561 จากอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ด้วยวัย 53 ปี

Banrasdr Photo ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ศุภวัฒน์ หรือ หงส์ ศาลาแดง พื้้นเพเป็นคนอำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุุรี แต่ไปศึกษาจนจบมัธยมศึกษาตอนปลาย ที่โรงเรียนพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี และเนื่องจากครอบครัวเดิมมีอาชีพขายน้ำเต้าหู้และปาท่องโก๋ จึงเดินทางมาหาทำเล ค้าขายที่ จ.อ่างทอง จนได้พบกับภรรยาและย้ายมาอยู่ที่ จ.อ่างทอง

สำหรับ ชื่อ 'หงส์ ศาลาแดง' นั้นได้มาจากความที่ชื่นชอบทีมฟุุตบอลลิเวอร์พลู และถิ่นที่พักอยู่ใน ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง จึงเป็นที่มาของชื่อ "หงส์ ศาลาแดง" 

หงส์ ศาลาแดง เป็นคนที่สนใจเรืองการเมืองและชอบการถ่ายภาพ เมื่อเกิดเหตุุการณ์ชุุมนุมเคลื่อนไหวทางการเมือง จึงได้เข้าร่วมชุุมนุมและถ่ายภาพการชุมนุม และเมื่อได้เข้าเป็นสมาชิกเว็บไทยฟรีนิวส์ จึงนำเสนอผลงานภาพผ่านทางเว็บไทยฟรีนิวส์ ภาพหลายภาพของหงส์ ศาลาแดง มีส่วนสำคัญในว่ามีการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมระหว่างที่ทหารกำลังสลายการชุมนุมนปช.ในปี 2553 เช่น ภาพ ถวิล คำมูล ศพแรกในเช้าวันที่ 19 พ.ค. 53 โดยภาพของ หงส์ ศาลาแดง ชี้ให้เห็นว่า ถวิล ไม่ได้เป็นกองกำลังติดอาวุธ และเสียชีวิตขณะทหารกำลังบุกเข้ายึดพื้นที่ จนถูกนำไปประกอบคำบรรยายของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมเดือน เม.ย.-พ.ค.53 หรือ (ศปช.)

ถวิล คำมูลก่อนและหลังถูกยิง ที่ หงส์ศาลาแดง  บันทึกไว้

และต่อมา คดีของ ถวิล ศาลมีคำสั่งว่าผู้ตาย ถวิล คำมูล ถึงแก่ความตายที่จุดจอดรถแท็กซี่อัจฉริยะตรงข้ามอาคาร สก. โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 53 เวลาประมาณ 6.00 น. เหตุและพฤติการณ์แห่งการตายคือถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกโดดความเร็วสูงที่ศีรษะทะลุเข้ากะโหลกศีรษะทำให้เนื้อสมองฉีกขาดมากโดยมีวิถีกระสุนปืนยิงมาจากด้านเจ้าหน้าที่ทหารที่กำลังเคลื่อนกำลังพลเข้ามาควบคุมพื้นที่จากแยกศาลาแดงมุ่งหน้าไปแยกราชดำริ โดยยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้ลงมือกระทำอันเป็นการปฏิบัติราชการตามหน้าที่

ตัวอย่างภาพนาทีชีวิตของ ถวิล คำมูล และคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการเข้าช่วยเหลือ ที่ หงส์ ศาลาแดง บันทึกพร้อมระบุเวลาและคำบรรยายประกอบ (ดูภาพอัลบั้มภาพ)

สำหรับถวิล และชายไม่ทราบชื่อซึ่งเสียชีวิตบริเวณเดียวกับถวิลนั้น สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี(ในขณะนั้น) ปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อกับการเข้าสลายการชุมนุมของเจ้าหน้าที่ทหารเนื่องจากเลือดได้แห้งหมดแล้ว ผ่านการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันที่ 18 มี.ค.54 ซึ่งภาพของ หงส์ ศาลาแดง เป็นอีกหนึ่งหลักฐานโต้แย้งคำกล่าวของ สุเทพ ได้เป็นอย่างดี

โดย สุเทพ ได้ชี้แจงต่อรัฐสภากรณีการปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในวันที่ 19 พ.ค.53 ว่า ".. มีคนเสียชีวิตจริงๆ 6 คน นับรวมคนที่เสียชีวิตมาก่อนตอนที่เราเข้าไปถึงตอน 7-8 โมงเช้า เห็นนอนอยู่แล้ว ที่ข้องเต้นที่สวนลุมพินีเลือดแห้งหมดแล้ว 2 คนด้วย.."

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ทางครอบครัวของ หงส์ ศาลาแดง ได้เปิดรับการสนับสนุน โดยให้หมายเลขบัญชีของ ศุภลักษณ์ แซ่ตั้ง ลูกสาว หงส์ ศาลาแดง ไว้ คือ 6372251116 ธ.ไทยพานิชย์ พร้อมเบอร์โทรติดต่อ 064 067 7844

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น