โพสต์แนะนำ

ประชาไท Prachatai.com

ประชาไท Prachatai.com พท.-ปชป จัดประชุมแก้ไขข้อบังคับพรรคฯ ส่วนรัฐบาลคสช. เตรียมฉีดเงินตำบลละ 5 แสน คพศ. ขอ ตร.เรียกตั...

ซิตี้แบงก์ ให้คุณสมัครบัตรเครดิต citibank ออนไลน์ ด้วยวิธีสมัครบัตรเครดิตง่ายๆ รู้ผลอนุมัตทันใจภายใน 5 วัน อยากทำบัตรเครดิตซิตี้แบงก์ สมัครออนไลน์ได้ทันทีที่นี่.

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

ประชาไท | Prachatai3.info

ประชาไท | Prachatai3.info

Link to ประชาไท

สันดานวิบัติของคนชั้นกลางในเมือง

Posted: 09 Mar 2018 08:38 AM PST

"คนชั้นกลางขี้เบื่อขี้รำคาญ โดยเฉพาะพวกที่อยู่ในกรุงเทพ ไม่ต้องดิ้นรนอะไรก็มีงบประมาณมากมายมากองยัดตูด มาพัฒนาระบบสาธารณูปโภคในกรุงเทพอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ มีรถไฟฟ้า น้ำประปาใส ไฟสว่าง ซื้อน้ำปลาในห้างยังได้ในราคาถูกกว่าร้านค้าในชนบท"

หลายคนที่ได้ผ่านตาถ้อยคำข้างต้นคงจะแสลงใจพิลึก แต่นี่คือภาพสะท้อนอย่างตรงไปตรงมาจากสายตาน้ำเสียงของผู้คนที่ถูกเรียกว่า รากหญ้า ความแดง คนขายเสียง ขี้ข้าทักษิณ

ทุกๆ ครั้งที่พวกเขาเดินทางจากบ้านในชนบท หรือตามหัวเมืองเข้ามาทำกิจกรรมการเมือง มาแสดงสิทธิ แสดงตัวตนของพวกเขาในฐานะประชาชนคนหนึ่งของประเทศนี้ นอกจากความยากลำบากในเรื่องค่าเดินทาง ที่หลับนอน ห้องสุขา หรือภาวะอากาศที่ต่างไปจากสภาพแวดล้อมที่พวกเขาเคยสัมผัส พวกเขาก็ยังจะต้องเผชิญกับสายตาของคนเมือง ที่มองมาอย่างผิดแปลกไม่เข้าใจ และไม่ยอมที่จะเข้าใจ ผิดกับการชุมนุมของชนในกรุงเทพ ที่ดูสมฐานะและมีความรู้ประกอบการชุมนุมมากมาย 

คนชั้นกลางมักอวดอ้างว่ารู้เท่าทันนักการเมือง แต่ไม่ยักรู้ทัน สนธิ ลิ้มทองกุล ปล่อยให้มันจูงจมูกไปล้มระบอบประชาธิปไตยกันคามือตบ สาระแนเชียร์ให้รถถังออกมา จนเกิดการรัฐประหารปี 2549

จนเกิดข้อสงสัยว่า ความจริงแล้วพวกเราไม่ต่างกันในเรื่องของมันสมอง ถ้าหากควายแดงจะถูกทักษิณจูงจมูกได้ คนชั้นกลางในเมืองก็ถูกสนธิ ลิ้มฯ จูงจมูกได้เหมือนกัน แม้พวกเขาจะสถาปนาตัวเองเป็นผู้มีความรู้ เป็นปัญญาชนของประเทศ

แม้พวกคนเมืองจะหยามเหยียดผู้คนจากท้องไร่ท้องนาว่าไร้การศึกษา แต่สุดท้ายแล้วเราก็ไม่แตกต่างกัน เพราะต่างเดินออกมาจากบ้านเพื่อความต้องการบางสิ่งบางอย่างเช่นเดียวกัน แต่มันจะมีข้อกังขาและคำถามหรือผนวกรวมไปถึงคำตัดสินหลังจากที่ผู้มีการศึกษาพินิจมองรองเท้าและเสื้อผ้าหน้าผมที่พวกเขาสวมใส่แล้ว

"ใครใช้ให้มา" "เขาจ้างมาเท่าไร" "ไม่ทำงานทำการกันหรอ" "โง่ ให้คนเขาหลอกไปตาย"

แต่สำหรับคนชั้นกลางในเมืองแล้ว การที่พวกเขาออกมาชุมนุมบนท้องถนน ถือเป็นการเสียสละเพื่อคนในชาติ เพราะพวกเขามีการศึกษา มีงานการที่มั่นคง อยู่ในสังคมอันเจริญแล้ว รับรู้ข้อมูลข่าวสารมากกว่า มีการพินิจพิเคราะห์จากข้อเท็จจริงและหลักฐานต่างๆ ประกอบกันอย่างสมเหตุสมผลแล้วจนไม่มีใครจะมาชี้นำได้  จึงมิใช่การถูกลากจูงจมูกเหมือนกับคนเสื้อแดง คนรากหญ้าทั้งหลายที่ขายชีวิตและจิตวิญญานมานอนบนถนนแลกกับเงินไม่กี่บาท

ทำไมเราจึงต้องมาพูดถึงเรื่องนี้กันอีก นั่นเพราะเรื่องนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในสังคมของเราไม่เคยจบสิ้น เพราะมันได้เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2557 หลังจากที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจากเสียงของคนชนบทที่ถูกหาว่าโง่งม บริหารประเทศไปยังไม่ทันครบวาระ ความไม่พอใจก็ระอุขึ้นในหมู่คนชั้นกลางที่อยู่ในเมืองหลวงอีกครั้ง

คนชั้นกลางที่ฉลาดเหล่านี้จะทำตัวเป็นกบเลือกนาย ไม่เคยพอใจกับอะไรสักอย่าง พวกเขาพยายามมองหาแต่ข้อเสียของพรรคการเมืองที่ตัวเองไม่ได้เลือก ออกมาโพสต์ประโคมอวดภูมิและหลักการอันสูงส่ง แข่งกันบนหน้าโซเชียลมีเดียต่างๆ จนบดบังฉันทามติของคนส่วนใหญ่ และผลงานที่นักการเมืองได้สร้างไว้ให้พวกเขาได้เสพสุขกันอยู่ทุกวันจนหมดสิ้น เพราะพวกเขาไม่เห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านั้น พวกเขามีมันในครอบครองอยู่แล้วและไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองเดือดร้อนหรือต้องการ

หรือบางครั้งอาจจะไม่พร้อมที่จะเห็นคนรากหญ้าที่พวกเขาดูถูกดูแคลนมามีสิ่งใดเสมอเหมือนกับพวกเขา

คนชั้นกลางจึงชอบลองของใหม่ เพราะพวกเขาคิดว่า"ไม่มีอะไรจะเสีย" อันหมายถึง "ดีก็ดี-ไม่ดีก็แล้วไป-ไม่ได้เข้าเนื้อ" ซึ่งสะท้อนถึงความ"เหลือเฟือ"ในทุกด้านของตัวเองอย่างเห็นแก่ตัว" และเสียงของพวกเขาใหญ่กว่าเสมอ ทุกข์ของพวกเขาใหญ่กว่าเสมอ เพราะมันถูกทำให้ดูเหมือนชีวิตของพวกเขาผูกโยงอยู่กับความเจริญทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรมของประเทศนี้แต่เพียงกลุ่มเดียว ส่วนเสียงของคนตามท้องนาท้องไร่นั้นยึดโยงอยู่เพียงแค่คันนาและต้นตาลเท่านั้น

แต่คนชนบทไม่เคยที่จะเบื่อ เพราะพวกเขาเบื่อไม่ได้ กว่าจะมี 30 บาทรักษาทุกโรค มาช่วยชีวิตคนในครอบครัว กว่าจะมีกองทุนหมู่บ้านมาหล่นใส่หัวให้พ้นจากหนี้นรกนอกระบบ กว่าจะได้ปลดหนี้ และกว่าจะมีช่องทางทำกินเปิดตัวสินค้าพื้นเมืองเข้าสู่ตลาดในนามสินค้า OTOP บางคนต้องใช้เวลาต่อสู้ดิ้นรนมาชั่วชีวิต

ประชาธิปไตยของคนชนบทจึงมีความหมายคนละอย่างกับประชาธิปไตยของคนเมือง ประชาธิปไตยของคนชนบทตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง ข้อเท็จจริง สภาวะการณ์ การต่อรองเพื่อผลประโยชน์ของคนโดยส่วนรวม

คนชนบทได้เรียนรู้ด้วยลิ้นกับฟันของตัวเอง ว่าตลอดสิบปีที่ผ่านมา อะไรคือของจริง อะไรคือสิ่งที่เขาต้องการเป็นเบื้องต้น และอาจเป็นครั้งแรกของวงศ์ตระกูล ที่ได้รู้จักคำว่า "โอกาสในการเข้าถึง"

และในทางกลับกัน ตั้งแต่ปี 49 พวกเขา"ไม่เหลืออะไรจะให้เสีย" ไปกับความวิบัติของสันดานชนชั้นกลางในเมืองอีกแล้ว...

การต่อสู้ของพวกเขาไม่เคยมีความหมายใดๆ เป็นเพียงแต่ซากร่างของมนุษย์ที่ใช้เป็นเป้ากระสุนเพื่อความสาใจให้กับคนชั้นกลางในเมือง การต่อสู้ของพวกเขาไม่เคยได้รับชัยชนะ คำว่าสิทธิและเสรีภาพกลายเป็นเวทีวิวาทะของคนชั้นกลาง ในส่วนคนรากหญ้า ควายแดง เป็นเพียงแค่วัตถุเครื่องมือที่ถูกพวกเขา ปัญญาชน คนเมืองหยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้างหรือเครื่องมือสำหรับฟาดฟันกันเพียงเท่านั้น

 

ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

อรรถพล: รีบเร่ง คลุมเครือ ไม่มีส่วนร่วม คือปัญหามติจัดตั้งโรงเรียนกึ่งรัฐ-เอกชน

Posted: 09 Mar 2018 07:10 AM PST

คุยกับอรรถพล อนันตวรสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาถึงประเด็นร้อนเรื่องการจัดตั้ง Public School โรงเรียนรัฐที่การจัดการแบบเอกชน สะท้อนความพยายามปฏิรูปการศึกษาที่วนอยู่ในอ่าง ระบุ มติมีปัญหาเพราะตัดสินใจรีบเร่ง ไม่ชัดเจน ไม่ถามความเห็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ยกตัวอย่างสหรัฐฯ ทำโรงเรียนกึ่งรัฐ-เอกชนสุดท้ายการศึกษาเหลื่อมล้ำกว่าเดิม

ภาพจากเว็บไซต์กระทรวงศึกษาธิการ

Public School คือชื่อที่คณะกรรมการพัฒนานวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษาในรูปแบบ Public School เพื่อรองรับการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาตามนโยบาย THAILAND 4.0 ที่แต่งตั้งโดยกระทรวงศึกษาธิการ มีมติยกมาเป็นชื่อโรงเรียนแบบใหม่ที่มีลักษณะกึ่งโรงเรียนรัฐกึ่งเอกชน คือเป็นโรงเรียนรัฐแต่นำการบริหารจัดการของเอกชนมาใช้ โดยจะมีการจัดตั้งโรงเรียนแบบดังกล่าวใน 76 จังหวัดและกรุงเทพฯ จากเว็บไซต์ของกระทรวงศึกษาธิการ Public School มีลักษณะดังต่อไปนี้

  • Public School จะบริหารจัดการโดยคณะกรรมการสถานศึกษา (จากนี้จะเรียกซูเปอร์บอร์ด) ประกอบด้วยตัวแทนจาก 4 ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และมหาวิทยาลัย ไม่เฉพาะมหาวิทยาลัยที่มีคณะครุศาสตร์เท่านั้น แต่เปิดโอกาสให้คณะอื่น ๆ เข้าร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย

  • ซูเปอร์บอร์ดมีอำนาจคัดเลือกหรือเปลี่ยนแปลงผู้อำนวยการ (ผอ.) ได้ การสรรหา ผอ. สามารถหามาได้ทั้งจากภาครัฐและเอกชน ตลอดจนอาจารย์คณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์

  • ซูเปอร์บอร์ดคัดเลือกครูได้ทั้งจากข้าราชกาครูหรือผู้มีความรู้ในสาขาวิชาที่ขาดแคลน (ครูอัตราจ้าง) กำหนดเงินเดือนได้เอง จัดสรรเงินพิเศษเพิ่มเติม (ท็อปอัพ) แก่ครูที่เป็นข้าราชการได้ด้วย

  • โรงเรียนในรูปแบบ Public School จะเริ่มดำเนินการตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 ในเดือน พ.ค. ที่จะถึงนี้ เพื่อเป็นโรงเรียนต้นแบบขยายไปยังโรงเรียนอื่นต่อไป

      มติดังกล่าวนำมาสู่คำถามมากมายเพราะตอนนี้รายละเอียดยังไม่ออกมา คำว่า Public School จริงๆ คืออะไร โรงเรียนรัฐตอนนี้ไม่ใช่ Public School หรอกหรือ อะไรที่ทำให้เร่งรีบบังคับใช้ขนาดนี้ ความเป็นไปได้เรื่องผลกระทบคืออะไร

      ประชาไทคุยกับ ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานเครือข่ายการศึกษาเพื่อสร้างพลเมืองประชาธิปไตย ถึงปัญหาที่เป็นใจความสำคัญของมติดังกล่าว ความคลุมเครือตั้งแต่การใช้ชื่อ Public School ตัวอย่างที่ผิดพลาดจากประเทศสหรัฐฯ ทั้งนี้ การพูดคุยสะท้อนถึงความพยายามปฏิรูปการศึกษาที่สุดท้ายก็ถูกชี้ชะตาด้วยคนไม่กี่คน โดยไม่ได้ถามความเห็นของคนที่ทำงานในระบบ เด็ก และผู้ปกครอง

      อรรถพล อนันตวรสกุล

      "จริงๆ ทุกวันนี้โรงเรียนรัฐคือ Public school คือโรงเรียนที่ดำเนินการบนฐานการไม่แสวงหากำไร แต่เขาต้องการอ้างให้มันต่างว่ามีโรงเรียนที่ทำให้มีอิสระในการจัดการตัวเองมากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่เป็นโรงเรียนเอกชน พอเขาไปตั้งชื่อว่า Public school มันก็เป็นการทำให้สับสน" อรรถพลกล่าว

      "ประกาศที่เขาออกมาคือการทำให้โรงเรียนที่เดิมเป็นของรัฐ มีคณะกรรมการโรงเรียนที่ประกอบด้วยภาคเอกชน ภาคประชาสังคมและมหาวิทยาลัยเข้ามามีส่วนในการบริหารโรงเรียน มีอำนาจในการตัดสินใจ ในขณะที่รัฐยังจ้างครูอยู่ แต่โรงเรียนเหล่านั้นสามารถจัดหาครูเพิ่มเติมตามความต้องการตัวเอง ทำหลักสูตรของตัวเองได้ ไม่ต้องขึ้นตรงกับส่วนกลาง แต่ตอนนี้คำสั่งมันยังไม่มีแนวปฏิบัติ เลยไม่รู้ว่ามีอิสระแค่ไหน ถึงขนาดที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่ลงหรือเปล่า บริหารความโปร่งใสอย่างไร ในประกาศไม่ได้พูดถึงรายละเอียดเหล่านี้ ระหว่างที่มีการทำประกาศดังกล่าวก็มีแนวคิดเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนนิติบุคคล คือทำให้โรงเรียนเป็นองค์กรอิสระ ไม่ต้องรอคำสั่งจากรัฐ ทำธุรกรรมเองได้ จัดการตัวเองไปเลย ก็มีคณะกรรมการชึ้นมาพิจารณาแต่ยังไม่มีข้อสรุปชัดเจน แต่สิ่งที่ออกมาคือโรงเรียนรัฐที่มีความยืดหยุ่น มีคณะบริหารที่เป็นคนนอก จัดหา ผอ. จ้างครูและบริหารครูเองได้ แต่คำถามก็เต็มไปหมดว่าจะเอาเงินจากไหนมาบริหารจัดการ ใครตั้งกติกา ถ้าจะจ้างครูหรือ ผอ. เองจะหาเงินจากไหนมาโปะ เพราะรัฐก็มีเงินรายหัวเด็กกับค่าตอบแทนครูที่เป็นข้าราชการ ถ้าจะเปิดช่องให้ทำธุรกิจขึ้นมา ด้วยความที่ประกาศบอกว่าโรงเรียนทำหลักสูตรได้เอง แปลว่าโรงเรียนก็ซื้อหลักสูตรจากต่างประเทศแล้วมาเก็บเงินกับพ่อแม่ได้ใช่ไหม

      "นอกจากนั้น พอประกาศใช้แล้วก็ระบุว่าต้องใช้ในอีกสองเดือน คำถามคือทำไมต้องเร่งรีบขนาดนี้ แล้วมาประกาศตอนนี้ที่อีกไม่นานโรงเรียนก็ปิดภาคเรียนแล้ว ก็ไม่รู้ว่าประกาศแบบนี้เขามีธงอะไรในใจแล้วหรือยัง มีโรงเรียนเป้าหมายที่จะทำเป็นตัวอย่างแล้วหรือเปล่า แล้วครู ผู้บริหารโรงเรียนดังกล่าวเขารู้ตัวแล้วหรือยัง

      "ประเด็นที่ต้องคำนึงคือรายละเอียด เพราะถ้าคุณไฟเขียวให้เป็นโรงเรียนกึ่งรัฐกึ่งเอกชนไปแล้ว ซูเปอร์บอร์ดมีอำนาจแค่ไหน ถ้ามีคนไม่ตรงไปตรงมาเข้าไปอยู่ในบอร์ดเยอะมันก็กลายเป็นดาบสองคมที่อาจจะกลายเป็นพื้นที่แสวงหาประโยชน์เพื่อทำธุรกิจจากการศึกษา"

      อรรถพลยังชี้ประเด็นที่สำคัญอีกเรื่องที่อาจเป็นแรงจูงใจให้เกิดสถานศึกษาลักษณะนี้ขึ้นมา คือความพยายามปฏิรูปการศึกษาที่หนีไม่พ้นวังวนของระบบสั่งการจากบนลงล่าง แต่ยังคงย้ำว่าต้องจับตามองรายละเอียดของวิธีปฏิบัติต่างๆ เนื่องจากมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับโครงการที่จะมีผลกระทบกับโรงเรียนอื่นและเป็นภาพสะท้อนคุณภาพของสถานศึกษาที่จะถูกแปรสภาพไปจากเดิม

      "ทุกคนตระหนักดีอยู่ว่าปัญหาการจัดการศึกษาในบ้านเราตอนนี้คืออำนาจมันรวมศูนย์ที่ส่วนกลาง ทุกคนก็อยากเห็นการกระจายอำนาจ การจัดการตนเอง แต่การแปลงสภาพจากรัฐมาเป็นกึ่งรัฐกึ่งเอกชนมันไม่ใช่การกระจายอำนาจที่แท้จริง มันคือการเปลี่ยนคนคุมอำนาจไปที่บอร์ดโรงเรียน ที่นิวซีแลนด์ก็มีซูเปอร์บอร์ดของโรงเรียน แต่เขามีระบบธรรมาภิบาลที่ทำให้คนตรวจสอบได้ ไม่ใช่ว่าพอเงินเข้าซูเปอร์บอร์ดไปแล้วตรวจสอบไม่ได้ แต่ประกาศที่ออกมาของเราไม่มีอะไรอธิบายเลย เวลารัฐให้จัดการตัวเอง บางโรงเรียนก็มีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล การคอร์รัปชัน ดังนั้นจะต้องมีการเตรียมความพร้อมโรงเรียนในการรับมือการเปลี่ยนผ่านจากโรงเรียนรัฐเป็นโรงเรียนกึ่งรัฐ

      "ผมเข้าใจว่าการขับเคลื่อนเรื่องนี้มาจากความหวังดี คืออยากปฏิรูปการศึกษาแต่สุดท้ายก็ไม่เวิร์คเพราะสุดท้ายก็รวมศูนย์ที่รัฐจากบนลงล่างอยู่ดี เลยจะให้โรงเรียนบริหารจัดการตัวเองได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันจริงหรือเปล่า หรืออำนาจมันไปอยู่ที่ซูเปอร์บอร์ดของโรงเรียน มีระบบกำกับติดตามหรือเปล่า ถ้าจะออกประกาศก็ต้องมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน มีการสื่อสารกับสังคม แล้วอีกสองเดือนบางโรงเรียนก็เปิดเทอมแล้ว โรงเรียนนำร่องมีความพร้อมแค่ไหน ถูกเลือกมาอย่างไร มันมีการให้ข่าวตามหลังว่าเขาจะไม่แตะโรงเรียนใหญ่ที่มีชื่อเสียง มากลายเป็นโรงเรียนกลางๆ โรงเรียนประถม ก็น่าติดตามดูและอาจจะเป็นผลดีก็ได้

      "จะเข้าไปบริหารโรงเรียนอย่างไร มีระบบที่ทำให้ผู้ปกครองมั่นใจเรื่องคุณภาพไหม เพราะทุกวันนี้โรงเรียนที่มีโครงการภาษาอังกฤษ (English Program-EP) โรงเรียนก็ต้องมีเกณฑ์ว่าครูที่จะมาสอนต้องผ่านการอบรม ถ้าไม่มีการคุย ก็มีความน่ากังวลว่าผลลัพธ์จะออกมาหน้าตาแบบไหน ไม่ใช่แค่อยากจะทำแล้วทำให้เสร็จๆ มันก็ไม่ได้ เพราะคุณกำลังจะทำสิ่งที่กระทบกับโรงเรียนอื่นด้วย ถ้าโรงเรียนกลางๆ มาเป็นแบบนี้แล้วมีครูเก่งๆ นักเรียนเก่งๆ มาเรียนที่โรงเรียนดังกล่าว โรงเรียนอื่นก็จะได้รับผลกระทบ

      "มันไม่ใช่แค่เรื่องหลักสูตร แต่การทำให้โรงเรียนของรัฐกลายเป็นของทุกคน ยอมรับว่ารัฐไม่ได้บริหารโรงเรียนได้ดี มันมีปัญหาอยู่ แต่การเปิดโอกาสให้ใครก็ได้เข้ามาเป็นบอร์ดของโรงเรียน พวกเขาก็ต้องเป็นคนที่ทำให้ผู้ปกครองไว้ใจว่าจะพาโรงเรียนไปในทิศทางที่ถูก"

      อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ยกตัวอย่างการเกิดขึ้นของโรงเรียนกึ่งรัฐกึ่งเอกชนในสหรัฐฯ ที่เรียกว่า Charter School เป็นสถานศึกษาที่รัฐยังสนับสนุน แต่โรงเรียนจ้างครูเอง เก็บเงินเพิ่มจากพ่อแม่ได้ สุดท้ายทำให้โรงเรียนรัฐกลายเป็นแหล่งรวมของพลเมืองชั้นสอง ทำให้ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาถ่าวกว้างออกไปอีก และกังวลว่าไทยอาจจะเดินตามรอยสหรัฐฯ ทั้งนี้ การพูดคุยเรื่องใหญ่ขนาดที่จะแปรรูปสถานศึกษาไม่ควรถูกกำหนดขึ้นโดยคนไม่กี่คน แต่ต้องผ่านการรวบรวมความเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก่อน เพราะสุดท้ายแล้วสถานศึกษาเป็นของประชาชน และประชาชนคือผู้ได้รับดอกผลจากการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการศึกษาโดยตรง

      "ถ้าเกิดในกรณีที่แย่ที่สุดคือเหมือนกับในสหรัฐฯ ที่มีการทำ Charter School คือการทำให้โรงเรียนของรัฐกลายเป็นโรงเรียนเอกชนไปเลย ให้โรงเรียนเก็บเงินเพิ่มเติมได้ ทั้งยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐตามปรกติ มีโปรแกรมพิเศษ มีการจ้างครู เทรนครูเอง เก็บเงินพ่อแม่เพิ่ม ทีนี้พ่อแม่ที่มีเงินจ่ายก็เอาลูกไปเข้าที่ Charter School โรงเรียน Public School ก็ถดถอย กลายเป็นแหล่งรวมพลเมืองชั้นสองหรืออาจจะยากจนหน่อย สหรัฐฯ ก็ยังแก้ปัญหาไม่ตกอยู่ ถ้าไทยเดินตามแบบนี้ก็น่ากลัวอยู่

      "แล้วของเราจะเดินตาม Charter school หรือเปล่า อยู่ๆ มาคุยเรื่องใหญ่ขนาดนี้ อย่าลืมว่าโรงเรียนมันไม่ใช่ของคณะกรรมการคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นของประชาชน แต่คุณไม่ถามครู ไม่ถามผู้บริหารสถานศึกษา ไม่ถามเด็ก ไม่ถามผู้ปกครองเลยมันก็ไม่ได้ไง ทำไมต้องเร่งรีบทำให้ทันปีการศึกษาใหม่ ในเมื่อเดี๋ยวก็จะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง แล้วถ้ารัฐบาลเลือกตั้งไม่เอาแนวทางนี้จะทำอย่างไร นอกจากนั้น มันมีผลกระทบกับคนทำงานในระบบ กับผู้ปกครอง กับเด็กอย่างไร ถ้าเขาจะคิดให้รอบคอบก็ต้องฟังเสียงคน ไม่ใช่เรื่องที่จะปิดประตูห้องคุยกันเฉพาะคณะกรรมการที่จะเออออกันแล้วก็ลุยเลย" อรรถพลกล่าว

      ประชาไทชวนผู้อ่านตั้งข้อสังเกตว่า ประชาชนคนเดินดินมีสิทธิอะไรบ้างในการกำหนดอนาคตทางการศึกษาของพวกเราและบุตรหลานถ้าแม้แต่การแปรสภาพโรงเรียนยังไม่มีการรับฟังความเห็นจากครูและผู้ปกครอง หรือหนึ่งในสาเหตุที่นโยบายด้านการศึกษาขาดห้วง ไร้ความต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชนชั้นนำที่กำหนดนโยบายพากันคิดเองเออเองกันทั้งนั้น

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      ผบ.ทบ. ระบุ 'ธนาธร-ปิยบุตร' มีสิทธิ์ตั้งพรรค ชี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารญาณของประชาชน

      Posted: 09 Mar 2018 06:26 AM PST

      วันที่ 6 กลุ่มการเมืองขอตั้งพรรค 52 กลุ่มแล้ว พล.อ.เฉลิมชัย ชี้เป็นนิมิตรหมายดี ระบุ 'ธนาธร-ปิยบุตร' มีสิทธิ์ตั้งพรรค ทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารญาณของประชาชน ชี้คนรุ่นใหม่เข้ามาเล่นการเมือง เป็นเรื่องปกติ มอง กปปส. จะตั้งพรรคคงไม่มีความขัดแย้ง 

      9 มี.ค.2561 สื่อหลายสำนักรายงานว่า ที่กองบัญชาการกองทัพบก พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่พรรคการเมืองใหม่จดทะเบียนจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ ว่า ถ้ามองในภาพการเมืองนับเป็นนิมิตรหมายดี ที่มีการจัดตั้งพรรค จองชื่อพรรคเป็นจำนวนมาก และมีความหลากหลาย จึงเป็นการตื่นตัวทางการเมือง รวมทั้งเป็นทางเลือกให้ประชาชนสามารถได้หลายตัวเลือก ส่วนการที่กลุ่ม กปปส.ที่เคยเป็นกลุ่มม็อบการเมือง แต่จะตั้งพรรคการเมืองนั้น ตนไม่ได้มองในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ประชาชนต้องมอง ซึ่งตนเองไม่เกี่ยว ซึ่งถ้าจัดตั้งพรรคมาแล้วเป็นที่ยอมรับของพี่น้องประชาชนอย่างไร สิ่งนี้ต่างหากเป็นเรื่องสำคัญ

      ต่อกรณีคำถามที่ว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ รองประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัทไทยซัมมิท ตั้งพรรค แล้วมี ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการกลุ่มนิติราษฎร์ ผู้ซึ่งเคลื่อนไหวแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ทาง คสช.ประเมิน อย่างไรนั้น พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ทุกคนมีสิทธิ์จัดตั้งพรรค แต่จะได้รับสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน จากพี่น้องประชาชน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ละคนก็จะมองว่าพื้นฐานแต่ละพรรคเป็นอย่างไร ตนเชื่อว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับวิจารญาณของพี่น้องประชาชน 

      กปปส. จะตั้งพรรคคงไม่มีความขัดแย้ง 

      สำหรับคำถามที่ว่า กลุ่มการเมืองอย่าง กปปส.จะตั้งพรรค มองว่าจะเกิดความขัดแย้งหรือไม่ นั้น ผบ.ทบ. กล่าวว่าคงไม่มีความขัดแย้ง เพราะหน้าที่หลักของตนจะดูแลด้านความมั่นคง เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งให้ได้ ซึ่งเรื่องก่อนหน้านี้ไม่มีปัญหาอะไร และเชื่อมั่นว่าจะดูแลสถานการณ์ได้ อีกทั้งยังเชื่อว่าเมื่อถึงการเลือกตั้งก็ต้องขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนว่าจะเลือกใครหรือไม่ ด้วยเห็นผลอะไรต่างหาก 

      ถามถึงหลักเกณฑ์การพิจารณาผ่อนปรนให้พรรคการเมืองใหม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ อย่างไร พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า ต้องเป็นไปตามขั้นตอนว่าพรรคการเมืองใหม่ต้องทำอะไรบ้าง เช่น การประชุมพรรค และเหตุผลในการขอมีอะไรบ้าง ซึ่งการขอต้องขอผ่านคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อให้คสช.พิจารณา ซึ่งส่วนใหญ่กระบวนการเรื่องพรรคการเมือง นะไม่น่ามีปัญหาอะไรอยู่แล้ว  ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงนี้ คนที่เตรียมตั้งพรรคการเมืองต้องเคลื่อนไหว เพื่อให้มีบทบาทในสังคม ให้ประชาชนรู้จัก ซึ่งตนไม่เชื่อว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะนำมาซึ่งความวุ่นวาย และคิดว่าไม่มี 

      ชี้คนรุ่นใหม่เข้ามาเล่นการเมือง เป็นเรื่องปกติ

      ผู้สื่อข่าวถามว่า ดูหน้าตาพรรคการเมืองใหม่ๆ จะเปลี่ยนแปลงประเทศได้หรือไม่ พล.อ.เฉลิมชัย กล่าวว่า จะตอบโดยตรงไม่ได้หรอก เพราะนโยบายของพรรคอะไรต่างๆยังไม่ถึงขั้นนั้น ตนคงตอบไม่ได้ ตอนนี้มีเพียงบุคลากรที่ออกมาเคลื่อนไหว ซึ่งตอนนี้ยังมีเวลา ไม่มีอะไรจะต้องกังวล

      "ผมมองว่าการที่คนรุ่นใหม่เข้ามาเล่นการเมือง จะคาดหวังหรือไม่คาดหวัง เป็นเรื่องปกติ บ้านเมืองเราจะเป็นยุคสมัย เปลี่ยนผ่านไป เหมือนกรณีผมออกไปก็จะมีคนรุ่นใหม่เข้ามา เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่การเลือกตั้งขึ้นอยู่กับพี่น้องประชาชนว่าคิดเรื่องเหล่านี้อย่างไร" พล.อ.เฉลิมชัย กล่าว

      วันที่ 6 กลุ่มการเมืองขอตั้งพรรค 52 กลุ่มแล้ว

      รายงานจากสำนักงาน กกต. วันนี้ (9 มี.ค.61) ซึ่งเป็นที่ 6 ของการเปิดให้จดแจ้งจัดตั้งพรรคการเมือง ปรากฎว่ายังคงมีกลุ่มการเมืองทยอยเดินทางยื่นขอจดแจ้งอย่างต่อเนื่อง   โดยช่วงเช้า  มี 2 กลุ่ม  คือ กลุ่ม สุรพจน์ เพชรกรรพุม ยื่นคำขอตั้งพรรคเพื่อฅนไทย  และนายสมัคร พรมวาด  ยื่นขอตั้งพรรคภูมิพลังเกษตรไทย ทำให้ขณะนี้มียอดกลุ่มการเมืองขอตั้งพรรคแล้ว 52 พรรค    

      ส่วนพรรคของ กปปส. ที่ก่อนหน้านี้ ธานี เทือกสุบรรณ น้องชาย สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน  ระบุว่า จะมายื่นขอแจ้งจัดตั้งพรรค ภายในวันที่ 6 มี.ค. นี้   ล่าสุด ธานี ระบุว่า ยังไม่ชัดเจนว่าจะมาจดจัดตั้งพรรคใหม่ได้เมื่อใด เพราะอยู่ระหว่างการเคลียร์กันอยู่  

      รายงานข่าวระบุด้วยว่า ในจำนวนกลุ่มการเมืองที่มาขอตั้งพรรค มี 7 -8 กลุ่ม ที่ได้ทำหนังสือขออนุญาต คสช. จัดประชุมผู้ร่วมจัดตั้งพรรค และหาสมาชิกพรรคให้ครบตามที่กฎหมายกำหนด  โดยสำนักงาน กกต. ได้ตรวจสอบหนังสือแล้ว ปรากฎว่า มีเพียง 1 กลุ่ม ที่เอกสารถูกต้อง และได้ส่งให้ คสช.พิจารณาแล้ว  ขณะที่ กลุ่มการเมืองที่เหลือ กรอกรายละเอียดไม่ครบตามเงื่อนไข   สำนักงาน กกต.จึงได้ส่งกลับไปให้แก้ไข  และ วันนี้ สำนักงานจะได้ส่งตัวอย่างการกรอกแบบฟอร์มไปให้กับกลุ่มการเมืองต่างๆ ด้วย    

      ส่วนเรื่องคุณสมบัติของผู้ร่วมจัดตั้งพรรคนั้น  สำนักงาน กกต.ได้ทยอยส่งให้ 8 หน่วยงาน อาทิ ป.ป.ช. กรมราชทัณฑ์ ศาลยุติธรรม  สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา และสำนักงาน กพ. ตรวจสอบคุณสมบัติ 

      รายงานข่าวยังระบุว่า วันนี้ สำนักงาน กกต.ยังทำหนังสือถึง 69 พรรคการเมืองเดิม ถึงการเตรียมการปรับปรุงพรรคให้สอดคล้องกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ฉบับใหม่ และวันที่ 28 มีนาคมนี้  กกต.จะจัดประชุมชี้แจง รวมทั้ง หนังสือขออนุญาต คสช. เพื่อจัดประชุมพรรคการเมือง ที่พรรคเก่าก็ควรที่จะเริ่มทยอยขออนุญาตล่วงหน้าได้แล้ว เพราะพรรคเก่าจะมีรายละเอียด หรือสิ่งที่ต้องปฎิบัติตามขั้นตอนทางธุรกรรมมากกว่าพรรคตั้งใหม่

       

      ที่มา : สำนักข่าวไทย ไทยโพสต์ กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ และไทยรัฐออนไลน์

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      วิญญัติ ชาติมนตรี: ได้เวลายกเลิก 3/58 ความเห็นเพื่อสิทธิเสรีภาพ วันป๋วย อึ๊งภากรณ์

      Posted: 09 Mar 2018 05:43 AM PST

      ความเป็นประชาชนชาวไทยที่พอเข้าใจถึงกลไกทางการเมืองมาสู่การยึดอำนาจการปกครองของกองทัพ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 หลายเหตุผลถูกจัดชุดเป็นสูตรสำเร็จผ่านการสะท้อนทางความคิดและการปฏิบัติโดยตรงจากผู้นำทางทหาร มีกลุ่มคนอนุรักษ์นิยมและกลุ่มผลประโยชน์ ยกตัวช่วยด้วยความคุ้นชินยินยอมพร้อมใจของคนบางกลุ่มที่มีอยู่ในระดับมากพอที่จะปลุกกระแสแนวร่วมหรือมีกองหนุนเป็นพลังมวลชนของตนได้อย่างที่ยืดเบ่งออกมาให้เห็น

      ระยะเริ่มต้นที่ทางขึ้นของการครองอำนาจที่เต็มไปด้วยความหอมหวานดั่งยาวิเศษ แฝงเร้นด้วยความหวาดหวั่นครุ่นคิด กฏเกณฑ์ที่ใช้กดขี่จึงถูกสร้างขึ้นด้วยกฎอัยการศึก เป็นข้อจำกัดสำหรับสีและสัญญลักษณ์ที่มั่นคงด้วยความนิยมที่เป็นฝันร้ายของอำนาจ เพื่อขีดกรอบควบคุม ปิดปาก ปิดการเคลื่อนไหวทางการเมืองเฉพาะกลุ่ม ระยะทางที่โชติช่วงนั้นถูกตราหน้าติติงจากนานาประเทศ จึงแปรสภาพมาเป็นคำสั่งของผู้นำ แต่นั่นอาจไม่ได้เป็นตัวช่วยที่ดีอีกต่อไป กลับกลายเป็นสิ่งย้อนกลับให้มือที่อาจไม่เข้าใจลึกซึ้ง ไม่เคยเรียนรู้ถึงความซับซ้อนของปัญหา อาจต้องพังครืนลง

      เมื่อธรรมชาติของสรรพสิ่งบนโลกนี้ หลายคนมองข้ามและประมาท กาลเวลาที่นำพาการกระทำจากผลของอำนาจนิยมที่รุกรานความเป็นธรรม ริดรอนสิทธิเสรีภาพของชาวประชา สะสมผสานคาบเกี่ยวการใช้กระบวนการยุติธรรมที่ละเอียดอ่อน รุกคืบครอบไปถึงฝ่ายต่างๆกระทบต่อกองหนุนไปด้วย ล้วนกลายเป็นเหตุปัจจัยสู่ความล้มเหลวของระบบควบคู่กับข้อกล่าวหาคอรัปชั่นที่สัมผัสได้โดยไร้สิ่งปรุงแต่ง

      เงื่อนเวลาต่อจากนี้ไป มีเพียงการรอความพร้อมของบางอย่างที่จะปูทางสานต่อของอำนาจ เพื่อความอยู่รอด แม้จะพร้อมหรือไม่ก็ตาม ยุทธศาสตร์การยอมรับและเชื่อมั่นกับยาวิเศษต้องปรับแผนวางรากฐานในพื้นที่สีแดง และหลากสีเสียใหม่ เพราะความต้องการให้อยู่ได้ภายใต้กลไกกติกาที่กำหนดไว้และเต็มไปด้วยกับดัก ด้วยกติกาก็ล้าหลัง ต้องปรับยุทธศาสตร์นี้เพื่อสร้างราคาและโอกาส

      สถานการณ์บ้านเมืองเดินทางมาถึงจุดที่ไร้เส้นทางไปต่อ คล้ายกับไม่ได้เดินหน้าไปไหน แต่ย่ำอยู่กับที่มาตลอด แม้หลายฝ่ายมองไปถึงการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น กลายเป็นปัจจัยต้องหาทางลงให้ความสำคัญของการยอมรับอยู่ที่สิทธิเสรีภาพของประชาชน หมดความจำเป็นและหมดสิ้นความชอบธรรมลงเสียที

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      อัยการสั่งไม่ฟ้อง MBK 39 เนื่องจากเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

      Posted: 09 Mar 2018 03:32 AM PST

      อัยการแขวงปทุมวันมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง คนอยากเลือกตั้ง ชุด MBK39 ซึ่งถูกพ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ แจ้งความข้อหาฝ่าฝืน คำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตามพ.ร.บ.การชุมนุมฯ เนื่องจากเห็นว่าการฟ้องจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ แต่ต้องรอความเห็นอัยการสูงสุดก่อน

      9 มี.ค. 2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า  เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานอัยการแขวงปทุมวัน พนักงานอัยการได้นัดหมายผู้ต้องหาในคดีคนอยากเลือกตั้ง หรือ "MBK39" ซึ่งถูกกล่าวหาว่าฝ่าฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช.ที่ 3/2558 และชุมนุมในรัศมี 150 เมตร จากเขตพระราชฐาน ตามพ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 จากการชุมนุมที่สกายวอล์คหน้าห้างสรรพสินค้า MBK (มาบุญครอง) เมื่อวันที่ 27 ม.ค.61 ให้มารายงานตัว

      หลังจากเมื่อวันที่ 7 มี.ค. ทางพนักงานสอบสวนสภ.ปทุมวันได้ส่งตัวผู้ต้องหาและสำนวนให้พนักงานอัยการ โดยมีความเห็นสั่งฟ้องคดี และอัยการได้นัดหมายให้เข้ารายงานตัวในวันนี้ โดยทางกลุ่มผู้ต้องหายังได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมและขอให้อัยการมีคำสั่งสอบสวนพยานของผู้ต้องหาเพิ่มเติมไปยังพนักงานสอบสวน

      สำหรับการเข้ารายงานตัวในวันนี้ มีผู้ต้องหาเดินทางไปที่สำนักงานอัยการแขวงปทุมวันทั้งหมด 23 คน โดยมีผู้ต้องหา 5 คน ได้ขอเลื่อนการเข้ารายงานตัวไว้ก่อนหน้านี้ เนื่องจากติดภารกิจ

      ในวันนี้ พนักงานอัยการเจ้าของสำนวนได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดี เนื่องจากเห็นว่าการฟ้องจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณะ และจะได้ทำความเห็นพร้อมส่งสำนวนไปที่อัยการสูงสุด ให้มีความเห็นต่อไป พร้อมได้นัดผู้ต้องหามารายงานตัว และฟังคำสั่งอีกครั้งในวันที่ 19 เม.ย.61 เวลา 10.00 น.

      ประชาชนเหยียบเบรค ต้าน คสช. สืบทอดอำนาจ เลื่อนเลือกตั้ง

      คสช. แจ้ง 2 ข้อหา 7 คนเหยียบเบรค คสช. สืบทอดอำนาจ เลื่อนเลือกตั้ง

      ตร.ไม่ให้ MBK39 เลื่อนฟังข้อกล่าวหา แต่จะออกหมายเรียกรอบสอง 8 ก.พ.นี้

      MBK39 เข้ารับทราบข้อกล่าวหา บก.ลายจุดข้องใจข้อหา 116 มาได้ไงทั้งที่ไม่ได้ปราศรัย

      ศาลสั่งคุก 12 วัน 2 จำเลย คนอยากเลือกตั้ง MBK39 สารภาพลดเหลือรอลงอาญา 1 ปี

      'คนอยากเลือกตั้ง' ร้องศาล รธน. วินิจฉัยการดำเนินคดีฝืนคำสั่งหัวหน้าคสช. ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่

      ทั้งนี้ ความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการเจ้าของสำนวนยังไม่ถือว่าทำให้คดีสิ้นสุด ยังต้องรอความเห็นจากอัยการสูงสุดต่อไป โดยการส่งสำนวนไปที่อัยการสูงสุดของพนักงานอัยการเจ้าของสำนวน เป็นไปตามอำนาจใน พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ.2553 มาตรา 21 วรรคสอง ซึ่งระบุว่า "ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าการฟ้องคดีอาญาจะไม่เป็นประโยชน์แก่สาธารณชน หรือจะมีผลกระทบต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงของชาติ หรือต่อผลประโยชน์อันสำคัญของประเทศให้เสนอต่ออัยการสูงสุด และอัยการสูงสุดมีอำนาจสั่งไม่ฟ้องได้ ทั้งนี้ ตามระเบียบที่สำนักงานอัยการสูงสุดกำหนด โดยความเห็นชอบของ ก.อ."

      ขณะเดียวกัน วานนี้ (8 มี.ค.) ศาลแขวงปทุมวันได้พิพากษาคดีของ MBK39 อีก 2 ราย ได้แก่ นายนพเก้า คงสุวรรณ และนายนพพร นามเชียงใต้ ซึ่งให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นสอบสวนก่อนหน้านี้ โดยเห็นว่าจำเลยทั้งสองคนกระทำความผิดในทั้งสองข้อหา พิพากษาให้จำคุก 12 วัน ปรับ 6,000 บาท แต่ให้การรับสารภาพ ลดโทษครึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 6 วัน ปรับ 3,000 บาท เนื่องจากจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี โดยศาลไม่ได้พิจารณาในรายละเอียดพฤติการณ์ต่างๆ แต่อย่างใด

      ในส่วนผู้จัดการชุมนุมและผู้ชุมนุมอีก 9 ราย ในกรณีการชุมนุม MBK39 นี้ ที่มีการกล่าวหาในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 ด้วยนั้น คดียังอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวน

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      อภิสิทธิ์ ย้ำ ปชป. ตรงข้ามระบอบทักษิณ และต่างจาก กปปส.

      Posted: 09 Mar 2018 01:38 AM PST

      อภิสิทธิ์ ยันพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณ ไม่มีทางร่วมมือกับเพื่อไทย หากไม่ก้าวพ้นจากระบอบทักษิณ แต่ ปชป. ก็ต่างจาก กปปส.  เพราะพรรคไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ

      ที่มาภาพ เฟสบุ๊ค Abhisit Vejjajiva

      9 มี.ค.2561 รายงานข่าวระบุว่า วันนี้ ที่โรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคดูพื้นที่ภาคใต้ นัดอดีต ส.ส.สายใต้ ให้ยืนยันการเป็นสมาชิกพรรคในเบื้องต้นว่า เป็นกระบวนการทำงานของรองหัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นการประสานงานเพื่อให้เกิดความพร้อม เพราะที่ผ่านมายังไม่มีใครแสดงความจำนงที่จะออกจากพรรค นอกจาก ธานี เทือกสุบรรณ อดีต ส.ส.สุราษฎร์ธานี ที่แสดงความจำนงจะไปจดแจ้งทะเบียนพรรคใหม่ ทั้งนี้ยืนยันจุดยืนของพรรคว่า อยู่ตรงข้ามกับระบอบทักษิณ ดังนั้นการจะไปร่วมงานกับพรรคการเมืองใดจะต้องเป็นผู้ที่มีอุดมการณ์ตรงกัน และเพื่อประโยชน์ของประเทศเท่านั้น ซึ่งจุดยืนนี้ตรงกันกับแนวทางของ กปปส.แต่ที่แตกต่างคือ การสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นนายกฯ เพราะพรรคมีระบบจุดยืนและอุดมการณ์ในการสนับสนุนบุคลากรและนโยบายของพรรค

      "เป็นสิทธิของแต่ละพรรคการเมืองที่จะสนับสนุนใคร แต่ก็ต้องดูท่าทีว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะยินยอมให้พรรคการเมืองเสนอชื่อตนเองหรือไม่ และถ้ายินยอม จะยินยอมกับพรรคไหน แต่ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์เป็นไปตามระบบของพรรคเรา พรรคลงสมัครรับเลือกตั้งก็สนับสนุนนโยบายและคนของพรรค โดยพรรคประชาธิปัตย์ยืนยันเป็นพรรคแรกว่าหลังการเลือกตั้ง สมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน ควรเคารพเจตนารมณ์ของประชาชนที่แสดงออกผ่านการเลือกตั้ง อันนี้สำคัญที่สุด โดยต้องดูในระหว่างการเลือกตั้งด้วยว่า ใครหาเสียงไว้อย่างไร และได้รับคะแนนเสียงมาอย่างไร และต้องเลือกตามรัฐธรรมนูญ" อภิสิทธิ์ กล่าว
       
      เมื่อถามว่า หลังเลือกตั้งจะมีโอกาสในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ อภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนพูดมาตลอดว่าพรรคเพื่อไทยสามารถก้าวพ้นจากระบอบทักษิณได้หรือไม่ แต่ยืนยันว่าไม่มีทางที่พวกตนจะไปร่วมมือ และทำให้เกิดปัญหาแบบระบอบทักษิณขึ้นมาอีก เพราะต่อสู้กันมา 20 ปี และเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาในประเทศ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่พรรคจะทำในสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่ต่อสู้กันมาตลอด และกล้าพูดได้ว่าพวกตนต่อสู้กับระบอบนี้มายาวนานที่สุดด้วย
       
      หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการได้มาซึ่งวุฒิสภา พ.ศ…. ซึ่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ อาจเข้าชื่อยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ว่า ไม่น่ามีปัญหา เพราะเข้าใจว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องอย่างศาลรัฐธรรมนูญ น่าจะมีการตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญอยู่ก่อนแล้ว และไม่น่าจะกระทบกับโรดแมปการเลือกตั้ง เพราะโรดแมปเลือกตั้งผูกติดอยู่กับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกภาผู้แทนราษฎร พ.ศ…. ซึ่งมีการขยายเวลาบังคับใช้ออกไปแล้ว 90 วันอยู่แล้ว

       

      ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์ และประชาชาติธุรกิจออนไลน์

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      อ.แม่ฟ้าหลวง เบิกความคดีโพสต์ภาพพระบรมฯ ปี 59 ย้ำแม้เป็นความจริง ก็ผิด ม.112

      Posted: 09 Mar 2018 12:57 AM PST

      คดีช่างตัดแว่น โพสต์ภาพพระบรมฯ ปี 59  อาจารย์นิติศาสตร์ แม่ฟ้าหลวง ขึ้นเบิกความในฐานะพยานโจทก์ ยันแม้เป็นความจริง ก็ถือเป็นการใส่ความ และเป็นความผิดตาม ม.112 

      9 มี.ค.2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้ ที่ศาลมณฑลทหารบกที่ 37  จ.เชียงราย อัยการศาลมณฑลทหารบกที่ 37 ได้นำอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เข้าเบิกความเป็นพยานฝ่ายโจทก์ ในคดีของ สราวุทธิ์ (สงวนนามสกุล) ช่างตัดแว่นตาพ่อลูกอ่อนใน จ.เชียงราย ข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14 โดยที่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 12 ต.ค. 60 ได้นำอาจารย์คณะนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เข้ามาเบิกความ เป็นการเบิกความให้ความเห็นต่อภาพและข้อความประกอบที่จำเลยถูกฟ้องร้อง

      วันนี้ สุชิน กฤตลักษณ์วงศ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ได้ขึ้นเบิกความเป็นพยานโจทก์ปากที่สาม โดยสรุปว่าพยานได้เห็นภาพและข้อความที่จำเลยได้ถูกฟ้องร้องแล้ว มีความเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท ซึ่งภาพของบุคคลและข้อความที่ปรากฎเป็นพยานหลักฐานในคดี พยานเห็นว่าเป็นการใส่ความสมเด็จพระบรมฯ ซึ่งประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้นแม้เป็นความจริง ก็ถือเป็นการใส่ความ และถือว่าเป็นความผิดตามมาตรา 112

      ทางทนายจำเลยได้ถามค้านพยานปากนี้ว่าเอกสารที่นำมาใช้เป็นพยานหลักฐานอื่นๆ ทุกภาพนั้น ปรากฎที่อยู่ทางอิเล็กทรอนิกส์ (URL) ทั้งหมด แต่ภาพและข้อความที่นำมาฟ้องร้องจำเลยนั้นกลับไม่ปรากฎ URL อยู่เลยใช่หรือไม่ ซึ่งพยานก็ได้เบิกความตอบว่าไม่ปรากฎ URL แต่อย่างใด

      เมื่อเสร็จสิ้นการสืบพยานในวันนี้ คู่ความได้นัดหมายสืบพยานโจทก์ปากต่อไป ในวันที่ 5 เม.ย. 61

      ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานเพิ่มเติมว่า คดีนี้ อัยการทหารมีการสั่งฟ้องต่อศาลทหารเมื่อวันที่ 29 ธ.ค.59 และทำการเริ่มสืบพยานโจทก์แล้วเสร็จไปได้ 1 ปาก คือ พ.ท.อิสระ เมาะราษี เจ้าหน้าที่ทหารฝ่ายข่าวของมณฑลทหารบกที่ 37  จากนั้นวันที่ 12 ต.ค.60 อัยการทหารได้นำ สว่าง กันศรีเวียง อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย เข้าเบิกความเป็นพยานโจทก์ปากที่สอง โดยสรุปว่าพยานเป็นคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย ก่อนหน้านี้พยานเคยให้ความเห็นทางกฎหมาย ในคดีความผิดตามมาตรา 112 มาแล้วประมาณ 5 - 6 คดี  ในคดีนี้พนักงานสอบสวนได้ทำหนังสือไปยังอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฎเชียงราย จากนั้นอธิการบดีจึงมีคำสั่งให้พยานรับผิดชอบให้ความเห็นทางกฎหมาย โดยได้รับอนุญาตจากอธิการบดี

      เมื่อพยานได้ดูภาพและข้อความประกอบที่จำเลยถูกกล่าวหาในคดีแล้ว พยานได้ให้ความเห็นว่า สถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นสถาบันที่ต้องได้รับการเคารพและอยู่เหนือการติชม ประกอบกับตอนนั้นเราใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว ปี 2557 ซึ่งบัญญัติไว้ชัดเจนและมีมาตรา 112 ตามประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติไว้ชัดเจนว่าพระมหากษัตริย์และรัชทายาท ต้องไม่ถูกดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย ซึ่งปัจจุบันมีรัฐธรรมนูญปี 2560 ก็บัญญัติไว้ชัดเจนสอดคล้องกัน จำเลยได้ใช้สิทธิและเสรีภาพในการติชมในทางที่เป็นปฎิปักษ์กับองค์รัชทายาท และสถาบันพระมหากษัตริย์ เป็นการดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาท โดยช่วงท้ายของการเบิกความพยานก็ได้เบิกความต่อศาลอีกด้วยว่าพยานไม่ทราบว่าภาพจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ตามภาพพยานได้ให้ความเห็นแบบนี้

      โดยในระหว่างการถามค้านของทนายความจำเลย พยานได้ตอบทนายจำเลยว่าตนมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์และเฟสบุ๊คพอสมควร และในเอกสารที่จำเลยถูกฟ้องร้อง ก็ไม่ปรากฎ URL แต่ในส่วน URL ต้องเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญเข้ามาเบิกความ พยานเพียงแต่ดูเอกสารแล้วให้ความเห็นเท่านั้น

      สำหรับคดีนี้ จำเลยถูกกล่าวหาว่าเมื่อวันที่ 21 ก.ค.59 ได้โพสต์ภาพพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชในขณะนั้น จำนวน 2 ภาพเรียงต่อกัน โดยภาพหนึ่งเป็นภาพของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ในอิริยาบถเป็นการส่วนพระองค์ ลักษณะทรงยืนรับการถวายความเคารพจากเจ้าหน้าที่ คู่กับสุภาพสตรีไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด กับภาพด้านขวาที่ทับซ้อนกับภาพด้านซ้าย บางส่วนเป็นพระฉายาลักษณ์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช พร้อมกับโพสต์ข้อความว่า "ทรงพระเท่มากพะยะค่ะ" ในบัญชีเฟสบุ๊คส่วนตัว

      ต่อมา วันที่ 26 ส.ค.59 สราวุทธิ์ จำเลย ได้ถูกเจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่จากปอท. เข้าตรวจค้นที่บ้านพัก พร้อมกับตรวจยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ และแฟลชไดรฟ์ไป  หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนได้มีการเรียกตัวนายสราวุทธิ์ไปแจ้งข้อกล่าวหาที่สภ.เมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 11 ต.ค.59 ก่อนที่จะถูกนำตัวไปขออำนาจศาลทหารในการฝากขัง โดย สราวุทธิ์ ไม่ได้รับการประกันตัวในช่วงแรก หลังจากญาติยื่นขอประกันตัวจำนวน 3 ครั้ง จนกระทั่งได้รับการประกันตัวในการยื่นครั้งที่ 4 ด้วยหลักทรัพย์ 1 แสนบาท หลังจากถูกคุมขังในเรือนจำรวม 38 วัน

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      ศาลฎีกาสั่งจำคุก 3 ปี คนเสื้อแดงโคราช ม.112

      Posted: 08 Mar 2018 11:59 PM PST

      นครราชสีมา: ศาลฎีกาพิพากษา "อนุวัฒน์" แกนนำคนเสื้อแดง อดีตประธาน นปช. โคราช ม.112 จำคุก 3 ปีไม่รอลงอาญา กรณีปราศรัยพาดพิงสถาบันกษัตริย์ บนเวที "นปช.ลั่นกลองรบ" เมื่อ ปี 2557

      ศูนย์ข่าวนครราชสีมา นสพ.ผู้จัดการ รายงานว่า  8 มีนาคม 2561 ที่ห้องพิจารณาคดีที่ 16 ชั้น 3 ศาลจังหวัดนครราชสีมา ผู้พิพากษาขึ้นนั่งบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาศาลฎีกา โดยมีคำสั่งยืนตามศาลอุทธรณ์ ให้จำคุก นายอนุวัฒณ์ ทินราช แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงโคราช เป็นเวลา 3 ปี โดยไม่รอลงอาญา ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

      หลังอ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้น เจ้าหน้าที่ได้ควบคุมตัว นายอนุวัฒน์ ไปคุมขังที่เรือนจำกลางนครราชสีมาทันที ท่ามกลางกลุ่มคนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจ และแสดงความเห็นใจนายอนุวัฒน์

      ที่มาของคดีเกิดจาก นายอนุวัฒณ์ ทินราช ประธาน นปช.นครราชสีมา และในขณะนั้นยังดำรงตำแหน่งรองนายก อบจ.นครราชสีมา ได้กล่าวปราศรัยบนเวทีชุมนุมแกนนำคนเสื้อแดงจากทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อ "นปช.ลั่นกลองรบ" ที่อาคารลิมปตพัลลภ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557 จึงได้ถูกแจ้งข้อหาดำเนินคดีว่ามีการกระทำเข้าข่ายหมิ่นสถาบันกษัตริย์ โดยมีหลักฐานเป็นบันทึกภาพเคลื่อนไหว คลิปวิดีโอ การถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์

       

      ที่มา: https://mgronline.com

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      การพิทักษ์จารีตของพุทธเถรวาทไทยผ่านการเรียนบาลี

      Posted: 08 Mar 2018 11:19 PM PST

      บาลีเป็นภาษาหนึ่งที่ถูกเชื่อว่าผู้เรียนจะทำหน้าที่รักษาพุทธพจน์หรือพุทธศาสนาเถรวาทไว้ได้ แต่การเรียนบาลีในประเทศไทยภายใต้การสนับสนุนของรัฐซึ่งจัดการแบบรวมศูนย์ได้กลายเป็นเครื่องจักรสำคัญในการรักษาจารีตเดิมของพุทธแบบไทย การเรียนจึงไม่เอื้อต่อการตีความที่หลากหลายและความก้าวหน้าทางวิชาการด้านภาษาศาสตร์ แต่กลับส่งเสริมให้ผู้เรียนเติบโตในวงการสมณศักดิ์


      การเรียนบาลีในไทยมิใช่ภาษาศาสตร์แต่เป็นศาสนศึกษา

      มีความพยายามของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในการเขียนตำราภาษาบาลีให้เป็นภาษาศาสตร์ เช่น การแบ่งพยัญชนะออกเป็นหมวดหมู่และจัดให้เข้ากับฐานเสียง และการสรุปย่อไวยากรณ์เป็นหมวดเหมือนภาษาทั่วไป คือ นาม คุณนาม กิริยา เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้ต่อมาจะมีการเขียนหนังสือไวยากรณ์ออกมาเพิ่ม แต่เน้นไปที่การแก้สำนวนให้ทันสมัยขึ้น มากกว่าจะพัฒนาตำราเดิมให้เป็นภาษาศาสตร์ 

      ข้อจำกัดอย่างหนึ่งของการพัฒนาตำราไวยากรณ์อาจเป็นเพราะสนามหลวงยึดตำราเดิมเป็นแนวข้อสอบ ผู้เขียนสมัยเป็นสามเณรก็ถูกแนะนำจากอาจารย์ให้เขียนตอบตามตำราให้มากที่สุดและนักเรียนที่ท่องจำตำราได้จะมั่นใจว่ามีโอกาสผ่านมากกว่าการตอบอธิบายตามความเข้าใจ ดังนั้น การมาเน้นให้ผู้เรียนท่องจำจึงสำคัญกว่าการออกแบบตำราให้ง่ายต่อการเรียน

      ตำราเรียนภาษาบาลียังมีปัญหา ให้นึกภาพว่า ผู้ที่จะช่ำชองภาษาบาลีได้ต้องเรียนถึงประโยค ป.ธ. 9 หรือใช้เวลาอย่างน้อย 8 ปี (สอบปีละครั้ง ส่วนประโยค 1-2 รวบเข้าด้วยกัน) ซึ่งการเรียนภาษาอื่นๆ เช่น อังกฤษ หรือที่ยอมรับกันว่ายาก เช่น จีน ฝรั่งเศส หรือสันสกฤต ผู้เรียนใช้เวลาเพียง 2-3 ปี การเรียนบาลีที่ต้องใช้เวลานานมิใช่เพราะเป็นภาษาที่พิสดารกว่า หากแต่ตำราเรียนมีปัญหาและผู้สอนไม่ทราบวิธีในการอธิบายให้ง่าย เพราะอาจารย์เองก็ศึกษาผ่านการท่องจำมาเช่นกัน

      แต่คณะสงฆ์ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่ต้องแก้ปัญหานี้ เพราะยิ่งเรียนยากเท่าไหร่ ก็ยิ่งตอกย้ำความพยายามและบุญบารมีของผู้สอบผ่านมากเท่านั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่มหาเปรียญทั้งหลายจะได้รับการยอมรับมากกว่าพระทั่วไป

      และนี่ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่เปิดให้สอบบาลีได้เพียงปีละครั้ง เพราะต้องสร้างความศักดิ์สิทธิ์ผ่านโอกาสที่ยากในการเข้าสอบ หากมองว่าบาลีคือการเรียนภาษา สามารถเปิดสอบได้ปีละ 3-4 ครั้ง เช่นเดียวกับการสอบ TOELF การสอบหลายครั้งมิได้หมายความว่าจะทำข้อสอบให้ง่ายขึ้น ตรงกันข้ามอาจทำให้ยากขึ้นก็ได้ แต่ผู้สอบจะมีโอกาสมากขึ้นโดยไม่ต้องรอนานเกินไป ซึ่งหากสอบได้ปีละ 3-4 ครั้ง ก็จะมีจำนวนมหาเปรียญเพิ่มขึ้นอีก 3-4 เท่า ก็จะลดทอนความศักดิ์สิทธิ์ของบาลีลงไป

      "การเรียนบาลีจึงไม่ใช่การเน้นให้คนมีความรู้ด้าน ภาษาศาสตร์ แต่เป็นการรักษาจารีตและอำนาจของพระสงฆ์อีกชนชั้นหนึ่ง ยิ่งกว่านั้น จะสังเกตได้ว่า สังคมไทยคาดหวังให้พระมหาเปรียญเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องธรรมะหรือการเทศน์สอน มากกว่าจะเป็นนักภาษาศาสตร์"

      คนไทยมองภาษาบาลีว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นมูลภาษาหรือภาษาสากล ที่พระพุทธเจ้า เทวดา พรหม และมนุษย์ที่ไม่เคยเรียนรู้ภาษาใดเลยจะพูดบาลี พระเณรจะต้องพนมมือไหว้ขณะท่องแบบไวยากรณ์ต่อหน้าอาจารย์ และถูกบอกว่าเป็นคนมีบุญมากที่ได้เรียนภาษานี้ อาจารย์หลายท่านตำหนิการถือหนังสือแกว่งไปมาหรือหนีบด้วยรักแร้ว่าไม่ให้ความเคารพตำรา ควรจะถือกอดไปข้างหน้าหรือแบกไปบนไหล่หรือศีรษะจึงจะเหมาะสมและกราบตำราทุกครั้งก่อนการเปิดอ่าน จะเห็นว่า มิใช่เป็นแค่การเรียนเอาภาษา แต่เป็นการช่วยพิทักษ์จารีตและหลักปฏิบัติที่นักอนุรักษ์นิยมไทยประสงค์ด้วย

      ตำราเรียนที่ใช้ในระดับชั้นต้นๆ คือ นิทานธรรมบทและมงคลชีวิต 38 มีคุณูปการมากในการนำมาเทศน์สอนของพระมหาเปรียญเหล่านั้น และไม่น่าแปลกที่คนไทยจะเคยชินกับนิทานพวกนี้ ตลอดจนเรื่องบุญ บาป ซึ่งถูกเน้นในตำราเรียนชั้นต้น ๆ สันนิษฐานได้ว่า ตำราเหล่านี้ถูกเลือกมาเพื่อมุ่งให้ใช้เป็นแนวทางในการเผยแผ่ธรรมแบบพุทธเถรวาทไทยอีกด้วย 


      เรียนบาลีเพื่อเป็นพระสังฆาธิการ มิใช่นักวิชาการ

      ตำราเรียนของประโยค ป.ธ. 3 ชี้ชัดว่า การเรียนบาลีไม่เพียงมุ่งให้นักเรียนมีความรู้เรื่องภาษาและศาสนาเท่านั้น แต่เป็นการเตรียมความพร้อมสู่การทำงานเป็นเลขานุการของพระสังฆาธิการ จึงกำหนดให้มีวิชา "บุรพภาค" หรือการเขียนจดหมายราชการมาเป็นหนึ่งใน 3 วิชาที่ต้องสอบให้ผ่าน ทั้งที่วิชานี้มิน่าจะจัดเป็นหลักสูตรการเรียนภาษาบาลีแต่อย่างใด 

      ประเด็นสำคัญคือ งานวิชาการในโลกสมัยใหม่จะเป็นงานที่ดี ตำราหรือข้อมูลควรจะถูกศึกษาอย่างวิพากษ์และเปิดโอกาสต่อการตีความที่แตกต่างออกไป ซึ่งแน่นอนว่าทำไม่ได้ในการเรียนบาลี ที่นักเรียนถูกบอกให้เชื่อตำราและครูอาจารย์ เช่น การแต่งฉันท์ของประโยค ป.ธ. 8 ที่ต้องอาศัยการสรุปความภาษาไทยและแต่งเป็นฉันท์ด้วยภาษาบาลี นักเรียนทางโลกจะมีปัญหาร่วมกันคือ ไม่เห็นด้วยกับการสรุปความของอาจารย์ และตนตีความไปอีกแบบ สุดท้ายอาจารย์ตรวจบอกว่าสรุปไม่ตรงประเด็น (ทั้งที่นักศึกษาบางคนมีความรู้ทางโลกที่จะสรุปความได้เก่งกว่าอาจารย์ซึ่งเชี่ยวชาญเฉพาะบาลี) 

      การจะสอบให้ผ่านวิชานี้คือ ต้องดูแบบอย่างที่อาจารย์แต่งเฉลย และจดจำคำสำคัญ (keywords) ของเรื่องนั้นๆ ไปใช้ จึงจะมั่นใจได้ว่าสอบผ่าน ในเมื่อกระบวนการเรียนไม่ส่งเสริมการวิพากษ์และรับความหลากหลาย การจะทำงานวิชาการที่ดีซึ่งต้องชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดของความรู้/มุมมองแบบเก่าจึงเกิดขึ้นไม่ได้ ต่อให้มีพระนักวิชาการด้านบาลีเกิดขึ้น ก็จะเป็นวิชาการในแง่สามารถแปลคัมภีร์ด้วยสำนวนที่ทันสมัยมากขึ้นเท่านั้น มิใช่การเล่นกับมโนทัศน์ (concepts) 

      พระสงฆ์ที่จบการศึกษาบาลีในทุกระดับจึงรับตำแหน่งพระสังฆาธิการทำงานคณะสงฆ์มากกว่าจะผันตัวเองไปเรียนต่อในทางโลกและเป็นนักวิชาการจริงๆ พระเปรียญ 9 ก็เตรียมที่จะรับตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง หรือกลับภูมิลำเนาไปเป็นครูใหญ่บาลี เจ้าคณะตำบล/อำเภอ และต่อมาก็ขอตำแหน่งเป็นพระราชาคณะ (เจ้าคุณ) นี่เป็นอนาคตที่พระมหาเปรียญพอจะคาดหวังได้   

      แม้บางท่าน เช่น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) จะได้รับการขนานนามว่าเป็นนักวิชาการ แต่งานของท่านก็สะท้อนไปในลักษณะอนุรักษ์นิยม ที่ปกป้องคำสอนของเถรวาทและโต้แย้งกับคำสอนนิกายอื่นซึ่งไม่วางอยู่บนคัมภีร์บาลีว่าเป็นลัทธิแปลกปลอม ตลอดจนพระภิกษุหลายรูปเสนอไม่ให้ไหว้หรือรับไหว้พระภิกษุมหายาน เพราะมิได้บวชด้วยภาษาบาลี สังฆกรรมจึงเป็นโมฆะ และเท่ากับเขายังเป็นอุบาสกคนหนึ่ง สรุปได้ว่า การเรียนบาลีแบบไทยมิได้เปิดทางสู่การเป็นนักวิชาการที่ใจกว้าง กล้าวิพากษ์ศาสนาตนเอง และอยู่ร่วมกับผู้เห็นต่างได้


      การเรียนบาลีกับ Secular State

      การจัดการเรียนการสอนภาษาบาลีที่ดีส่งผลต่อการนำไปสู่รัฐ Secular ได้ด้วย กล่าวคือ เป็นก้าวหนึ่งที่กิจการคณะสงฆ์ถูกแยกออกไปจากรัฐ และบริหารกันเองแบบเอกชนซึ่งสามารถทำให้หลากหลายได้ การขอให้รัฐเข้ามาจัดการปฏิรูปแล้วยื่นตำราชุดใหม่ (ไม่ว่าจะดีแค่ไหน) มาให้เรียนกันทั้งประเทศ สุดท้ายก็จะนำไปสู่เผด็จการทางความคิด ที่ผู้เรียนไม่สามารถแสดงออกได้เพราะจะต้องเขียนข้อสอบให้ตรงกับที่สนามหลวงส่วนกลางต้องการ

      แต่ละสำนักควรเปิดการเรียนการสอนเป็นของตัวเอง ใช้ตำราของตัวเอง มีวิธีวัดผลและออกใบประกาศในนามของสำนักตัวเอง สำนักเรียนที่พัฒนาระบบการสอนให้เข้าใจง่าย เน้นความเข้าใจมากกว่าท่องจำก็จะดึงดูดผู้เรียนได้มากกว่า ที่สำคัญ การใช้ตำราที่แตกต่างหลากหลาย เช่น บางสำนักอาจใช้พระไตรปิฎก จะทำให้ความรู้ทางปริยัติเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น

      ตัววัดความสามารถอาจถูกเปลี่ยนจากการแสดงพัดยศหรือใบประกาศนียบัตรของแม่กองบาลีสนามหลวง มาเป็นความสามารถตีความพระสูตรด้วยมุมมองใหม่ โต้แย้งข้อเสนอเดิมซึ่งถูกแปลอย่างผิดไวยากรณ์ และผลงานเหล่านั้นจะได้รับการตีพิมพ์ในวารสารวิชาการฐาน TCI เป็นต้น ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ยอมรับกันทั่วไป 

      "หากการเรียนบาลีถูกทำให้กลายเป็น ภาษาศาสตร์ จะทำให้ผู้เรียนบ่มเพาะแนวคิดเชิงวิพากษ์และสร้างองค์ความรู้ใหม่ให้กับศาสนามากยิ่งขึ้น อีกทั้งการที่แต่ละสำนักออกแบบหลักสูตรเป็นของตัวเอง จะช่วยให้คณะสงฆ์ออกห่างจากการครอบงำของอำนาจรัฐด้วย"

       

      ที่มาภาพ: unclelkt(CC0 Public Domain)

      เผยแพร่ครั้งแรกใน: www.tcijthai.com

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      จาตุรนต์ ฉายแสง: ความล้มเหลวของการต่อต้านคอรัปชั่น (จบ)

      Posted: 08 Mar 2018 11:06 PM PST



      ผมเขียนเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันปราบปรามคอร์รัปชันไปหลายตอน บอกไว้ว่าจะเขียนเป็นบทสรุป เผื่อท่านใดสนใจจะเอาไปใช้ประโยชน์ในการติดตามเรื่องนี้ต่อหรือช่วยกันไปคิดต่อได้บ้าง

      ระหว่างนั้น เกิดเหตุการณ์ที่แย่ๆหลายเรื่อง เช่น มีใครเสนอผลสำรวจวิจัยก็ถูกเรียกไปอบรมบ้าง ใครเสนอความเห็นก็ถูกตะคอกบ้าง ผมไม่ได้แสดงความเห็นในเรื่องเหล่านั้น ได้แต่นึกว่าอย่าไปโทษตัวบุคคลมากนักเลย ที่เป็นปัญหานั้น เป็นเพราะระบบไม่ดีเสียมากกว่า หากเรามีระบบที่ดี บุคคลจะเลอะเทอะอย่างไรก็ไม่สามารถทำอะไรที่ขัดต่อระบบได้ ผมยังยืนยันความสำคัญของระบบและพยายามเขียนบทสรุปมาให้อ่านกันอีกรอบ


      ความล้มเหลวของระบบต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน (4) บทสรุป

      การต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันนั้น มีองค์ประกอบหลายด้าน เช่น กฎหมายและระเบียบต่างๆ บทบาทของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม รวมไปถึงค่านิยม จิตสำนึกของคนและวัฒนธรรมประเพณีของสังคม

      องค์กรในภาครัฐที่มีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ความจริงแล้ว มีทั้งฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ การทำหน้าที่ของแต่ละฝ่าย ย่อมมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน การจะจัดการกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันได้ดี ต้องอาศัยกฎหมายที่มีประสิทธิภาพ มีช่องโหว่ รูรั่วน้อย การบริหารที่โปร่งใสตรวจสอบได้ และการบังคับใช้กฎหมายที่เป็นไปตามหลักนิติธรรม

      สิ่งหนึ่ง ที่มีความสำคัญอย่างมาก ก็คือระบบและกลไกที่ใช้จัดการกับการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัย แต่น่าเสียดายที่กลับไม่พัฒนา

      หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง มาจนถึงปี 2514 กลไกที่ใชัในการจัดการกับปัญหาการทุจริต คือ หน่วยงานราชการ

      องค์กรป้องกันปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันแต่เดิมนั้น ใช้หน่วยงานราชการเป็นหลัก ต่อมาในปี 2514 จึงมีการตั้งองค์กรขึ้นโดยเฉพาะ ซึ่งในช่วงแรกเป็นการตั้งโดยคณะรัฐประหาร ต่อมาภายใต้รัฐบาลพลเรือนมีการออกกฎหมายตั้งองค์กรที่ขึ้นกับฝ่ายบริหารที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร แต่ก็ยังมีบทบาทอย่างจำกัดอยู่ มีความพยายามเพิ่มบทบาทอำนาจหน้าที่ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ

      คณะรัฐประหารมักตั้งองค์กรพิเศษขึ้น โดยองค์กรเหล่านี้ขึ้นต่อคณะรัฐประหารหรือรัฐบาล เช่น ในปี 2514 มีคณะกรรมการตรวจและติดตามผลการปฏิบัติราชการ(กตป.)ตั้งโดยประกาศคณะปฏิวัติมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ปี 2534 มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินขึ้นตามประกาศ รสช.ฉบับที่ 26 เรื่องให้อายัดและห้ามจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินเป็นต้น ปี 2549 มีการตั้ง คตส. และหลังการรัฐประหารปี 2557 มีการตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ ที่มีหัวหน้า คสช.เป็นประธาน

      การแทรกแซงหรือการเข้ามาจัดการปัญหาการทุจริตเสียเองของคณะรัฐประหาร มักนำไปสู่ความล้มเหลว ไม่ได้รับการยอมรับเชื่อถือ ที่มักเป็นปัญหาร่วมกัน คือ การตั้งให้ผู้ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ และต่อมาก็ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบการทุจริตของผู้มีอำนาจเอง เช่น กตป.ซึ่งมี จอมพลถนอม กิตติขจร เป็นประธาน และมี พ.อ.ณรงค์ กิตติขจร เป็นรองเลขาธิการ ที่มีบทบาทมากกว่าเลขาธิการ เป็นองค์กรที่ถูกมองว่าเลือกปฏิบัติ มีไว้จัดการฝ่ายตรงข้าม กรณีนี้มีทั้งจุดเหมือนและจุดต่าง กับกรณีการตั้งประธาน ปปช.ชุดปัจจุบัน ที่มาจากคนสนิทใกล้ชิดของรองนายกรัฐมนตรีที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่ในขณะนี้

      รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้ให้กำเนิด ปปช.ที่เป็นองค์อิสระขึ้นมา โดยมีเจตนารมณ์ว่า ปปช.จะเป็นองค์กรที่มีอำนาจมากและเป็นอิสระจากทั้งฝ่ายบริหาร ฝ่ายนิติบัญญัติ การมีองค์กรอิสระนี้ได้เสนอปัญหาใหม่ คือ อำนาจของฝ่ายบริหารในการจัดการกับปัญหาการทุจริตหายไปอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ ปปช.ก็มีงานล้นมือและทำไม่ทัน

      ปปช.เองก็หนีไม่พ้นคำถามที่ว่า ถูกแทรกแซงได้ เลือกปฏิบัติและขาดประสิทธิภาพ แต่น่าเสียดายที่แทนที่จะมีการปรับปรุงระบบให้เข้มแข็งขึ้น การรัฐประหาร 2 ครั้งในปี 2549 และ 2557 ทำให้เกิดการวางระบบคุณสมบัติที่มาของ ปปช.จนทำให้ ปปช.กลายเป็นองค์กรภายใต้การครอบงำของผู้ที่ไม่มีอะไรยึดโยงกับประชาชน คำว่า "อิสระ" จึงมีความหมายว่าเป็นอิสระจากประชาชน ปปช.กลายเป็นองค์กรที่มีสังกัด ถูกมองว่าแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เลือกปฏิบัติ จนไม่ได้รับความเชื่อถือจากสังคม

      หลังการรัฐประหารปี 2557 ฝ่ายนิติบัญญัติไม่มีบทบาทใดๆในการตรวจสอบการทุจริต สื่อมวลชนและภาคประชาชนก็มีบทบาทอย่างจำกัดมาก เนื่องจากขาดเสรีภาพ การใช้อำนาจตามอำเภอใจของ คสช. จากการให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการและการแทรกแซงในกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างโครงการใหญ่ๆ ทำให้การป้องกันปรามปรามการทุจริตเป็นเรื่องที่ทำได้ยากและไม่โปร่งใส

      การตั้งองค์กรที่รับผิดชอบการป้องกันปราบปรามการทุจริตที่ซ้ำซ้อน ทำให้องค์กรต่างๆที่ควรเป็นอิสระไม่เป็นองค์กรอิสระ ทั้งในทางนิตินัยและพฤตินัย ระบบถูกรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่  คสช.โดยปราศจากการตรวจสอบถ่วงดุลจากฝ่ายต่างๆในสังคม ขณะที่มีข่าวที่น่าสงสัยว่าจะมีการทุจริตคอร์รัปชัน แต่ไม่มีการตรวจสอบที่น่าเชื่อถือ จนไม่มีใครรู้ว่า ยังมีการทุจริตในกรณีอื่นๆอีกมากน้่อยเพียงใด

      ระบบที่จะใช้ในการจัดการกับปัญหาการทุจริตตั้งแต่นี้ต่อไป ถูกกำหนดอยู่ในรัฐธรรมนูญที่อวดอ้างว่า เป็นรัฐธรรมนูญปราบโกง ซึ่งมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการป้องกันการทุจริตคอร์รัปชัน คือ เน้นการตรวจสอบและเอาผิดนักการเมืองกับเพิ่มอำนาจองค์กรอิสระได้แก่ กกต. ปปช.และศาล

      เมื่อกำหนดบทลงโทษหนักขึ้นมากและให้องค์อิสระ เช่น ปปช.เป็นต้น มีอำนาจมากขึ้นด้วยแล้ว ระบบตามรัฐธรรมนูญนี้ ก็เน้นเรื่องการกำหนดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์ต่างๆเหล่านี้ไว้อย่างเข้มงวดที่เรียกกันว่า "ขั้นเทพ"

      แต่สุดท้าย คุณสมบัติขั้นเทพนี้ก็ไม่ถูกนำมาใช้จริงในองค์กรสำคัญๆ เช่น ปปช.และ คตง. สังคมไทยจึงยังจะต้องอยู่กับระบบที่พิกลพิการภายใต้การครอบงำของผู้มีอำนาจไปอีกหลายปี

      ความลักลั่นในการทำงานขององค์กรที่ คสช.ตั้งไว้ องค์กรสังกัดฝ่ายบริหารและองค์กรอิสระยังคงอยู่ต่อไป เกิดเป็นช่องโหว่ที่ไม่มีใครทำหน้าที่ปิดได้

      ทั้งหมดนี้ ทำให้เข้าใจได้ไม่ยากว่า เหตุใดเวลาที่เขาจัดอันดับความสามารถในการจัดการกับปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันในช่วง 3-4 ปีมานี้ ประเทศไทยจึงย่ำอยู่กับที่ในกลุ่มอ่อนด้อยล้าหลังและไม่มีวี่แววว่าจะกระเตื้องขึ้นเลย

      การปราบคอร์รัปชันและการปฏิรูปประเทศเป็นข้ออ้างสำคัญของการยึดอำนาจและอยู่ในอำนาจของ คสช.มาตลอด แต่เกือบ 4 ปีมานี้เรากลับได้ระบบในการปราบปรามคอร์รัปชันที่ไม่สุจริตเที่ยงธรรม และไม่อาจฝากความหวังอะไรไว้ได้เลย นี่ย่อมหมายความว่าทั้งการปราบคอร์รัปชันและการปฏิรูประบบในการปราบปรามคอร์รัปชันภายใต้การปกครองของ คสช.ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

      การการแก้ไขปรับปรุงระบบกลไกที่สำคัญ คงยังไม่อาจเกิดขึ้นในช่วงที่ คสช.ยังมีอำนาจอยู่ เมื่อ คสช.พ้นอำนาจไปแล้ว การแก้ไขปัญหาบางส่วนสามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากสาระสำคัญของระบบที่เป็นปัญหาถูกสร้างขึ้นโดยกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญซึ่งยังแก้ไขได้ไม่ยากเหมือนตัวรัฐธรรมนูญเอง

      ส่วนปัญหาของระบบในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชันทั้งระบบนั้น เกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐธรรมนูญ การจะแก้ไขแบบยกเครื่องคงต้องว่ากันอีกยาว

       

       

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      ใบตองแห้ง: กติกาล้าหลังขวางสิ่งใหม่

      Posted: 08 Mar 2018 10:51 PM PST


      อารมณ์สังคมเข้าสู่โหมดเลือกตั้งแล้ว หลังการเปิดตัวพรรคใหม่ คนใหม่ ปลุกบรรยากาศการเมืองให้คึกคัก วิพากษ์วิจารณ์กันทั่วไป เผลอแป๊บเดียว รู้ตัวอีกที ก็เลื่อนเลือกตั้งไม่ได้แล้ว คนทั้งประเทศนับถอยหลัง เมื่อไหร่จะถึง ก.พ.62 เสียที

      แต่ปู่มีชัย ฤชุพันธ์ กลับยุให้นำร่าง พ.ร.ป.การได้มาซึ่ง ส.ว. ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความซะงั้น อ้าว แล้วจะไม่ทำให้เลื่อนเลือกตั้งอีกหรือ เพราะต้องรอกฎหมาย ส.ส. ส.ว.ใช้พร้อมกัน ปู่บอกว่าไม่กระทบโรดแมป ถ้าคำนวณแบบเต็มเหยียด ก็ยังอยู่ในกรอบเดือน ก.พ.62

      เข้าใจตรงกันนะ กฎหมาย ส.ส.มีบทเฉพาะกาลให้เลื่อนใช้ 90 วัน ถ้าส่งกฎหมาย ส.ว.ให้ศาลตีความเสร็จใน 90 วัน ก็ใช้พร้อมกัน แต่ถ้าบานปลายล่ะ จะนานเท่าไหร่ อย่างน้อยก็จะพะวักพะวง และคงไม่เป็นอย่างที่วิษณุ เครืองาม พูดไว้ว่าอาจเลือกตั้งได้ตั้งแต่ ก.ย.61 ไปถึง ก.พ.62

      พูดอย่างนี้ ผมสนับสนุนให้ส่งตีความนะ เพราะกฎหมายที่ผ่านกรรมาธิการ 3 ฝ่าย เละเทะสิ้นดี

      กรธ.ร่างที่มา ส.ว. 200 คนจาก 20 กลุ่มอาชีพ เลือกไขว้กันทีละระดับ สนช.กลับแก้ไขเหลือ 10 กลุ่ม เลือกกันเอง แถมแบ่งเป็น 2 ประเภทคือสมัครเอง 100 คน มีองค์กรส่งสมัคร 100 คน

      ผลของการตั้งกรรมาธิการร่วม 3 ฝ่าย ลงมติให้ฉบับถาวรใช้แบบ กรธ. แต่บทเฉพาะกาล 5 ปี (ที่จะให้ลุงตู่เลือกเหลือ 50 คนอีกที) ให้ใช้ของ สนช.

      ชาวบ้านทั่วไปไม่ต้องเป็นนักกฎหมาย ก็ยังสังเวช "พบกันครึ่งทาง" อย่างนี้ก็มีด้วย ไม่ต้องมีหลักกงหลักการอะไรหรือ แต่อย่างว่าแหละ คนทั่วไปเลิกสนใจมานานแล้ว เพราะรู้สึกว่าการเลือก ส.ว.ไร้ความหมาย แถม 5 ปีแรกยังให้ คสช.แต่งตั้งอีกที

      แต่ฝั่งปู่มีชัยข้องใจไง ว่าการแยก ส.ว.เป็น 2 ประเภทขัดรัฐธรรมนูญไหม จึงอยากส่งศาลตีความให้เคลียร์ แต่เรื่องนี้อย่าโทษเฉพาะ สนช.เลย กรธ.ไม่เขียนรัฐธรรมนูญให้ชัด รวมทั้งเรื่องรีเซตเซตซีโร่องค์กรอิสระ ปล่อยให้ สนช.ยำใหญ่ แล้วกรธ.ก็ไม่เห็นด้วย ทำราวกับแม่น้ำ 5 สายไหลคนละทาง

      กฎหมายเลือกตั้ง ส.ส.ที่กรรมาธิการ 3 ฝ่ายเห็นพ้องกันก็ตลก สนช.มาเพิ่มให้หาเสียงด้วยมหรสพได้ ถามจริง เพิ่มเพื่ออะไร เพื่อให้เป็นประเด็นโต้แย้งกัน? แล้วก็ตัดออกไป แต่สาระที่สำคัญกว่า อย่างให้พรรคการเมืองใช้เบอร์ต่างกันในแต่ละเขต กลับไม่มีใครสนใจ

      ทำเรื่องง่ายให้ยากเข้าไว้ สำหรับพรรคการเมือง ซึ่งจะทำให้พรรคเล็กเสียเปรียบพรรคใหญ่ ที่แบรนด์ติดตลาดอยู่แล้ว ทั้งที่ปากบอกอยากให้มีพรรคใหม่ๆ คนรุ่นใหม่ๆ จะได้หลุดพ้นจากวังวนเดิม แต่เขียนกติกาให้พรรคใหญ่ได้เปรียบทุกอย่าง ตั้งแต่ระบบบัตรใบเดียว พรรคทางเลือกไม่สามารถลงแข่งเฉพาะระบบปาร์ตี้ลิสต์อย่างพรรคชูวิทย์อีก ถ้าอยากได้พรรคทั้งประเทศต้องส่งผู้สมัคร 350 เขต ซึ่ง กกต.สมชัยคำนวณให้อย่างมัธยัสถ์ ค่าสมัคร 1 หมื่น ค่าใช้จ่ายต่างๆ รวม 1 แสน ก็ 35 ล้าน

      นั่นทั้งๆ ที่เราอยู่ในยุคมีผู้ใช้เฟสบุ๊ค 44 ล้านบัญชี แทนที่จะเอื้อให้สมัครปาร์ตี้ลิสต์หาเสียงออนไลน์ ยังต้องไปทำป้ายติดที่เขต เพราะต่างเขตต่างเบอร์

      ที่ทักท้วงนี่ไม่ใช่ห่วงใคร แต่เห็นไหมล่ะ พรรค กปปส.ยังสองจิตสองใจ ต้องส่งสมัคร 350 เขตๆ ละ 200 คะแนน จึงได้ ส.ส.1 คน ลงทุนหลายสิบล้านอาจเป็นได้แค่พรรคต่ำสิบ จะไหวเรอ

       

      ที่มา: https://www.kaohoon.com/content/220672

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      เข้ารับทราบข้อหากับ ปอท. ทนายอานนท์โดนโพสต์หมิ่นศาล เอกชัยโดนโพสต์ลามกอนาจาร

      Posted: 08 Mar 2018 10:34 PM PST

      อานนท์ นำภา และ เอกชัย หงส์กังวาน เข้ารับทราบข้อหากับ ปอท. คนหนึ่งโดนคดีโพสต์ดูหมิ่นศาล อีกคนโดนคดีโพสต์ลามกอนาจาร โดยทั้งคู่ปฏิเสธข้อกล่าวหา

      เมื่อวันที่ 8 มี.ค.ที่ผ่านมา ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนเข้ารับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมคดีดูหมิ่นศาล และ เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมที่เคลื่อนไหวเรื่องการตรวจสอบนาฬิกาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เข้ารับทราบข้อกล่าวหานำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ลามกอนาจาร ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ทั้งคู่ให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา

      ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลา 10.00 น. อานนท์ พร้อมทนายความเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาเพิ่มเติมในคดีดูหมิ่นศาลและ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ  โดยพนักงานสอบสวนนำโพสต์เฟสบุ๊คมาแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่ม 2 โพสต์ ได้แก่

      1. โพสต์เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2561 เกี่ยวกับคำพิพากษาศาลจังหวัดขอนแก่น ในคดีนักศึกษาละเมิดอำนาจศาล โดยโพสต์รูปข้อความในคำพิพากษา พร้อมแสดงความเห็นว่า "เอาเข้าจริงๆศาลจังกวัดขอนแก่นได้พิพากษาในคดีละเมิดอำนาจศาล มีลักษณะ "ดูถูกดูแคลน" กลุ่มนักศึกษาว่าการไปทำกิจกรรมให้กำลังใจ "ไผ่ ดาวดิน" ว่าเกิดจากความด้อยประสบการณ์และตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่หวังดี ความจริงเรื่องกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรมกับไผ่ดาวดิน คนทั้งโลกล้วนเห็นประจักษ์ ทั้งนักศึกษากลุ่มดาวดินก็ล้วนแต่มีประสบการณ์ต่อสู้กับความอยุติธรรมของสังคมมาโดยตลอด ไม่ใช่คนที่ใครจะไปสั่งการหรือหลอกลวงได้ การดำเนินคดีกับผมในข้อหาหมิ่นศาลจังหวัดขอนแก่นจึงเป็นการดีที่จะได้นำเรื่องความอยุติธรรมที่เกิดกับไผ่ และนักศึกษากลุ่มดาวดิน มาตีแผ่ให้สังคมได้เห็นอีกครั้ง"

      2. โพสต์เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2560 เป็นบทกวีประกอบภาพหมายเรียกผู้ต้องหา มีเนื้อหาว่า

      "บทกวี ถึงมหาตุลาการ

      คือตราชู ผู้ชี้ เสรีสิทธิ
      คือศาลสถิต ยุติธรรม นำสมัย
      คือหลัก ประกัน ประชาธิปไตย
      มิใช่ อภิชน คนชั้นฟ้า !

      ครุยที่สวม นั้นมา จากภาษี
      รถที่ขี่ เงินใคร ให้หรูหรา
      ข้าวที่กิน ดินที่ย่ำ บ้านงามตา
      ล้วนแต่เงิน ของมหา ประชาชน

      มิได้ อวตาร มาโปรดสัตว์
      แต่เป็น "ลูกจ้างรัฐ" ตั้งแต่ต้น
      ให้อำนาจ แล้วอย่าหลง ทนงตน
      ว่าเป็นคน เหนือคน ชี้เป็น-ตาย

      เสาหลัก ต้องเป็นหลัก อันศักดิ์สิทธิ์
      ใช่ต้องลม เพียงนิด ก็ล้มหงาย
      ยิ่งเสาสูง ใจต้องสูง เด่นท้าท้าย
      ใช่ใจง่าย เห็นเงิน แล้วเออออ !

      ต้องเปิด โลกทัศน์ อย่างชัดเจน
      ใช่ซ่อนเร้น อ่านตำรา แต่ในหอ
      ออกบัลลังค์ นั่งเพลิน คำเยินยอ
      เลือกเหล่ากอ มากอง ห้องทำงาน

      ตุลาการ คือหนึ่ง อธิปไตย
      อันเป็นของ คนไทย ไพร่-ชาวบ้าน
      มิใช่ของ ใครผู้หนึ่ง ซึ่งดักดาน
      แต่เป็น "ตุลาการ" ประชาชน

      ฉะนั้นพึง สำนึก มโนทัศน์
      ใช่ด้านดัด มืดดับ ด้วยสับสน
      เปื้อนราคิน กินสินบาท คาดสินบน
      แล้วแบ่งคน แบ่งชั้น บัญชาชี้

      เถิด"ตุลาการ" จงคิด อย่างอิสระ
      รับภาระ อันหนักหนา ทำหน้าที่
      หากรับใช้ ใบสั่ง ดั่งกาลี
      ตุลาการ เช่นนี้ อย่ามีเลย !

      : อานนท์ นำภา ๖ พฤศจิกายน ๕๓
      แก้ไขเพิ่มเติมจากฉบับเดิม ๓ กันยายน ๕๓"

      โดย อานนท์ ยังคงให้การปฏิเสธและจะส่งคำให้การเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรในภายหลัง พนักงานสอบสวนอนุญาตปล่อยตัวโดยไม่เรียกหลักทรัพย์ประกัน

      ขณะที่ เอกชัย เข้ารับทราบข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (4) นำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์ลามกอนาจาร จากการโพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 23 เม.ย. 2560 เล่าประสบการณ์และความสัมพันธ์ในเรือนจำ หลังพนักงานสอบสวนแจ้งข้อกล่าวหา เอกชัยให้การปฏิเสธและจะยื่นคำให้การเพิ่มเติมเป็นลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน จากนั้นพนักงานสอบสวนจึงอนุญาตปล่อยตัวโดยไม่เรียกหลักทรัพย์ประกันเช่นกัน

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      กลุ่มศาลเตี้ยในอินโดนีเซีย จับชายสองคนสงสัยว่าเป็น 'เกย์' ส่งไป 'เปลี่ยนเพศวิถี'

      Posted: 08 Mar 2018 10:20 PM PST

      สะท้อนการเหยียดเพศที่โหดร้ายในอินโดนีเซีย เมื่อมีกลุ่มศาลเตี้ยบุกไปจับกุมชายที่สงสัยว่าเป็นเกย์สองคนส่งตำรวจ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ถูกตั้งข้อหาแต่ก็จะถูกส่งไปบังคับ "บำบัด" ทางศาสนาเปลี่ยนเพศวิถี และ "ปรับทัศนคติ" ให้เลิกเป็นเกย์

      8 มี.ค. 2561 สื่อเกย์สตาร์นิวส์รายงานว่ากลุ่มศาลเตี้ยในอินโดนีเซียบุกจับตัวคนที่พวกเขาอ้างว่าเป็นเกย์สองคนแล้วส่งให้ตำรวจ ชายคนที่ถูกบุกจับตัวสองคนอายุ 40 และ 28 ปี อาศัยอยู่ในหอพัก คนหนึ่งทำงานในธุรกิจและอีกคนหนึ่งเป็นแรงงาน

      กลุ่มศาลเตี้ยบุกเข้าไปจับกุมตัวพวกเขาโดยกล่าวหาว่าสองคนนี้มีเพศสัมพันธ์กัน จากการฟังคำนินทาของคนในละแวกนั้นที่กล่าวหาว่าเคยเห็นพวกเขากอดกัน

      เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสถานีพัลมีราห์กล่าวว่ากลุ่มศาลเตี้ยนำตัวชายสองคนมาส่งพวกเขาจริง โดยอ้างว่าสองคนนี้อยู่กินร่วมชายคาเดียวกันเหมือนคู่แต่งงาน ถึงแม้ว่าจะไม่มีการตั้งข้อหากับสองคนนี้แต่พวกเขาก็ถูกส่งตัวไป "สวดภาวนาบำบัด" และเข้าชั้นเรียน "ปรับทัศนคติทางสังคม" โดยกลุ่มสังคมสงเคราะห์ของทางการอินโดนีเซีย

      ถึงแม้ว่าการรักเพศเดียวกันจะไม่ใช่สิ่งที่ผิดกฎหมายในอินโดนีเซีย แต่รัฐสภาอินโดนีเซียกำลังจะมีการอภิปรายเกี่ยวกับกฎหมายใหม่ที่จะทำให้การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันและการมีเพศสัมพันธ์นอกสมรสผิดกฎหมาย

      การเหยียดเพศวิถีโดยรัฐในอินโดนีเซียกำลังเลวร้ายลงเรื่อยๆ โดยในช่วงสองปีที่ผ่านมามีการพยายามกวาดล้างชุมชนผู้มีความหลากหลายทางเพศ กรณีหนึ่งเกิดขึ้นในปีที่แล้วคือกรณีการบุกจับกุมกลุ่มชายหลายร้อยคนที่ต้องสงสัยว่าเป็นเกย์ ถึงแม้ว่าการรักเพศเดียวกันจะไม่ผิดกฎหมายแต่ทางการมักจะอ้างกฎหมายต่อต้านสิ่งลามกอนาจารในการจับกุมพวกเขา

      นอกจากฝ่ายรัฐแล้ว ยังมีกลุ่มศาลเตี้ยที่เรียกตัวเองว่ากลุ่มอาเจะห์คอยออกโจมตีเกย์ชายและหญิงข้ามเพศทำให้มีคนถูกส่งตัวให้ทางการสอบสวนและถูกลงโทษด้วยการโบย

      ชายชาวเกย์รายหนึ่งให้สัมภาษณ์ต่อเกย์สตาร์นิวส์ว่าการเห็นเพื่อนบ้านของเขาถูกปราบปรามถูกข่มเหงรังแกจากตำรวจทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัยอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการบุกเข้าไปในที่รโหฐานหรือที่ปิดส่วนบุคคลของเพื่อนบ้านเขา

       

      เรียบเรียงจาก

      Vigilantes raid home of 'gay' men who were sent to Islamic school to 'cure' them, Gay Star News, 07-03-2018

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      เสกสรรค์ ประเสริฐกุล: ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย

      Posted: 08 Mar 2018 10:06 PM PST

      เปิดปาฐกถาฉบับเต็ม เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชี้ประเทศไทยมีความคิดที่ขัดแย้งกันสองกลุ่มใหญ่ ฝ่ายหนึ่งอยากรักษาสถานะเดิมซึ่งมีกำลังผูกขาด "ความเป็นคนดี" และมองคนไม่เท่ากัน ขณะที่ฝ่ายก้าวหน้าบางกลุ่มไม่สามารถขยายแนวร่วมได้มากเท่าที่ควร ฯลฯ

      9 มี.ค. 2561 ที่หอประชุมศรีบูรพา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ WAY Magazine ได้ร่วมกันจัดงานปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หัวข้อ "ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย" โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งทั้งหมดของปาฐกถาพิเศษมีดังนี้

      ปาฐกถาป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดยเสกสรรค์ ประเสริฐกุล "ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย"

      [คลิป] เสกสรรค์ ประเสริฐกุล แนะถอยห่างจากตัวเองสักหนึ่งก้าว-เปิดพื้นที่ปลูกศรัทธาในเพื่อนมนุษย์

      9 มี.ค. 2561 ที่หอประชุมศรีบูรพา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ WAY Magazine ได้ร่วมกันจัดงานปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ หัวข้อ "ประเทศไทยในความคิด ความคิดในประเทศไทย" โดย เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ซึ่งทั้งหมดของปาฐกถาพิเศษมีดังนี้

      0000000

      ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย

      วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของศาสตราจารย์ป๋วยอึ๊งภากรณ์ซึ่งเป็นบรรพชนท่านหนึ่งในทางความคิดและจิตวิญญาณของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ดังนั้นจึงต้องถือเป็นวันสำคัญของพวกเรา ก่อนอื่นผมคงต้องขอขอบคุณคณะเศรษฐศาสตร์ที่กรุณาให้เกียรติเชิญผมมาพูดในวาระพิเศษนี้ในฐานะที่เคยเป็นทั้งนักศึกษาและอาจารย์ธรรมศาสตร์ผมเองก็เคารพนับถืออาจารย์ป๋วยดังนั้นจึงเป็นเรื่องชวนปีติที่จะได้คารวะท่านด้วยความคิดเรื่องบ้านเมืองสักสองสามประเด็น

      สิ่งที่จะพูดในวันนี้มาจากมุมมองง่ายๆ ที่ผมไม่ค่อยได้ใช้วิเคราะห์สภาพสังคมหรือใช้พิจารณาสถานการณ์บ้านเมืองเท่าใด แต่จะใช้ค่อนข้างมากในชีวิตส่วนตัว มุมมองที่ว่านี้คือ โลกที่เราเห็นคือโลกที่เราคิด และเรามักจะมองไม่เห็นสิ่งที่ไม่ได้คิดเอาไว้แล้วล่วงหน้า พูดให้ละเอียดขึ้นคือ คนเราจะเห็นโลกเป็นแบบไหน มักขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดที่เขามีอยู่ สัมผัสของเขามักจะเก็บข้อมูลเฉพาะส่วนที่ความคิดของเขารู้จักเท่านั้น อะไรที่ไม่รู้จักอยู่ก่อนก็ตัดทิ้งไปหรือมองไม่เห็นเสียดื้อๆ เข้าทำนองพ่อครัวไม่สนใจเรื่องสีสันของไก่เท่ากับเนื้อของมัน หรือในทางกลับกันศิลปินก็อาจจะเห็นแต่ความงามของไก่จนลืมนึกถึงด้านที่เป็นอาหาร ดังนั้น ประเด็นแรกที่สำคัญก็คือ มนุษย์เราโดยทั่วไปมักจะเห็นโลกได้จำกัด และเห็นโลกแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับฐานความคิดที่มีอยู่ในตัวเขา

      อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนเราจะมองเห็นโลกต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่ก็มีแนวโน้มจะเชื่อว่าโลกที่ตัวเองเห็นเป็นโลกแห่งความจริง จากนั้นก็ผลิตความเห็นออกมายืนยันสายตาของตน รวมทั้งพร้อมจะโต้แย้ง กระทั่งทะเลาะกับคนอื่นเพราะความเห็นไม่ตรงกัน อันที่จริงคำว่า view ในภาษาอังกฤษกับคำว่า ความเห็น ในภาษาไทยนั้นมีความหมายตรงกันอย่างน่าประหลาด และเรื่องนี้ถ้าเราคิดต่อสักนิดก็คงไม่ต้องทะเลาะกับใคร เพราะมนุษย์แต่ละคนไม่มีวันที่จะเห็นภาพหรือวิวอะไรได้ครบถ้วน เนื่องจากจุดที่ยืนอยู่และความจำกัดของสายตา มีแต่ต้องใช้หลายมุมมอง หรือไม่ก็ถามคนที่มองจากมุมอื่น จึงจะได้ภาพที่สมบูรณ์ขึ้น

      แต่ก็อีกนั่นแหละ ในความเป็นจริงของสังคมไทย เราไม่ได้มีพฤติกรรมที่ rational ขนาดนั้น ตลอด 10 กว่าปีมานี้บ้านเมืองของเราตกอยู่ในความขัดแย้งในระดับที่ไม่มีใครฟังใคร และความขัดแย้งทางความคิดก็นับเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราปรองดองกันได้ยาก แน่ละ ในสภาพปกติ มนุษย์เราก็มองโลกแตกต่างกันในแทบทุกเรื่องอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะต้องนำไปสู่การทะเลาะเบาะแว้ง เว้นไว้แต่ว่าจะมีการใช้อำนาจทางกายภาพมาสำทับขับเคลื่อนความคิดเห็นของตน และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในระดับสังคม… คือสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย

      เฉพาะหน้าเราอาจจะแบ่งชุดความคิดที่ขัดแย้งกันได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ คือ แนวคิดของฝ่ายอนุรักษนิยมกลุ่มหนึ่ง กับแนวคิดของฝ่ายก้าวหน้าอีกกลุ่มหนึ่ง อันที่จริงการแบ่งกลุ่มความคิดเช่นนี้นับว่ากว้างมาก เพราะในแต่ละกลุ่มใหญ่ยังมีกิ่งก้านสาขามากมาย นอกจากนี้ยังมีระดับเข้มข้นหรือเจือจางแตกต่างกัน

      ยกตัวอย่างเช่นฝ่าย Conservative นั้นอาจจะรวมตั้งแต่พวกที่มีความคิดชาตินิยม รัฐนิยม และจารีตนิยมอย่างเป็นระบบ มาจนถึงพวกต่อต้านคอร์รัปชัน ถือศีลกินผัก เป็นอาสาสมัครในวันหยุด อะไรทำนองนี้ ส่วนฝ่าย Progressive ก็เช่นกัน มีตั้งแต่นักประชาธิปไตย นักเสรีนิยม นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน กลุ่ม Feminist กลุ่มเรียกร้องสิทธิ LGBT มาจนถึงกลุ่มย่อยที่นิยมอนาธิปไตย พ้นจากนี้แล้วยังมีผู้คนอีกจำนวนมากที่มีความคิดผสมผสานกันระหว่างอนุรักษนิยมกับก้าวหน้า ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา หรือเป็นธรรมชาติของคนทั่วไปที่มักมีทัศนะต่อเรื่องต่างๆ เป็นรายประเด็น

      ทว่าพูดหยาบๆ ก็คือ ประเทศไทยเรามีทั้งฝ่ายที่อยากรักษาสถานภาพเดิม (status quo) ซึ่งเห็นว่าโลกใหม่คือสังคมที่ปนเปื้อน ดังนั้นจึงควรกลับไปสู่โลกเก่าที่ถูกต้องดีงามกว่า กับฝ่ายที่ต้องการเปลี่ยนแปลงโลกเพราะเห็นว่าความถูกต้องดีงามรออยู่ในอนาคต ในครรภ์แห่งปัจจุบันสมัย มีสังคมในฝันรอวันถือกำเนิด

      ในความเห็นของผม ลำพังความแตกต่างกันทางความคิดเช่นนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดปัญหาใหญ่หลวงอันใด ดังเราจะเห็นได้จากตัวอย่างในประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศเหล่านั้นก็มีทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายก้าวหน้า มีฝ่ายขวามีฝ่ายซ้าย แต่โดยพื้นฐานแล้วก็สามารถอยู่ร่วมสังคมเดียวกันได้ ภายใต้กรอบกติกาเดียวกัน

      สังคมมนุษย์นั้นอยู่ในภาวะเลื่อนไหลแปรเปลี่ยนตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคโลกาภิวัตน์ ความเร็วในการแปรเปลี่ยนยิ่งเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ดังนั้นถ้าจะมีคนบางกลุ่มแลไปข้างหลังอย่างเสียดายบ้าง หรือมีคนอีกกลุ่มหนึ่งแลไปข้างหน้าอย่างวาดหวังบ้าง มันก็น่าจะเป็นเรื่องธรรมดา แล้วทำไมในกรณีของประเทศไทย ความแตกต่างทางความคิดจึงนำไปสู่ความขัดแย้งขั้นแตกหักรุนแรง จนถึงกับต้องเปลี่ยนระบอบการปกครองสลับไปมา?

      อันนี้เป็นหัวข้อที่น่าสนใจโดยตัวของมันเอง แต่เฉพาะหน้าไม่ใช่ประเด็นหลักที่ผมจะพูดถึง ผมเพียงขออนุญาตตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องการเมืองในบ้านเราไม่ใช่เรื่องความคิดเพียงอย่างเดียว หากเป็นความคิดที่ผูกโยงกับกลุ่มผลประโยชน์ ความสัมพันธ์ทางอำนาจ และประเด็นเชิงโครงสร้างอื่นๆ อีกหลายประการ

      แต่ถึงอย่างไรความคิดก็เป็นหัวข้อสำคัญอย่างหนึ่ง ผมได้กล่าวไว้แล้วตั้งแต่แรกว่าโลกที่เราเห็นคือโลกที่เราคิด ถึงตรงนี้ก็คงต้องเติมว่าผู้คนไม่เพียงเห็นโลกจากมุมมองในความคิดเท่านั้น หากยังอยากดัดแปลงโลก หรือเก็บรักษาโลกให้เป็นไปตามความคิดของตนด้วย หรือพูดให้สั้นขึ้นคือความคิดเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำ เรื่องนี้ทั้งทางโลกและทางธรรมไม่มีอะไรขัดแย้งกัน พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไว้แล้วว่ามนุษย์เรามีใจเป็นประธาน ใจในที่นี้หมายถึง Mind ในภาษาอังกฤษ ซึ่งรวมความรู้สึกนึกคิดไว้ด้วยกัน

      สำหรับเรื่อง สังคมไทยในความคิดและความคิดในสังคมไทย ผมมีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือในประเทศไทยนั้น มีทฤษฎีทางสังคมการเมืองที่คิดขึ้นใหม่น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นการผลิตซ้ำและส่งทอดมาจากสองแหล่ง คือมาจากยุคสมัยที่ผ่านพ้นไปแล้วชุดหนึ่งกับมาจากโลกภายนอกอีกชุดหนึ่ง ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ล้วนมีสัดส่วนที่ไม่ได้กลมกลืนกับสภาพที่เป็นอยู่

      ดังนั้นความขัดแย้งทางความคิดที่เราเห็นในประเทศไทย จึงมีลักษณะคล้ายความขัดแย้งทางศาสนา ซึ่งออกไปในทางศรัทธาความเชื่อสังคมไทยกลายเป็นพื้นที่ช่วงชิง (Contested Area) ระหว่างความคิดสองกระแส โดยฝ่ายอนุรักษนิยมมีปัญหาเรื่องกาละ ส่วนฝ่ายก้าวหน้ามีปัญหาเรื่องเทศะ และทั้งสองฝ่ายต่างพยายามที่จะปรับเปลี่ยนโลกของผู้อื่นให้ตรงกับความคิดของฝ่ายตน

      กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยมและฝ่ายก้าวหน้าต่างก็ต้องเหนื่อยกับการปลูกฝังความคิดของตนในสังคมไทยปัจจุบัน ฝ่ายหนึ่งต้องการนำความคิด ความเชื่อ และคุณค่าจากสมัยเก่ากลับมาอยู่ในกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งก็พบว่าการนำแนวคิดจากโลกภายนอกมาไว้ในพื้นที่อันไม่ใช่เนื้อดินถิ่นกำเนิดนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย

      การที่ทั้งสองฝ่ายแข่งกันบรรจุชุดความคิดฝ่ายตนลงไปใน space and time ของประเทศไทยปัจจุบัน นับเป็นเรื่องที่กดดันผู้คนในสังคมอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันสมัยของไทยก็มีทั้งภูมิลักษณ์และดินฟ้าอากาศของตัวเอง ซึ่งมิใช่กาลเทศะที่จะเกี่ยวร้อยความคิดทั้งสองชุดได้โดยอัตโนมัติ หรืออย่างน้อยไม่ใช่ทุกเรื่องทุกประเด็นพร้อมๆ กัน

      ความตึงเครียดดังกล่าวเห็นได้ชัดในระบบการศึกษา ซึ่งครูคนหนึ่งจะต้องสอนให้นักเรียนทั้งเชื่อฟังผู้ใหญ่ เป็นพลเมืองดีในนิยามของรัฐ ไปพร้อมๆ กับเป็นนักประชาธิปไตยและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ความอึดอัดทำนองนี้ปรากฏอยู่ในทุกวงการ ดังนั้นเราจึงมักเห็นสภาพที่ทั้งความคิดอนุรักษ์และความคิดก้าวหน้าถูกแรงเหวี่ยงของปัจจุบันสมัยปัดออกไปอย่างน้อยก็ชั่วคราว หรือเป็นระยะๆ ทั้งในวงแคบวงกว้าง สุดแท้แต่ว่าในห้วงยามไหน ใครทำตัวน่าเบื่อมากกว่า

      แน่นอน ในการแข่งขันช่วงชิง space and time ระหว่างความคิดหลักสองชุด ฝ่าย Conservative ค่อนข้างจะได้เปรียบ เพราะมีโครงสร้างอำนาจรัฐคอยค้ำจุน ในด้านหนึ่ง รัฐไทย โดยผ่านระบบการศึกษา และเครื่องมือบังคับควบคุม สามารถผลิตซ้ำชุดความคิดอนุรักษ์ในรูปของอุดมการณ์แห่งรัฐ และสิ่งที่เรียกว่าอัตลักษณ์ของชาติได้อย่างสม่ำเสมอ ขณะที่ในอีกด้านหนึ่ง ชนชั้นที่ใกล้ชิดอำนาจรัฐตลอดจนประชากรที่ชอบเป็นหนึ่งเดียวกับรัฐ ต่างก็คอยขานรับและขยายต่อในรูปแบบที่ไม่เป็นทางการ

      ด้วยเหตุดังนี้ ทั้งสองภาคส่วนจึงกลายเป็น reference ให้กันและกัน รัฐอ้างสังคมในการสร้างความชอบธรรมของอำนาจ สังคมส่วนที่ผมเอ่ยถึงก็อิงกรอบอุดมการณ์ของรัฐในการรักษาผลประโยชน์และปรุงแต่งสถานภาพ กระทั่งใช้มันมาเสริมขยายอัตตาของตน

      จินตนาการที่มีพลังที่สุดอย่างหนึ่งของฝ่ายอนุรักษนิยมในสังคมไทยคือแนวคิดเรื่อง 'ความเป็นคนดี' ซึ่งผูกโยงกับเรื่องศีลธรรม บุญบาป อย่างแยกไม่ออก ทว่าในขณะเดียวกันก็ตัดขาดจากประเด็นชนชั้นและกลุ่มผลประโยชน์ ตลอดจนโครงสร้างเศรษฐกิจสังคมโดยส่วนใหญ่ พูดง่ายๆ คือตามคติของฝ่ายนี้ดีชั่วไม่จำเป็นต้องมีมีบริบทห้อมล้อม ความเป็นคนดีเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคลกับพลังทางศีลธรรมของเขาหรือเธอ คนไทยควรต้องเป็นคนดี สังคมไทยต้องเป็นสังคมของคนดี และที่สำคัญที่สุดคือผู้ปกครองประเทศไทยจะต้องเป็นคนดี

      ถามว่าทำไมความคิดดังกล่าวจึงมีพลังอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน ทั้งๆ ที่องค์ความรู้ต่างๆ ได้เติบใหญ่ขยายตัวไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือมนุษยศาสตร์ คำอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ที่เกี่ยวโยงกับเหตุปัจจัยต่างๆ ได้รับการค้นคว้าออกมามากมาย ทำไมไม่ดึงมาใช้พิจารณาสังคมบ้าง

      คำตอบง่ายๆ เบื้องต้นคือ ความดีเป็น concept ที่อยู่เหนือยุคสมัย นอกจากนี้ยังเป็นจินตภาพเชิงบวกที่กินความกว้างและคลุมเครือมาก จนกระทั่งแทบทุกคนสามารถพยักหน้าเห็นด้วย

      แต่ขณะเดียวกันความดีก็เป็นแนวคิดแบบทวิภาวะ (หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า dualism) ที่ไหนมีความดีที่นั่นย่อมมีความไม่ดี ซึ่งทำให้ผู้คนสามารถสมาทานความดีมาเสริมอัตตาได้โดยง่าย แค่คิดว่าตัวเองเป็นคนดีก็รู้สึกมีฐานะเหนือกว่าคนไม่ดีแล้ว

      ด้วยเหตุดังนี้ ถ้าไม่ตั้งสติให้มั่น ผู้คนย่อมสามารถพลัดหลงอยู่ในวังวนของความดีได้ อันที่จริงแนวคิดเรื่องความดีในประเทศไทยไม่ได้เหลือที่ว่างให้ใครตีความเองได้มากนัก หากเต็มไปด้วยบทบัญญัติรูปธรรมให้ยึดถือ และเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมไทยอย่างลึกซึ้ง มิหนำซ้ำยังมีบทลงโทษคนที่อยู่นอกกรอบความดีดังกล่าวทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

      ยกตัวอย่างเช่น ทุกวันนี้การดื่มสุราสูบบุหรี่ไม่ว่ามากหรือน้อย หรืออยู่ในบริบทใดมักจะถูกตีตราว่าเป็นพฤติกรรมที่เสื่อมทราม น่ารังเกียจ สมควรถูกต่อต้านและประณาม แม้แต่ภาษีที่จัดเก็บจากบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็ถูกเรียกว่าภาษีบาป ซึ่งเท่ากับยกระดับข้อกล่าวหาขึ้นสู่หลักศาสนาเลยทีเดียว ในทางกลับกันการไม่สูบยาไม่กินเหล้ากลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นคนดีแบบไทยๆ

      อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ผมเห็นว่ามีการแต่งเติมเสริมขยายจนเกินจริงไปไกล

      ขอเรียนตรงๆ ด้วยความเคารพและเกรงใจทุกท่าน ผมเห็นว่าถ้าลำพังเรารณรงค์คัดค้านเหล้าบุหรี่ในฐานะปัญหาสุขภาพ หรือในบางกรณีก็คัดค้านพฤติกรรมที่เป็นอันตรายต่อสังคมอย่างเมาแล้วขับ เมาแล้วอาละวาด ก็คงไม่มีเรื่องให้เถียงกันเท่าใด เพราะการบริโภคสิ่งเหล่านี้มากเกินไปเป็นผลเสียต่อสุขภาพและอาจส่งผลกระทบต่อผู้อื่นได้จริงๆ

      ประเด็นมันอยู่ที่การต่อต้านประณามกันจนล้นเกิน อยู่ที่การสมมุติตนเป็นคนดีของฝ่ายต่อต้านและการลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของฝ่ายที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคนไม่ดี การ demonize ผู้บริโภคบุหรี่และสุราเป็นสิ่งเดียวกับการ dehumanize พวกเขา อันนี้ต่างหากที่น่าจะเป็นบาปแท้จริง ในทัศนะของฝ่ายต่อต้าน คนสูบยากินเหล้าเป็นแค่ 'คนไม่รักดี' โดยไม่ต้องมีหมายเหตุอะไรทั้งสิ้น ความคิดเช่นนี้ ใช่หรือไม่ว่าเป็นการลดทอนย่อส่วนชีวิตของพวกเขาให้เหลือแค่มิติเดียวคือร่างกาย โดยไม่มีการพิจารณามิติทางสังคม วัฒนธรรม และคุณค่าอื่นๆ ของชีวิตแม้แต่น้อย

      ไม่มีใครปฏิเสธหรอกว่าสุขภาพเป็นเรื่องสำคัญ และทุกคนก็อยากมีสุขภาพดีกันทั้งนั้น แต่ชีวิตคนเรามันมีเนื้อหาสาระมากกว่าการดูแลร่างกายหลายอย่าง ด้วยเหตุดังนี้ จะมากจะน้อย ผู้คนก็ต้องทำเรื่องเสียสุขภาพบ้าง

      จำนวนผู้สูบบุหรี่ในประเทศไทยมีประมาณ 11 ล้านคน ส่วนผู้บริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีประมาณ 18 ล้านคน ซึ่งอาจเป็นจำนวนที่ทาบซ้อนกับผู้สูบบุหรี่อยู่จำนวนหนึ่ง แต่รวมๆ แล้วก็ถือว่ามีประชาชนเกือบ 20 ล้านคนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็น 'คนไม่ดี'

      ถามว่าแล้วทำไมประชากรไทยจำนวนมหาศาลขนาดนี้จึงถูกย่อนิยามให้เป็นแค่ผู้ติดหลงในอบายมุขหรือเป็นคนบาป ในเมื่อคนเหล่านั้นอาจจะมีตั้งแต่นักธุรกิจ ข้าราชการ วิศวกร สถาปนิก ทนายความ ศิลปินสาขาต่างๆ ครูบาอาจารย์ นักวิชาการ พ่อค้าแม่ขาย มาจนถึงกรรมกรและชาวนา กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งทำประโยชน์ให้กับสังคมไม่แพ้ใคร

      จากมุมมองของผม คำตอบอยู่ที่การสร้างฐานความคิดไปสู่การมีอำนาจเหนือชีวิตผู้อื่น ซึ่งท่านทั้งหลายอาจจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ได้ จะว่าไปเรื่องของการทำดีนี่พาไปเมาศรัทธากันได้ไม่ยาก แต่ไหนแต่ไรมา การลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น มักจะนำไปสู่การสถาปนาอำนาจเหนือคนเหล่านั้นเสมอ มันเป็นกลไกการควบคุมที่ใช้มาตั้งแต่ยุคทาสแล้ว

      ในเรื่องนี้ก็เช่นเดียวกัน ในที่สุดมันก็นำไปสู่การรวบอำนาจของฝ่ายที่ถือตนเป็นคนดี ซึ่งสามารถเข้าไป connect กับฝ่ายอนุรักษนิยมที่คุมกลไกรัฐ จากนั้นทั้งภาครัฐและสิ่งที่เรียกว่าภาคประชาสังคมก็ผลักดันกฎเกณฑ์จำนวนมากมาควบคุมพื้นที่การใช้ชีวิตของคนกินเหล้าสูบบุหรี่ โดยไม่เคยอนุญาตให้พวกเขามีส่วนร่วมในการพิจารณาความเหมาะควรแม้แต่น้อย กฎระเบียบเหล่านี้ถูกผูกพ่วงมาด้วยบทลงโทษที่รุนแรงถึงขั้นถูกปรับแพงๆ และต้องติดคุกติดตารางราวกับว่าการกินเหล้าสูบบุหรี่เป็นอาชญากรรมร้ายแรง

      นอกจากนี้แล้ว ในนามของความหวังดี และเพื่อคุมความประพฤติของคนไม่รักสุขภาพ ฝ่ายรัฐยังสามารถเก็บภาษีเหล้าบุหรี่ได้ตามอำเภอใจ สามารถขึ้นอัตราภาษีครั้งแล้วครั้งเล่า จนทำให้สินค้าประเภทนี้มีราคาแพงเกินต้นทุนการผลิตไปไกล รัฐไทยมีรายได้จากภาษีเหล้าบุหรี่ ปีละกว่า 2 แสนล้านบาท ยังไม่ต้องเอ่ยถึงกำไรจากการค้าที่โรงงานยาสูบนำส่ง ซึ่งเคยขึ้นสูงถึง 7 พันล้านบาท (ในปี 2559)

      เรื่องจึงกลายเป็นว่า นอกจากผู้บริโภคบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะถูกประณามหยามเหยียดแล้ว ยังถูกล้วงกระเป๋าอย่างไม่เกรงใจ ไม่มีใครมองพวกเขาในมิติที่เป็นผู้เสียภาษีรายใหญ่ และมีส่วนกระตุ้นให้เศรษฐกิจเติบโต

      ใช่หรือไม่ว่ามันต้องมีอะไรสวนทางกับความยุติธรรมสักจุดหนึ่ง?

      พูดก็พูดเถอะ การที่มีผู้เชี่ยวชาญมาให้ความรู้เรื่องพิษภัยของเหล้าบุหรี่นั้น ผมยังคิดว่าเป็นเรื่องดี แต่ความดีมันจบลงตรงจุดที่เริ่มบีบบังคับให้คนอื่นเป็นคนดีด้วย ทำไมเราไม่ปล่อยให้ผู้คนพลเมืองมีเสรีภาพในการเลือกวิถีชีวิตของตัวเอง โดยให้ข้อมูลพวกเขาเพื่อประกอบการตัดสินใจ ทำไมไม่ยอมให้พวกเขาดูแลสุขภาพไปตามเงื่อนไขและความสมัครใจของแต่ละคน

      แต่ก็อีกนั่นแหละ วิธีคิดแบบสุดขั้วนั้นมักจะปิดทางเลือกที่สามเสมอ ถ้าไม่เห็นด้วยกันทั้งหมดก็ไม่ใช่ฝ่ายเดียวกัน ไม่มีการอนุญาตให้เห็นด้วยแค่บางส่วน พูดอีกแบบคือสภาพจิตแบบนี้มักผลักผู้อื่นให้อยู่ในตรอกซอยคับแคบ เดินสวนกันไม่ได้ ถ้าไม่เดินตามกันไปก็ต้องปะทะอย่างเดียว

      ในทัศนะของผม ซึ่งอาจจะผิดก็ได้ กรณีเหล้าบุหรี่นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการสร้างสมการทางอำนาจระหว่าง 'คนดี' กับ 'คนไม่ดี' ซึ่งนำไปสู่การใช้อำนาจตามอำเภอใจและการทำลายล้างสิทธิของฝ่ายที่ถูกกดเหยียดว่าเป็นคนไม่ดี จากประเด็นสุขภาพธรรมดาเหมือนประเด็นกินหวาน กินมัน กินเค็ม กรณีดังกล่าวถูกขยายความให้เป็นเรื่องศีลธรรม กระทั่งเป็นปัญหาบุญบาป สุดท้ายกลายเป็นเรื่องใช้อำนาจควบคุมสังคมโดยคนกลุ่มน้อยที่ถือตนว่าเป็นคนดีกว่าผู้อื่น

      ที่ต้องเน้นคำว่าตามอำเภอใจก็เพราะว่า การตั้งแง่รังเกียจและกฎหมายต่างๆ ที่ออกมาคุมเรื่องเหล้าบุหรี่นั้นแผ่คลุมคนที่ไม่ได้ทำความผิดไว้เป็นจำนวนมากมายมหาศาล เช่น คนที่สูบบุหรี่โดยไม่รบกวนคนอื่น ขจัดก้นยาเป็นที่เป็นทาง หรือคนที่ดื่มสุราสังสรรค์กับเพื่อนๆ โดยไม่ได้เมาอาละวาด ไม่ได้ขับรถทั้งๆ ที่หมดสภาพ คนเหล่านี้เป็นคนส่วนใหญ่ในกลุ่มผู้บริโภคแอลกอฮอล์ แต่ก็กลายเป็นผู้ถูกละเมิดสิทธิไปโดยปริยาย ฝ่ายต่อต้านมักไม่เห็นความแตกต่างระหว่างการดื่มสุรามงคลในงานวิวาห์กับคนเมาที่ทุบตีลูกเมีย

      ลักษณะตามอำเภอใจอีกแบบหนึ่งของความเป็นคนดีคนไม่ดีแบบนี้ คือความไม่คงเส้นคงวาของการตัดสินผิดถูก เช่น ขณะที่การกินเหล้าสูบบุหรี่ถูกระบุว่าเป็นบาปกระทั่งเรียกภาษีเหล้าบุหรี่ว่าภาษีบาป แต่การทำบาปทางศาสนาที่ชัดเจนกว่านั้นกลับไม่ถูกรณรงค์ต่อต้าน หรือถูกเก็บภาษีสูงด้วยเหตุผลเดียวกัน ที่ชัดเจนที่สุดคือการฆ่าสัตว์เพื่อการบริโภค ทำไมจึงไม่มีการรณรงค์ต่อต้านคนขายหมูขายไก่ หรือเรียกภาษีจากการฆ่าสัตว์ว่าภาษีบาปบ้าง ทั้งๆ ที่เรื่องนี้เป็นการผิดศีลขั้นร้ายแรงที่สุดในบรรดาข้อห้ามทั้งปวงของพุทธศาสนา

      แน่นอน ที่ยกกรณีต้านเหล้าบุหรี่ขึ้นมาไม่ได้หมายความว่าผมสนับสนุนให้คนกินเหล้าสูบบุหรี่ หรืออยากจะเถียงกับใครในเนื้อหาที่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่ที่ต้องพูดถึงมันเพราะผมเห็นว่ามีประเด็นเกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนเรือนแสนเรือนล้าน จากตัวอย่างนี้ เราจะเห็นได้ว่าความเป็นคนดีในบริบทไทยมักมีนัยเรื่องความสัมพันธ์ทางอำนาจค่อนข้างมาก และเชื่อมโยงกับความคิดอำนาจนิยมอย่างแน่นหนา 'คนดี' กับ 'คนรู้ดี' มักจะแยกกันไม่ออก มันจึงเป็นฐานคิดที่สนับสนุนให้คนจำนวนน้อยมีอำนาจเหนือคนส่วนใหญ่ อีกทั้งเป็นอำนาจที่แทบจะไร้ขอบเขต

      ผมคงไม่ต้องพูดก็ได้ว่า concept ความเป็นคนดีแบบนี้ถูกนำมาใช้อย่างเข้มข้นที่สุดในช่วงต่อต้านรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและสนับสนุนรัฐประหารเมื่อต้นปี 2557 ยามนั้นผู้นำการชุมนุมหลายท่านได้พูดถึงเรื่องนี้ บางท่านไปไกลถึงขั้นยืนยันว่าคนเราไม่เท่ากัน อำนาจทางการเมืองควรอยู่ในมือของคนดีเท่านั้นและคนไม่ดีไม่ควรมีสิทธิในเรื่องการเมืองปกครอง

      จริงอยู่ ถ้าเราพิจารณาเงื่อนไขบริบทที่ความคิดนี้ถูกนำมาใช้ ก็เข้าใจได้ว่าทำไมความรังเกียจนักการเมืองที่กุมอำนาจจึงขึ้นสู่กระแสสูง อีกทั้งต้องยอมรับด้วยว่ามีนักการเมืองจำนวนหนึ่งที่คดโกงน่ารังเกียจ และเข้าข่ายเป็นคนไม่ดีทั้งในทางโลกและทางธรรม

      แต่ประเด็นมีอยู่ว่าการดึงอำนาจกลับมาสู่มือ 'คนดี' ดูจะมีช่องโหว่ทั้งในทางทฤษฎีและในทางปฏิบัติอยู่ไม่น้อย

      จะว่าไปความเป็นคนดีในทางธรรมนั้น จะต้องไม่ยึดติดในความดีของตน ไม่โฆษณาตัวเอง และไม่ยกตนข่มท่าน เพราะมันจะพาย้อนกลับไปสู่การขยายอัตตาตัวตน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจุดหมายในการทำดี  เพื่อการหลุดพ้นทางจิตวิญญาณ

      แต่ผมเข้าใจว่าความเป็นคนดีที่พูดถึงกันบนเวทีขับไล่รัฐบาลพลเรือนไม่ได้เป็นเรื่องเช่นนี้ หากเป็นการเอาความเป็นคนดีมาใช้สร้างอัตตารวมหมู่ เป็น Collective Ego ซึ่งก่อเกิดเป็นอัตลักษณ์ของกลุ่มผู้ประท้วง ขณะเดียวกันก็กดเหยียดฝ่ายตรงข้ามให้มีฐานะต่ำกว่าในทางศีลธรรม อันนี้แน่นอนเป็นการปูทางไปสู่การจะทำอย่างไรก็ได้ จะจัดการอย่างไรก็ได้ กับฝ่ายที่ถูกระบุไว้แล้วว่าเป็นคนไม่ดี

      ปัญหาใหญ่มีอยู่ว่าคนไม่ดีในสายตาของฝ่ายที่ถือว่าตัวเองเป็นคนดีนั้น ไม่ได้มีแค่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง หากยังรวมประชาชนที่เลือกรัฐบาลดังกล่าวด้วย ดังนั้นผู้ที่พวกเขาต้องการตัดสิทธิการมีส่วนร่วมทางการเมืองการปกครองจึงไม่ได้มีแค่นักการเมือง หากยังรวมถึงชาวบ้านนับล้าน หรือประชาชนทั่วทั้งประเทศ

      ที่น่าสนใจมากก็คือ เมื่อมองจากบริบทที่ห้อมล้อมเหตุการณ์ในปี 2557 เราจะพบว่าความเป็นคนดีหรือคนไม่ดีที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นนั้น มีลักษณะสอดประสานกับฐานะทางชนชั้นของแต่ละฝ่ายอย่างแยกไม่ออก แถวหน้าสุดของกลุ่ม 'คนดี' มักจะหมายถึงคนที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดี มีการศึกษาสูง ส่วน 'คนไม่ดี' ส่วนใหญ่เป็นชาวชนบท หรือคนชั้นกลางชั้นล่างในเมือง ซึ่งส่วนมากมีการศึกษาน้อยกว่าและมีรายได้ค่อนไปในทางต่ำ

      ดังนั้น ปัญหาจึงถูกพากลับมาสู่ประเด็นพื้นฐานของปรัชญาการเมือง คือประเด็นที่ว่าใครควรมีสิทธิเป็นผู้ปกครอง และใครบ้างที่ไม่ควรมีสิทธิมีส่วนในการเมืองการปกครอง

      คำถามนี้จริงๆ แล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ ในสมัยโบราณเพลโต นักปราชญ์ชาวกรีกได้เคยเสนอไว้แล้วว่าอำนาจการเมืองไม่ควรอยู่ในมือคนทั่วไปที่สนใจแต่เรื่องทำมาหากิน หากควรอยู่ในมือชนส่วนน้อยที่มีคุณสมบัติเหมาะสม คนกลุ่มนี้จะต้องมีทั้งความปรีชาสามารถและคุณธรรมสูงส่ง ไม่มีทรัพย์สินส่วนตัว ใช้ชีวิตรวมหมู่ ไม่มีกระทั่งครอบครัว และต้องทำทุกอย่างเพื่อประโยชน์สุขของผู้อยู่ใต้การปกครอง

      ถามว่าแล้ว 'ความเป็นคนดี' ในประเทศไทย มีลักษณะใกล้เคียงกับชนชั้นปกครองของเพลโตหรือไม่ คำตอบคือ แค่เรื่องทรัพย์สินส่วนตัวก็สอบไม่ผ่านแล้ว เรื่องภูมิปัญญาก็ไม่แน่นัก อย่าว่าแต่เรื่องครองตัวเป็นโสดปราศจากครอบครัว

      ในเมื่อผู้ปกครองในอุดมคติไม่ใช่หากันได้ง่ายๆ เรามีทางเลือกอะไรเหลือบ้างในการแก้ปัญหานี้?

      ที่ผ่านมาเราเคยใช้วิธีเลือกตั้ง เพราะคิดว่าถ้าเลือกผิดก็เลือกใหม่ นอกจากนี้ยังมีระบบตรวจสอบที่สามารถลงโทษผู้ปกครองที่ออกนอกลู่นอกทาง กระทั่งเอาลงจากตำแหน่งได้ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีคนจำนวนหนึ่งมาบอกว่าวิธีนั้นใช้ไม่ได้ นัยเรื่องความเป็นคนดีคนไม่ดีของเขาบ่งชัดว่าบ้านนี้เมืองนี้มีคนที่ควรทำหน้าที่เป็นชนชั้นปกครองอย่างถาวร และมีคนที่ควรถูกปกครองหรือถูกควบคุมความประพฤติอย่างถาวรเช่นกัน

      แล้วใครเล่าที่เป็นฝ่ายแรก ใครกันที่เป็นฝ่ายหลัง ข้อนี้เมื่อถอดสมการการเมืองออกมาอย่างถึงที่สุดแล้ว ก็จะพบว่า กองหน้าของคนดีกลายเป็นข้าราชการกับนายทุนใหญ่ และคนชั้นกลางค่อนไปทางสูง ส่วนคนไม่ดีได้แก่บรรดานักการเมืองกับชาวบ้านที่เลือกพวกเขามา แน่ละ ข้อยกเว้นรายบุคคลย่อมต้องมีอยู่บ้าง

      กระนั้นก็ตาม เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนฐานของความเป็นจริงเลย ดังนั้นมันจึงเป็นวาทกรรมที่นำไปสู่ทางตัน ไม่มีสังคมไหนในยุคปัจจุบันที่สามารถจำแนกคนดีคนไม่ดีออกเป็นชนชั้นหมู่เหล่าได้ขนาดนั้น อย่างมากที่สุดเราก็พูดได้ว่าคนดีคนไม่ดีอยู่ปนกันในทุกหนแห่ง ไม่ว่าจะรวยหรือจน เป็นนักการเมืองหรือเป็นพลเมืองธรรมดา เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือนักธุรกิจเอกชน อย่าว่าแต่ในหลายกรณีคนคนเดียวอาจจะมีทั้งความดีและความเลวปะปนอยู่ในตัว

      ยิ่งไปกว่านั้น ความดีความเลวยังสามารถพิจารณาได้จากหลายมุม ต่างคนต่างกลุ่มอาจจะมองเรื่องนี้ไม่ตรงกันก็ได้ แล้วใครเล่าจะมีสิทธิผูกขาดคำนิยามอยู่กลุ่มเดียว ก็จริง สังคมคงตั้งอยู่ไม่ได้ หากมองเรื่องผิดถูกไปคนละทางตลอดเวลา หรือหากไม่มีบรรทัดฐานกลางเอาไว้ยึดถือร่วมกันบ้าง แต่ประเด็นนี้ยิ่งทำให้จำเป็นต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายมานิยามกฎเกณฑ์ร่วมกัน เพื่อจะได้เกิดความเห็นชอบในเรื่องผิดถูกดีชั่วในระดับที่พอเพียงต่อการจรรโลงสังคม

      พูดอีกแบบหนึ่งคือ แนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยไม่ได้เป็นขั้วตรงข้ามกับความเป็นคนดี หากแต่คัดค้านการผูกขาดในเรื่องนี้ และต้องการทำให้ความดีเป็นเรื่องเข้าถึงได้โดยคนทุกคน โดยส่วนตัวแล้ว ผมเองก็ไม่ได้ต่อต้านความเป็นคนดีโดยทั่วไป ผมเพียงแต่เห็นว่าการสมมุติตนเป็นคนดีเพื่อรวบอำนาจนั้นไม่ถูกต้อง พ้นจากเรื่องนี้แล้ว ใครอยากจะทำดีเพื่อพัฒนาตน ไม่ว่าจะถือศีล กินเจช่วยเหลือหมาแมว งดเหล้าช่วงเข้าพรรษา หรือนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ผมถือเป็นสิทธิของท่าน และในบางเรื่องผมก็เห็นด้วย

      ประเด็นต่อไปของฝ่ายอนุรักษนิยมที่ผมอยากจะพูดถึงคือเรื่องของ 'ความเป็นไทย' นี่ก็เป็นวาทกรรมอีกอย่างหนึ่งที่ถูกนำมาใช้มากในความขัดแย้งทางการเมือง

      กล่าวโดยเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ แนวคิดความเป็นไทยเป็นสิ่งที่รัฐไทยสร้างขึ้นล้วนๆ และในช่วงประวัติศาสตร์ที่ไม่นานนัก ลักษณะสำคัญของแนวคิดนี้คือมีไว้ใช้กับคนในประเทศมากกว่าใช้ต่อต้านต่างชาติอย่างจริงจัง

      ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบก็คือว่าสยามประเทศเปลี่ยนรูปเป็นรัฐไทยสมัยใหม่ด้วยการรวมศูนย์อำนาจเหนือแว่นแคว้นที่มีชาติพันธุ์ ภาษา และวัฒนธรรมหลากหลายมาก กระทั่งบางแห่งเคยมีฐานะกึ่งอิสระมานาน ดังนั้นด้วยเหตุผลในการปกครอง แนวคิดเรื่องสร้างภาษาและวัฒนธรรมกลางจึงเกิดขึ้น จากนั้นคลี่คลายขยายตัวไปเป็นเรื่องรัฐนิยม ชาตินิยมแบบไทยๆ กระทั่งกลายเป็นนิยามความเป็นไทยในปัจจุบัน เนื่องจากเคยพูดเขียนเรื่องดังกล่าวไว้ในที่อื่นๆ แล้ว วันนี้ผมจึงไม่อยากลงสู่รายละเอียด เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่าแนวคิดนี้มีจุดเน้นอยู่ที่ความจงรักภักดีและเชื่อฟังรัฐ ใครที่ทำตัวเป็นเด็กดีคนนั้นจึงจะถูกนับเป็นคนไทย

      และด้วยตรรกะเดียวกัน ใครที่คิดเห็นต่างจากรัฐ ก็มักถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับความเป็นคนไทย กระทั่งถูกขับไล่ไสส่งให้ไปอยู่ประเทศอื่น ทั้งๆ ที่คนคนนั้นอาจเกิดในประเทศไทย ถือสัญชาติไทย มีพ่อแม่พี่น้องเป็นคนไทย และบางทีอาจจะมีรากเหง้าอยู่ในวัฒนธรรมไทยมากกว่าคนที่ขับไล่เขาเสียอีก อันที่จริงถ้าเรานับว่าแนวคิดเรื่องความเป็นคนไทยนั้น เริ่มก่อรูปขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 และเข้มข้นขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 6 ต่อเนื่องมาจนถึงหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 และมีมาจนถึงปัจจุบัน ก็เป็นเรื่องน่าแปลกที่ตลอดช่วงเวลากว่าหนึ่งศตวรรษและท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสังคมไทย แก่นแกนของความคิดดังกล่าวกลับไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าใด ยังไงๆ ความเป็นไทยก็ไม่ได้รวมถึงการมีสิทธิเสรีภาพและระบอบประชาธิปไตยเอาไว้เป็นเนื้อใน หากยังคงเน้นเรื่องการเชื่อฟังรัฐ และความภูมิใจในชาติแบบลอยๆ

      ด้วยเหตุดังนี้แนวคิดเรื่องความเป็นคนไทย จึงถูกนำไปเสริมฐานะให้กับระบอบอำนาจนิยมอย่างเลี่ยงไม่พ้น ยิ่งในช่วงหลังรัฐประหาร 2557 ด้วยแล้ว คนที่เรียกร้องสิทธิเสรีภาพก็ดี พูดถึงประชาธิปไตยก็ดี หรือพูดถึงหลักสิทธิมนุษยชนก็ตาม ล้วนแล้วแต่ถูกเพ่งเล็งว่าความเป็นไทยบกพร่องทั้งสิ้น

      ยิ่งในระยะแรกชาติตะวันตกแสดงท่าทีไม่ยอมรับระบอบเผด็จการในประเทศไทย ก็ยิ่งมีคนอ้างถึงความเป็นไทยว่าพิเศษแตกต่างจากฝรั่งนานาประการ ส่วนคนที่คิดต่างก็ถูกหาว่าเป็น 'ขี้ข้า' หรือเป็นทาสทางปัญญาของฝรั่งไป

      คงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจนักที่แถวหน้าของผู้หวงแหนความเป็นไทยมักจะเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่ถือตนเป็นคนดี แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกประหลาดใจก็คือในทางปฏิบัติ กลุ่ม Elites และ Upper- Middle Class เหล่านี้มักใกล้ชิดกับโลกตะวันตกและมีวิถีชีวิตแบบฝรั่งมากกว่าคนไทยทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้น หลายคนยังจับมือถือแขนกับชาวต่างชาติในเรื่องการค้าการลงทุนโดยไม่รู้สึกกระดากใจ อันนี้ทำให้เชื่อได้ว่าแนวคิดเรื่องความเป็นไทยเป็นวาทกรรมทางการเมืองเสียมากกว่าจะยึดถือกันอย่างแท้จริง

      อย่างไรก็ตาม ประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งในการปกป้องระบอบอำนาจนิยมโดยเชิดชูความเป็นไทยคือการระบุว่าประชาธิปไตยเป็นแนวคิดของโลกตะวันตก ซึ่งอาจจะไม่เหมาะหรือใช้การไม่ได้กับประเทศไทย เรื่องนี้ถ้าถ้าขับเคลื่อนกันจริงๆ ก็นับว่าอันตรายต่อความปรองดองในสังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากแนวคิดสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยนั้นได้กลายเป็นคุณค่าสากลมานานแล้ว และมีคนไทยจำนวนมากที่มีศรัทธาในคุณค่าดังกล่าว แม้ว่าจะยังไม่ใช่คนไทยทั้งหมดก็ตาม

      แน่นอน สาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีคนไทยบางกลุ่มรังเกียจประชาธิปไตยก็เพราะปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของนักการเมืองบางคน กับปัญหาความแตกแยกระหว่างมวลชนที่สนับสนุนพรรคการเมืองคนละพรรค เรื่องนี้เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าสถานการณ์เลวร้ายจริง

      แต่จะว่าไประบอบประชาธิปไตยในโลกล้วนมีปัญหาไม่มากก็น้อยทั้งนั้น อันนี้เปรียบเทียบไปแล้วก็เหมือนปัญหาอันตรายบนท้องถนน เราคงไม่แก้ปัญหาด้วยวิธีเลิกใช้รถยนต์แล้วกลับไปนั่งเกวียน พร้อมกับภูมิใจว่าเกวียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของไทย มิใช่หรือ

      ในโลกที่เป็นอยู่การยอมรับคุณค่าสากล เช่น สิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย ไม่ได้ขัดแย้งกับตัวตนความเป็นคนไทยโดยรวม แม้ว่าหลายท่านอาจจะยังยึดติดกับแนวคิดอนุรักษนิยมในบางเรื่องบางราว คุณค่าเหล่านี้ก็ไม่ได้ทำให้เราเป็นคนไทยน้อยลง อันที่จริงมันจะยิ่งส่งเสริมให้ประเทศเรามีฐานะและศักดิ์ศรีน่าภูมิใจมากขึ้นเสียด้วยซ้ำ

      มาถึงวันนี้ประเทศไทยมีเอกภาพของดินแดน และมี National Integration ในระดับที่เพียงพอแล้ว ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่เราจะนิยามความเป็นไทยให้คับแคบอยู่แค่เชื่อฟังรัฐหรือเน้นแต่ปัญหาความมั่นคง จนกลัวการแตกแยกมากเกินไป ฝันร้ายของรัฐไทย ไม่ว่าจะมาจากยุคล่าอาณานิคมหรือยุคสงครามเย็น ควรจะถูกลืมได้แล้ว ถ้าทุกวันนี้รัฐไทยสามารถผูกมิตรตีสนิทกับศัตรูเก่าอย่างจีน หรือเวียดนามได้ แล้วจะมีเหตุผลอันใดที่ไม่ยอมรับคนไทยที่คิดต่างกัน

      ผมไม่ต้องพูดก็ได้ว่าในบริบททางเศรษฐกิจสังคมที่เปลี่ยนไป concept ความเป็นไทยในนิยามเดิมๆ กำลังกลายเป็นตัวปัญหามากกว่าเป็นพื้นที่สร้างสรรค์ ทั้งนี้เนื่องเพราะมันรองรับความแตกต่างหลากหลายในยุคปัจจุบันไม่ได้ ใช้ integrate ชิ้นส่วนใหม่ๆ ของสังคมไทยไม่ได้ เช่น แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ทุนข้ามชาติ กระแสวัฒนธรรมจากต่างประเทศ เป็นต้น

      พูดก็พูดเถอะ ทุกวันนี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียงถิ่นที่อยู่ของคนไทยที่คิดอ่านแตกต่างหลากหลายและมีวิถีชีวิตผิดแผกกันไปเท่านั้น หากยังเต็มไปด้วยเพื่อนมนุษย์จากที่อื่นเข้ามาอยู่ร่วมในระยะยาว กล่าวคือนอกเหนือไปจากแรงงานอพยพเรือนล้านและนายทุนไร้พรมแดนแล้ว ยังมีพวกที่ถือว่าตัวเองเป็น Global Citizens บ้าง พวก Digital Nomads บ้าง

      ยังไม่ต้องเอ่ยถึงหมู่บ้านญี่ปุ่นที่ศรีราชา หมู่บ้านผู้สูงอายุชาวสวีเดนที่ท่ายาง หมู่บ้านคนแก่ชาวสวิสแถวอีสานใต้ ตลอดจนการตั้งรกรากของคนจีนรุ่นใหม่แถวห้วยขวาง ซึ่งรัฐจีนสนับสนุนและรัฐไทยไม่ห้าม ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมอาคันตุกะระยะสั้นอย่างนักท่องเที่ยว ซึ่งเข้ามาเดินขวักไขว่อยู่ในประเทศไทยปีละกว่า 35 ล้านคน การมาเยือนมาอยู่ของชาวต่างชาติดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ยุคโลกาภิวัตน์ได้กัดกร่อนฐานรากของความเป็นรัฐชาติแบบเดิมๆ ไปไกลพอสมควร ฝ่ายรัฐเองก็รู้และปรับตัวไปไกลเช่นกัน แต่ชุดความคิดหลักกลับตามมาไม่ทัน อันที่จริง ในยุคสมัยที่โลกแปรเปลี่ยนรวดเร็วจากยุคของรัฐชาติไปเป็นรัฐแบบอื่น ไม่มีใครรู้ชัดว่าเราควรจัดแบบแผนความสัมพันธ์ทางอำนาจแบบไหน หรือออกแบบโครงสร้างทางการเมืองเช่นใดจึงจะสอดคล้องกับความจริงใหม่ที่ก่อรูปขึ้น

      ด้วยเหตุดังนี้ การค้นหาบูรณาการใหม่ (New Integration) ทางสังคมและทางการเมือง จึงเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่ได้รับผลกระทบ ทุกชิ้นส่วนของประเทศไทย ทั้งใหม่และเก่า ควรต้องมีพื้นที่เรียงร้อยกันอย่างลงตัวโดยผ่านการเจรจาต่อรอง ไม่ใช่มีคนหยิบมือเดียวมาออกแบบระบอบการปกครองสำหรับศตวรรษที่ 21

      ใช่หรือไม่ว่าการใช้ลัทธิชาตินิยมแบบเก่าเป็นหลังพิงทางความคิด คงจะไปกันไม่ได้กับการที่รัฐไทยเสนอลดหย่อนภาษีให้กับทุนต่างชาติ หรือชักชวนให้พวกเขามาเช่าแผ่นดินไทยทำกินในระยะยาวหลายสิบปี ยังไม่ต้องเอ่ยถึงข้อเสนอพิเศษอีกมากมายหลายอย่าง ขณะเดียวกัน ลัทธิเหยียดเชื้อชาติแบบเก่า ที่มักถูกนำมาใช้กับคนงานจากประเทศเพื่อนบ้าน ก็ดูจะขัดแย้งกับการที่เราหากินกับหยาดเหงื่อของพวกเขามาหลายปี

      เมื่อปีกลาย มีกรณีนัดหยุดงานที่โรงงานแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคตะวันตกของไทย คนงานทั้งหมดเป็นชาวพม่า ส่วนเจ้าของโรงงานเป็นคนไทย สิ่งแรกที่คนงานพม่าต้องการคือขอให้นายจ้างจ่ายค่าแรงขั้นต่ำตามกฎหมายเท่ากับแรงงานไทย ข้อต่อมา พวกเขาขอให้มีเวลาพักหนึ่งชั่วโมงในแต่ละวันที่ทำงาน และข้อที่สาม อยากให้นายจ้างหรือผู้ควบคุมพวกเขาเลิกด่าทอเสียที

      แค่เราได้ยินเรื่องข้อเรียกร้องของคนงานเหล่านี้ ก็จะพบว่าพวกเขาทั้งตกเป็นเหยื่อของการขูดรีดเอาเปรียบและการดูถูกเชื้อชาติอย่างเหลือเชื่อ มันทำให้เห็นชัดถึงสภาพความนึกคิดของคนไทยบางคน การเอารัดเอาเปรียบที่มาควบคู่กับการดูถูกดูแคลน แท้จริงแล้วก็ไม่ใช่อะไรอื่น หากเป็นลักษณะของอนารยชน ถ้าหากเราภูมิใจในความเป็นไทยจริงๆ ก็ไม่ควรทำให้ภาพลักษณ์ของคนไทยดูล้าหลังน่ารังเกียจแบบนี้ แน่ละ ความเป็นไทยในความหมายเชิงบวกก็มีอยู่ และอาจจะไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทุกชาติทุกภาษาย่อมมีสิทธิภูมิใจในอัตลักษณ์ของตัวเอง แต่ความภูมิใจที่ถลำลึกไปสู่ลัทธิชาตินิยมคับแคบ หรือลัทธิเหยียดเชื้อชาติไม่เพียงหาพื้นที่ได้ยากในยุคปัจจุบัน หากยังมีลักษณะขัดแย้งกับคุณค่าของความเป็นคน และต่อต้านการเติบโตทางปัญญา

      ยิ่งเอาแนวคิดความเป็นไทยมาใช้ปกป้องระบอบอำนาจนิยมและลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนในประเทศเดียวกันด้วยแล้ว concept นี้จะยิ่งสร้างความแตกแยกและทำร้ายคนไทยที่ดำรงอยู่ในความเป็นจริง ในอดีตเคยมีการใช้แนวคิด 'ความเป็นไทย' มาต่อต้านนักศึกษาฝ่ายซ้าย ผลที่ออกมาคือเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาคม 2519 และไฟสงครามประชาชน ที่ลุกลามอยู่ในพื้นที่มากกว่า 50 จังหวัด โชคยังดีที่การใช้แนวคิดความเป็นไทยมาต่อต้านต่อต้านประชาธิปไตยในช่วงหลังรัฐประหาร 2557 ไม่ได้ส่งผลรุนแรงขนาดนั้น

      กระนั้นก็ตาม เปลวไฟในใจคนอาจจะยังคุกรุ่นอยู่ก็ได้ ในเมื่อธงแห่งความเป็นคนดีและความเป็นไทย ถูกชูโดยกลุ่มชนที่ได้เปรียบเพื่อใช้กดเหยียดชนชั้นล่างๆ ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำเป็นอันดับ 3 ของโลก ความคิดใดที่เน้นย้ำแต่ความ 'ด้อยกว่า' ของคนจำนวนมหาศาล ความคิดนั้นย่อมนำมาซึ่งหายนะมากกว่าความเจริญ ถึงตรงนี้ ผมคงต้องขอเรียนว่าไม่ได้คัดค้านแนวคิดอนุรักษนิยมไปเสียทั้งหมด และที่ยกเรื่องความเป็นคนดีกับความเป็นไทยขึ้นมาวิจารณ์ก็ยังไม่ใช่ภาพรวมของแนวคิดกระแสนี้ เพียงแต่ผมเห็น ว่า concepts ทั้งสองอย่างมีปัญหาในเรื่องความสมเหตุสมผล และส่งผลเสียต่อประเทศมากกว่าผลดี

      จากจุดนี้ไป ผมจะขออนุญาตพูดถึงแนวคิดของฝ่ายก้าวหน้าบ้าง แต่ก่อนอื่นคงต้องขอความเข้าใจว่าผมไม่มีปัญญาและไม่มีเงื่อนไขที่จะพูดถึงความคิดก้าวหน้าในทุกประเด็นหรือทุกกระแส หากจะขอ focus ที่ประเด็นสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย ซึ่งมีปัญหาถูกยึดพื้นที่มาใกล้จะครบ 4 ปีแล้ว แน่นอน ผมตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ของประเด็นอื่นๆ เช่น ประเด็น genders หรือเพศสภาพ เป็นต้น โดยพื้นฐานแล้วผมเห็นด้วยกับความเคลื่อนไหวในเรื่องพวกนี้ แต่คิดว่าทุกกิ่งก้านของประเด็นสิทธิมนุษยชนล้วนงอกไปจากฐานใหญ่เรื่องเสรีภาพและประชาธิปไตยทั้งสิ้น ถ้าสะสางเรื่องดังกล่าวได้ เรื่องอื่นๆ ก็จะคืบหน้าตามมา

      พูดกันตามความจริง ในหลายๆ ประเทศ คำถามเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยดูจะล้าสมัยไปแล้ว เพราะมันกลายเป็นสภาพปกติในชีวิตประจำวันของผู้คน แต่สำหรับประเทศไทยเรื่องนี้ยังไม่ลงตัวโดยง่าย และไม่มีใครรู้ว่าจะเป็น issue ไปอีกนานสักเท่าใด

      จากมุมที่ผมมอง ปัญหาใหญ่ของประชาธิปไตยมิได้อยู่ที่การถูกยึดพื้นที่หรือถูกล้มกระดานอยู่เป็นระยะๆ โดยฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น หากอยู่ที่ความไม่สามารถป้องกันตัวของระบอบและผู้คนที่สมาทานแนวคิดชุดนี้ด้วย ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งบางคราวฝ่ายที่ล้มระบอบยังอ้างอีกด้วยว่าทำไปเพื่อพิทักษ์ประชาธิปไตยหรือสร้างประชาธิปไตยที่ดีกว่า แสดงว่าจุดอ่อนน่าจะมีอยู่จริง ไม่มากก็น้อย อันนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าฝ่ายประชาธิปไตยน่าจะต้องวิจารณ์ตัวเองบ้าง

      ผมได้กล่าวไว้ตั้งแต่แรกแล้วว่า ขณะที่ความคิดหลายอย่างของฝ่ายอนุรักษนิยมถูกยืมมาจากยุคสมัยที่ผ่านพ้น ความคิดของฝ่ายก้าวหน้าส่วนใหญ่ก็ถูกหยิบมาจากต่างประเทศ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็มีปัญหาพื้นฐานว่าจะผูกพ่วงตัวเองเข้ากับ space and time ของปัจจุบันสมัยได้อย่างไร

      กล่าวสำหรับแนวคิดสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย จะว่าไปก็ไม่ใช่ของใหม่ในประเทศไทยเสียทีเดียวเพราะเปิดตัวมา 85 ปีแล้ว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าสนใจว่าทำไมแนวคิดนี้จึงหยั่งรากลึกไม่พอที่จะต้านพายุโหมและฤดูมรสุมได้เสียที

      จริงอยู่ อุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่งคงอยู่ที่ชนชั้นนำภาครัฐ (State Elites) ซึ่งพยายามทวงอำนาจคืนครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาสืบทอดอำนาจมาจากกลไกรัฐซึ่งถูกสร้างขึ้นก่อนระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงค่อนข้างยากที่จะปรับตัวให้มี ทั้ง respect และ loyalty ต่อระบอบที่ประชาชนเป็นผู้ใช้อำนาจ

      แต่ก็อย่างที่ผมเรียนไว้เมื่อสักครู่ เราคงต้องยอมรับว่าฝ่ายประชาธิปไตยเองก็มีจุดอ่อนข้อผิดพลาดด้วย ปัญหาอันดับแรก คือในแต่ละช่วงที่มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย นักการเมืองมักเป็นผู้เล่นหลักมากเกินไป ในขณะที่นักการเมืองส่วนใหญ่ก็มีแนวคิดประชาธิปไตยค่อนข้างแคบ อาศัยแต่การเลือกตั้งเป็นหนทางก้าวสู่อำนาจและหมกมุ่นอยู่กับบทบาทในรัฐสภาจนลืมความสำคัญขององค์ประกอบอื่นๆ ของระบอบ เช่น บทบาทของประชาสังคม การเมืองภาคประชาชน สื่อมวลชน หรือแม้แต่เสียงวิจารณ์ของสามัญชนคนทั่วไป ด้วยเหตุดังนี้ บรรดานักการเมืองและพรรคการเมืองจึงไม่ได้พยายามผลักดันให้มีการขยายพื้นที่ประชาธิปไตยออกไปในระดับโครงสร้าง เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงของตัวระบอบ ซึ่งใหญ่กว่าและสำคัญกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ก็รวมถึงความมั่นคงโดยรวมของบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองด้วย

      กล่าวโดยรูปธรรมแล้ว เรื่องที่พวกเขาควรทำแต่ไม่ได้ทำมีอยู่ 3 ประการคือ หนึ่ง กระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง สอง ปฏิรูประบบราชการให้ยึดโยงกับประชาชนมากขึ้น ตรวจสอบได้ง่ายขึ้น และสาม ขยายงานรัฐสภาด้วยการเกี่ยวร้อยภาคประชาชนเข้ามาไว้ในกระบวนการนิติบัญญัติอย่างสม่ำเสมอ

      ถามว่าทำไมนักการเมืองจึงควรทำ 3 เรื่องนี้ ถ้าให้ตอบอย่างละเอียดผมอาจจะต้องใช้เวลาทั้งวัน แต่เฉพาะหน้าพูดได้สั้นๆ เพียงว่า ระบอบการปกครองและระบบราชการแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลางถูกออกแบบไว้เพื่อควบคุมกำกับสังคมมากกว่าจะกลับข้างกัน ดังนั้นมันจึงเป็นฐานที่มั่นโดยธรรมชาติของความคิดอนุรักษนิยมหรือกระทั่งอำนาจนิยม

      ด้วยสาเหตุดังกล่าว การกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นและการปฏิรูประบบราชการจึงเป็นการปรับความสัมพันธ์ทางอำนาจในสังคมไทยที่มีนัยสำคัญมาก มันจะเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเมืองหลวงกับภูมิภาค และขยายพื้นที่การใช้อำนาจของฝ่ายประชาชนออกไปอย่างกว้างขวาง ทำให้กลไกทำงานของรัฐมีลักษณะสอดคล้องกับแนวคิดประชาธิปไตยมากกว่า

      ส่วนการเกี่ยวร้อยภาคประชาชนเข้ามาเป็นองค์ประกอบของกระบวนการทางนิติบัญญัตินั้น พูดอีกแบบหนึ่งก็คือทำให้ประชาชนเข้าถึงศูนย์อำนาจและกระบวนการกำหนดนโยบาย ซึ่งจะทำให้ระบอบประชาธิปไตยเกาะติดชีพจรความคิดของสาธารณชนได้ตลอดเวลา อันนี้จะทำให้งาน Decision Makingของผู้บริหารประเทศมีรูปธรรมรองรับและมีรากลึกเพิ่มขึ้น

      เรื่องนี้จริงๆ แล้วก็มีแนวคิดรองรับอยู่ในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ เช่น ให้ประชาชนเข้าชื่อเสนอร่างกฎหมายหรือเสนอให้ปลดผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ในระดับหนึ่ง แต่ในทางปฏิบัติแล้วก็ไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเท่าใด

      พูดแล้วก็พูดให้หมดเปลือก ที่ผ่านมาบรรดาพรรคการเมืองและนักการเมืองไม่เพียงลืมผลักดันให้มีการขยายโครงสร้างประชาธิปไตยเท่านั้น หากยังใช้ความสัมพันธ์แบบจารีต ไม่เป็นสมัยใหม่ มาสร้างฐานเสียงทั้งในและนอกพรรค

      ระบบพรรคการเมืองกลายเป็นอวตารใหม่ของระบบอุปถัมภ์ ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วขัดกับปรัชญาเรื่องสิทธิเสรีภาพเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าการเมืองมวลชนในระยะๆ หลังก็ยังมีความสัมพันธ์แบบนี้เข้ามาปะปน ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าการเมืองมวลชนที่นำโดยฝ่ายต่างๆ มักจะลื่นไถลไปสู่ภาวะอนาธิปไตยอยู่บ่อยครั้ง มีการอาศัยกำลังมวลชนกดดันฝ่ายตรงข้ามอย่างล้นเกิน จนกระทั่งระบอบประชาธิปไตยที่ควรจะยืดหยุ่นกลับถูกทำให้เป็น Zero Sum Game หรือระบบ Winner Takes All

      ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งยังมักมีท่าทีเป็นปฏิปักษ์ต่อความเคลื่อนไหวทางการเมืองของภาคประชาชนที่เป็นอิสระ โดยเห็นว่าไม่ใช่มวลชนของตน ดังนั้นแทนที่จะดึงประเด็นของประชาชน โดยเฉพาะยิ่งประเด็นของชุมชนท้องถิ่น เข้ามาสู่กระบวนการทำงานของรัฐ กลับมุ่งกำราบปราบปราม ทำให้กลุ่มเคลื่อนไหวของภาคประชาชนจำนวนหนึ่งเกิดความคับแค้นจนขาดสติ หันไปสนับสนุนรัฐประหารและระบอบอำนาจนิยม

      การที่นักการเมืองเป็นผู้เล่นหลักบนเวทีประชาธิปไตยแล้วมองไม่เห็นบทบาทของผู้เล่นอื่น มองไม่เห็นความเปราะบางของระบอบดังกล่าวในสังคมไทย ย่อมทำให้เกิดความประมาทในการใช้อำนาจ และทำให้ประชาธิปไตยกลายเป็นโครงสร้างเสาเดียว เมื่อเสานี้ล้มหรือถูกโค่น ทั้งโครงสร้างก็พังทลายลงมา

      อย่างไรก็ดี บทบาทของนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้น ถึงอย่างไรก็มีความสำคัญในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องอาศัยผู้แทน เพียงแต่ว่าต่อไปจะทำแบบเดิมๆ คงไม่ได้ ตัวนักการเมืองเองจะต้องขยายแนวคิดให้กว้างไกลกว่าที่ผ่านมา ต้องมีสำนึกของผู้สร้างระบอบซึ่งยังคงต้องแย่งชิงพื้นที่กับระบอบคู่แข่งอย่างเข้มข้น

      แต่ก็น่าเสียดาย ที่ในระยะเกือบ 4 ปีมานี้ บทบาทของนักการเมืองได้ถูกจำกัดลงจนแทบไม่มีเหลือ การเคลื่อนไหวใดๆ ล้วนถูกควบคุมปิดกั้น ด้วยเหตุดังนี้ interaction ระหว่างนักการเมืองกับสังคมจึงสะดุดลงอย่างสิ้นเชิง กระนั้นก็ตาม การหมดบทบาทชั่วคราวของนักการเมืองมิได้หมายความว่าแนวคิดเรื่องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยจะพลอยเงียบสงัดเสียทั้งหมด ทั้งนี้เนื่องเพราะในสังคมไทยยังมีความเคลื่อนไหวขององค์กรภาคประชาชน ชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนปัญญาชนทั้งนอกและในมหาวิทยาลัย

      องค์กรและเครือข่ายภาคประชาชนมักจะเอาการเอางานในการทักท้วงระบอบเผด็จการโดยยกประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนในด้านต่างๆ ส่วนชุมชนท้องถิ่นก็มีปัญหารูปธรรมจากการถูกรุกล้ำฐานทรัพยากรโดยโครงการรัฐและทุนอุตสาหกรรม สำหรับฝ่ายปัญญาชน ประเด็นสำคัญคือรู้สึกรับไม่ได้ที่ถูกระบอบอำนาจนิยมปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกทางการเมือง

      กล่าวเฉพาะเครือข่ายองค์กรประชาชนและชุมชนท้องถิ่น เนื่องจากประเด็นที่พวกเขาจับหรือปัญหาที่พวกเขาเจอมักเป็นกรณีความเดือดร้อนที่เป็นรูปธรรม ความต้องการเสรีภาพในการเคลื่อนไหวจึงมิได้เป็นแค่แนวคิด หากคือความจำเป็นในทางปฏิบัติด้วย ดังนั้นประชาชนส่วนนี้จึงมักต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายรัฐอยู่เป็นระยะๆ

      ส่วนปัญญาชนคนหนุ่มสาว รวมทั้งนักวิชาการในและนอกมหาวิทยาลัย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นน่าจะมีความสำคัญเป็นอันดับแรก โดยทั่วไปชนกลุ่มนี้มีบทบาทอย่างสูงในการโต้แย้งกับฝ่ายอนุรักษนิยมและเป็นปากเสียงเถียงแทนฝ่ายประชาธิปไตย ด้วยการผลิต content ป้อนสื่อต่างๆ แต่ก็แน่ละ ภายใต้การปกครองแบบอำนาจนิยม สื่อหลักทั้งหลายย่อมถูกควบคุมกำกับโดยฝ่ายรัฐทำให้พื้นที่แสดงความเห็นที่ต่างจากผู้กุมอำนาจเหลือไม่มากนัก

      โชคดีที่โลกยุคนี้ได้พัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารไปไกล การมีอยู่ของเครือข่าย social media ไม่ว่า Facebook Line Twitter หรือ platform อื่นๆ ล้วนทำให้การแสดงความคิดเห็นต่อสาธารณชนสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องก้าวเท้าออกนอกบ้าน ถึงฝ่ายรัฐจะพยายามควบคุมความเคลื่อนไหวในโลกส่วนนี้อย่างเข้มข้น แต่ก็ยังไม่ได้ผลมากนัก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งข่าวสารหรือความเห็นผ่าน social media จะมีประโยชน์มหาศาล แต่ก็มีด้านลบซ่อนอยู่ไม่น้อย เพราะมันอาจพาคนดิ่งลึกไปสู่ความหลงใหลในตัวตนและตัดสินหมิ่นประณามผู้อื่นอย่างไม่เป็นธรรมได้

      ถามว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น คำตอบคือ เทคโนโลยีชุดนี้มีลักษณะช่วย empower หรือเพิ่มอำนาจให้กับปัจเจกบุคคลธรรมดาได้ในชั่วเวลาข้ามคืน มันทำให้เสียงของเขาดังขึ้น คล้ายไมโครโฟนที่ใช้ในการพูดกับคนจำนวนมาก ดังนั้นคนที่ขาดสติจำนวนหนึ่งจึงรู้สึกเหมือนได้หนังราชสีห์มาสวมใส่ และเริ่มติดหลงในสิ่งที่คิดเอาเองว่าเป็นการคำรามกึกก้อง

      สำหรับคนที่มีพฤติกรรมเช่นนี้ แทนที่พวกเขาจะอาศัย social media พาคนมาพบกันเพื่อสร้างฉันทามติในสิ่งที่ถูก และร่วมแรงกันต้านสิ่งที่ผิด หรือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพื่อความเติบโตทางปัญญา สภาพกลับกลายเป็นว่าเรื่องดีๆ มักถูกแทรกซ้อนไปด้วยแรงริษยา วาจาที่บ่มเพาะความเกลียดชัง ข่าวสารปลอมๆ และการตัดสินคนด้วยข่าว 3 บรรทัด

      เมื่อไม่นานมานี้ นักหนังสือพิมพ์อาวุโสท่านหนึ่งรู้สึกอดรนทนไม่ไหว จึงเขียนวิจารณ์บรรยากาศดังกล่าว โดยเรียกมันว่า 'ศาลเตี้ย 4.0' อันที่จริง ปัญหาทำนองดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในเมืองไทย หากแต่แพร่ลามไปทั่วโลก จนกระทั่งเมื่อช่วงปลายปีกลาย Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook ได้ออกมากล่าวคำขอโทษที่เครื่องมือสื่อสารทางสังคมของเขาได้สร้างความแตกแยกไปทั่ว พร้อมกันนั้นก็ได้สัญญาว่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้น

      อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นไม่นาน Sean Parker ประธานคนแรกของ Facebook ก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าจริงๆ แล้ว พวกเขามองเห็นจุดอ่อนในจิตมนุษย์มาตั้งแต่แรก แต่ก็คิดจะใช้ประโยชน์มันอยู่ดี ในคำพูดของเขาเอง Facebook ทำหน้าที่คล้ายสารสื่อประสาท 'Dopamine' ซึ่งทำให้ผู้ใช้ social media รู้สึกมีความสุข เมื่อมีคนมากด like หรือ comment รูปภาพหรือข้อความที่เขาโพสต์ ด้วยเหตุดังนี้มันจึงนำไปสู่พฤติกรรมทำซ้ำ โพสต์แล้วโพสต์อีก เพื่อถูก liked ซ้ำแล้วซ้ำอีก

      พูดแบบชาวบ้านคือ Facebook นี้ ยิ่งเล่นยิ่งติด เพราะมันออกฤทธิ์เท่ากับยาเสพชนิดหนึ่งนั่นเอง ปัจจุบันทั่วโลกมีคนใช้ Facebook รวมทุกเพศทุกวัยมากกว่า 2 พันล้านคน คุณ Sean ได้ยืนยันว่าFacebook ได้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลกับสังคมเปลี่ยนไปแล้ว รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลด้วย นอกจากนี้เขายังได้แสดงความวิตกกังวลว่าไม่รู้อะไรจะเกิดขึ้นกับสมองของเด็กๆในประเด็นนี้ อดีตผู้บริหารบริษัท Facebook ระดับรองประธานก็ออกมาพูดคล้ายๆ กันว่าเขารู้สึกผิดมหันต์ที่มีส่วนในการก่อตั้ง Facebook ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือ 'ทำลายความสัมพันธ์ในสังคม'

      ถามว่าเช่นนี้แล้ว เราจะทำอย่างไรดี ควรจะเลิกใช้ social media เสียดีไหม อันนี้พูดได้ว่าไม่ควรแน่นอน เพราะถึงอย่างไร platform เหล่านั้นก็ยังมีประโยชน์อยู่มากสำหรับฝ่ายประชาชน และแทบจะเป็นพื้นที่แห่งเดียวที่มีร่องรอยของเสรีภาพเหลืออยู่บ้าง

      ทว่าอำนาจในการส่งข่าวสารก็เหมือนอำนาจแบบอื่น คือควรต้องมีวัฒนธรรมกำกับ ต้องทำให้มันเป็น soft power ที่ประณีตและน่าเชื่อถือจึงจะได้เพื่อนเพิ่มขึ้น ไม่ใช่ด่าทอกันอย่างดิบเถื่อนเพื่อความสะใจ อย่างหลังนี้เป็นการทำงานของ ego มากกว่าการต่อสู้ที่หวังผลชัยชนะแน่ละ บางท่านอาจปกป้องสภาพเช่นนี้ว่ามันเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และเป็นการยืนยันความเสมอภาค ที่ใครๆ ก็สามารถถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ ใครๆ ก็ควรถูก 'Deconstruct' แม้แต่คนที่อยู่ฝ่ายเดียวกัน

      สำหรับเรื่องนี้ผมคงต้องขอแลกเปลี่ยนด้วยสักเล็กน้อย ก่อนอื่นเราคงต้องจำแนกให้ชัดเจนว่าการวิจารณ์กับการด่าทอนั้นไม่ใช่สิ่งเดียวกัน สิทธิในการวิจารณ์นั้นดี ควรส่งเสริมให้มี แต่การด่าประณามผู้คนตามใจชอบไม่ใช่สิทธิ หากเป็นการละเมิดล่วงเกิน สิทธิของผู้อื่นเสียมากกว่า เสรีภาพนั้นไม่ใช่สมบัติส่วนตัวที่ดำรงอยู่ลอยๆ หากเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้อื่น และระหว่างเรากับสังคม หรือกล่าวได้ว่าเสรีภาพเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจชนิดหนึ่ง ซึ่งถ้าจะให้ปรากฏเป็นจริง ก็ต้องมีความเสมอภาคเป็นฐานรองรับ

      ดังนั้นการใช้เสรีภาพอย่างถูกต้องจึงเกี่ยวข้องกับความเข้าใจเรื่องเสมอภาคด้วย ความเสมอภาคไม่ได้หมายความว่าเปลี่ยนการเคารพผู้มีฐานะสูงกว่ามาเป็นไม่เคารพใครเลย ตรงกันกันข้าม กลับยิ่งต้องขยายความเคารพและให้เกียรติไปยังเพื่อนมนุษย์ทุกคน เช่นเดียวกับที่ต้องเคารพตัวเอง แน่นอน หากเสรีภาพถูกมองว่าเป็นสิทธิส่วนตัวที่มีอยู่โดยปราศจากเงื่อนไข ใครอยากจะละเมิดล่วงเกินใครก็ได้ มันก็มีแต่จะนำไปมาสู่การแตกร้าวของสังคมโดยรวม และตัดเฉือนเยื่อใยที่มนุษย์พึงมีต่อกัน เช่นเดียวกับความเสมอภาคที่ปราศจากภราดรภาพคอยกำกับ สภาพดังกล่าวรังแต่จะนำไปสู่สงครามส่วนตัวระหว่างผู้คน ยามนั้นโรคริษยารวมหมู่จะระบาด และถ้อยคำผรุสวาทจะถูกเชิดชูให้เป็นวีรกรรม ด้วยเหตุดังนี้ แนวคิดต้นแบบของประชาธิปไตยจึงชูธง เสรีภาพ เสมอภาค ภราดรภาพ ขึ้นมาพร้อมกันและผูกพ่วงไว้ด้วยกันเสมอ

      พูดกันตามความจริง ในระยะเกือบ 4 ปีมานี้ สังคมไทยก็ไม่ได้มีเสรีภาพเหลือเท่าใด ดังนั้นจึงเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก หากฝ่ายก้าวหน้าบางกลุ่มบางคนไม่ได้ใช้มันอย่างคุ้มค่า ไม่ใช้มันขยายทั้งแนวคิดและแนวร่วมของฝ่ายตน ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการสื่อสารที่ประณีต บรรจง เพื่อเข้าถึงคนหมู่มาก

      ผมเห็นด้วยกับศาสตราจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ ซึ่งกล่าวไว้ว่า "เสรีภาพก็เหมือนอะไรอื่นๆอีกมากในโลก…จะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับว่าเราสร้างเงื่อนไขปัจจัยต่างๆที่เอื้อให้เสรีภาพอำนวยผลดีหรือสร้างเงื่อนไขปัจจัยที่เอื้อให้เสรีภาพอำนวยผลร้าย"

      ทั้งนี้และทั้งนั้น ที่ผมพูดมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าเห็นด้วยกับการจำกัดเสรีภาพ ซึ่งระบอบอำนาจนิยมทำอยู่แล้ว ตรงกันข้าม ผมคิดว่าประเทศไทยจำเป็นต้องมีเสรีภาพ ทั้งในทางการเมืองและในทางสังคม เพราะเสรีภาพที่แท้จริงจะช่วยปลดเปลื้องประชาชนจากโซ่ตรวนแห่งการเอารัดเอาเปรียบ จากการกดขี่ครอบงำ และจากความตื้นเขินทางปัญญา

      พูดง่ายๆ คือ เสรีภาพของชนหมู่มากย่อมนำไปสู่การปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ และเสริมขยายกระบวนการเรียนรู้ ซึ่งจำเป็นมากสำหรับความเจริญเติบโตของสังคม

      ผมเพียงอยากติงไว้ว่า อย่าปล่อยให้สิ่งที่ไม่ใช่เสรีภาพเข้ามาสวมรอยชูธงเดียวกัน

      การต่อสู้ทางความคิดในประเทศไทยนั้น ถึงอย่างไรก็ยังต้องดำเนินต่อไปอีกนาน กระทั่งตลอดไป ตราบเท่าที่โลกที่เราเห็นคือโลกที่เราคิด ดังนั้นประเด็นจึงไม่ได้อยู่ที่ทำอย่างไรเราจึงจะคิดเห็นและมองโลกเหมือนกันทั้งประเทศ สภาพเช่นนั้นทั้งเป็นไปไม่ได้และอาจจะไม่ใช่ความจำเป็น

      ประเด็นที่สมจริงกว่าคือ เราจะนำความขัดแย้งทางความคิดมาไว้ในปริมณฑลที่จัดการได้ด้วยวิธีใด เรื่องนี้ผมเกรงว่าเจ้าของความคิดที่แตกต่างกันจะต้องปรับตัวบ้างไม่มากก็น้อย ดังที่เรียนไว้แล้วตั้งแต่แรกว่าโลกที่เรามองเห็นนั้น ล้วนมาจากความคิดที่อยู่ในหัวของเราเอง ด้วยเหตุดังนี้ ตราบเท่าที่ความคิดสมบูรณ์แบบไม่มีอยู่ในหัวใคร ก็ย่อมไม่มีใครที่สามารถมองเห็นโลกได้อย่างครบถ้วน

      นอกจากนี้แล้ว ในห้วงยามที่มนุษย์เราเสนอความเห็นของตนเอง ทุกคนต่างก็หนีไม่พ้นกับดักของภาษา ซึ่งเป็นเพียงสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้ย่อความจริง ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าถ้อยคำบางคำที่ถูกนำมาใช้ บางทีก็หลุดไปจากความจริงเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นการพรรณนาสภาพของโลกที่เราเห็น จึงมักถูกย่อให้แคบลงมาอีก

      ในทางกลับกัน ภาษาที่มนุษย์ใช้ย่อความจริง คือภาษาที่มนุษย์ใช้สร้างความคิดด้วย เราสร้างความคิดด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากจะเอาถ้อยคำมาร้อยเรียงกัน ดังนั้นการมองโลกผ่านความคิด ถึงอย่างไรก็ต้องมีส่วนขาดตกบกพร่อง เป็นแค่ความจริงที่ถูกย่อส่วน หรือถูกตัดทิ้งไปในบางมิติ ซึ่งไม่ใช่ความจริงในส่วนทั้งหมด กระทั่งไม่ใช่ความจริงเอาเสียเลย

      ยิ่งในยุคโลกาภิวัตน์ ซึ่งพาเราตกไปอยู่ในวงล้อมของสงครามจินตนาการ ด้วยการรับข่าวสารอย่างชุลมุน และมองโลกผ่านถ้อยคำในคอมพิวเตอร์อย่างเข้มข้น โอกาสจะหลุดจากความเป็นจริงก็ยิ่งมีมากขึ้น และถ้าไม่ตั้งสติให้ดี แทนที่สังคมอุดมปัญญาจะผุดบังเกิด บางที Ignorant Society อาจจะโผล่งอกขึ้นมาแทนก็ได้

      แน่ละ เราอาจชดเชยจุดอ่อนตรงนี้ได้ด้วยการออกจากหน้าจอไปสัมผัสโลกภายนอกให้มาก ปรับสมดุลระหว่างโลกจริงกับกับโลกเสมือนจริง รวมทั้งฟังซึ่งกันและกัน หรือฟังผู้อื่นให้มาก นั่นคือส่วนที่เจ้าของความคิดทุกฝ่ายจะต้องปรับตัว

      ในมุมมองของผม สิ่งหนึ่งที่พวกเราควรเลิกอย่างเด็ดขาดคือการผลิต hate speech ใส่คนที่คิดต่าง ทั้งนี้เนื่องจากถ้อยคำหมิ่นหยามชิงชังนั้นทำให้ทั้ง debate และ dialogue ในสังคมเกิดขึ้นได้ยาก อันที่จริงการกระทำดังกล่าวไม่ใช่มองโลกตามความคิด หากเป็นการมองโลกโดยไม่คิด ดังนั้นสิ่งที่ดูคล้ายความเห็น แท้จริงแล้วคือแผ่นป้ายดำมืด ทั้งว่างเปล่ากดทับ และปิดบังโอกาสของสังคมในการค้นหาความจริงร่วมกัน

      ความขัดแย้งในสังคมนั้นมีทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น สังคมได้ประโยชน์จากความขัดแย้งที่จำเป็น แต่เสียประโยชน์จากความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น ซึ่งหมายถึงความขัดแย้งที่ถูกขยายมากไปจนไร้เหตุไร้ผลและนำไปสู่ความรุนแรง

      พูดก็พูดเถอะ ในเมื่อเราพาปัญหาหลายอย่างข้ามกาลเวลามาถึงศตวรรษที่ 21 แล้ว ก็ไม่ควรทำให้เรื่องมันเลวร้ายลงอีกด้วยการลดทอนวิธีแก้ไข

      ในเมื่อสภาพของสังคมไทยทุกวันนี้ ชุดความคิดทั้งของ Pre-modern, Modern, และ Post-modern ต่างมาปรากฏอยู่ในเวลาและสถานที่เดียวกันโดยมีคนไทยต่างกลุ่มเป็นเอเยนต์ เราย่อมไม่มีทางเลือกเป็นอื่นนอกจากต้องอดทนต่อกันและยอมรับความแตกต่าง

      แต่เรื่องที่ไม่ต้องอดทนและไม่ควรอดทนคือการกดขี่ข่มเหงและการละเมิดสิทธิผู้คน ไม่ว่ามันจะมาจากแนวคิดฝ่ายไหนก็ตาม

      อันที่จริงสังคมไทยก็เช่นเดียวกับสังคมอื่น เราจำเป็นต้องมีทั้งการเปลี่ยนแปลงและความต่อเนื่อง ไปพร้อมๆ กัน เราต้องมีทั้ง changes และ continuity เพื่อให้เกิดความเจริญงอกงามอย่างมีราก ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีทั้งฝ่ายอนุรักษนิยมและฝ่ายก้าวหน้ามาช่วยกันสร้างพลวัตทางสังคม อันนี้เป็นมุมที่ผมอยากจะใช้มองประเทศไทย ในวันใดก็ตามที่เราได้เสรีภาพคืนมา

      ผมคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้อีกแล้วที่จะมองคนไทยในปัจจุบันเป็นอะไรก้อนเดียว คิดเหมือนกัน อยู่เหมือนกัน โดยไม่มีทั้งปัจเจกภาพและปัจเจกบุคคล ไม่มีกลุ่มย่อยรอยแยกในเรื่องวิถีชีวิต ความเชื่อ รสนิยม ตลอดจนความคิดเห็นเรื่องบ้านเมือง

      พูดกันตามความจริง content ของประเทศไทยนั้นคือความหลากหลายมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นในด้านเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ ภาษา วัฒนธรรม ดนตรี ศิลปะ หรือแม้แต่อาหารการกิน พวกเราล้วน blend ทุกอย่างจากองค์ประกอบที่หลากหลายทั้งสิ้น จนแทบกล่าวได้ว่าความเป็นไทยแท้คือ 'ลูกผสม'

      ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลใดที่เราจะคิดต่างกันไม่ได้ ไม่มีเหตุผลใดที่เราจะหยุด liberalism ไว้ที่เรื่องการทำมาหากินเท่านั้น

      แน่นอน ในสังคมที่ผู้คนแตกต่างหลากหลาย ประเด็นความเป็นธรรมและความยุติธรรมย่อมสำคัญที่สุด มิฉะนั้นแล้วจะรักษาเอกภาพไว้ได้ยาก เอกภาพของสิ่งที่แตกต่างจำเป็นต้องมีแกนกลางที่ร้อยใจทุกฝ่ายไว้ได้ ที่ทุกฝ่ายเชื่อถือและมั่นใจว่าตัวเองจะได้รับการปฏิบัติอย่างถูกต้อง ข้อนี้ ผมคงไม่ต้องพูดก็ได้ว่าเป็นหน้าที่ของสถาบันทางการเมืองการปกครองที่ทุกฝ่ายเข้าถึงได้

      สุดท้ายการอยู่ท่ามกลางความแตกต่างหลากหลายจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าพวกเราแต่ละคนไม่ถอยห่างจากตัวเองสักหนึ่งก้าวเพื่อเปิดพื้นที่ปลูกศรัทธาในเพื่อนมนุษย์ที่ไม่ได้เหมือนเราเสียทีเดียวเราต้องเชื่อมั่นว่าภายใต้ผิวพรรณหลากสีภายในเรื่องราวหลากหลายคือจิตวิญญาณมนุษย์อันเป็นสากลและนั่นคือสิ่งที่เรามีร่วมกัน

      การเชื่อมร้อยระหว่างมนุษย์นั้นไม่ได้มาจากความคิดเพียงอย่างเดียวบ่อยครั้งเราอาจพบคนที่คิดอ่านไม่ตรงกันแต่จิตใจกลับละม้ายคล้ายคลึง

      ดังนั้น ในบางห้วงบางขณะเราจึงไม่ควรไว้ใจเหตุผลของตัวเองมากเกินไป ความรู้สึกเบื้องลึกที่ตรงไปตรงมาอาจจะสอดคล้องกับความจริงมากกว่าเหตุผลที่ปรุงขึ้นด้วยอคติหรือฉันทาคติ อย่างหลังนี้บางทีก็เป็นแค่กรงขังที่อยู่ในรูปของจินตนาการ

      ในชีวิตจริงของคนเรานั้นจำเป็นต้องมีทั้งที่สถานที่ยึดโยงและหมุดหมายที่จะก้าวไปข้างหน้าเพราะฉะนั้นพวกเราอย่าได้มาเถียงกันเลยว่าสิ่งใหม่ดีไปหมดหรือสิ่งเก่าย่อมดีกว่าใหม่เสมอประเด็นมันอยู่ที่การคัดกรองทั้งสองส่วน

      อย่างไรก็ตามชีวิตเป็นอนิจจังสังคมก็เป็นอนิจจังถึงที่สุดแล้วโลกเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและมีระบบคัดกรองของมันเองว่าจะพาสิ่งใดติดตามไปด้วยจะทิ้งสิ่งใดไว้ข้างหลัง

      เมื่อเป็นเช่นนี้บางทีอัตวิสัยของเราก็ต้องแข่งขันกับภววิสัยของโลกหรือบางทีก็ต้องเกาะติดไปกับมันไม่มีความคิดใดกำหนดโลกได้อย่างไร้ขอบเขต ทั้งหมดนี้คือมุมมองของผมซึ่งก็มาจากความคิดอันจำกัดอีกทั้งถูกย่อส่วนลงไปอีกด้วยความจำกัดของภาษาดังนั้นหากท่านทั้งหลายจะเห็นต่างหรือจะช่วยเพิ่มเติมเสริมขยายผมก็ยินดี ผมทราบดีว่าที่พูดมาทั้งหมดอาจจะไม่ฉลาดนักในทางการเมือง แต่ผมไม่ใช่นักการเมืองอีกทั้งยังชราภาพแล้วจึงไม่ได้ยึดถือในคตินั้นแต่ผมก็อยากขออภัย ถ้าสิ่งที่พูดบังเอิญไปขัดใจผู้ใด

      ขอบคุณทุกท่านที่ให้เกียรติรับฟัง

       

       

      ติดตามความเคลื่อนไหวของ ประชาไท ทางอีเมล คลิกอ่าน http://goo.gl/8xIcV หรือเฟซบุ๊ค http://fb.me/Prachatai

      ไม่มีความคิดเห็น:

      แสดงความคิดเห็น